ผู้เขียน หัวข้อ: อาณาจักรมายา เรืองโรจน์สู่ร่วงโรย -สารคดี  (อ่าน 2295 ครั้ง)

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด

 ความรุ่งเรืองที่ไม่จีรังของอาณาจักรมายากำเนิดขึ้นในป่าฝนทางตอนใต้ของเม็กซิโกและอเมริกากลาง ณ ดินแดนแห่งนี้ อารยธรรมมายายุคคลาสสิกเจริญถึงขีดสุด เราจะเริ่มติดตามอารยธรรมที่สืบสาวรากเหง้ายุคก่อนคลาสสิกกลับไปถึง 3,000 ปีด้วยหลักฐานใหม่ที่เสนอว่า การเยือนของจอมทัพผู้หนึ่งจากตอนกลางของเม็กซิโกเป็นการเปิดศักราชแห่งความอลังการและศิลปวัตถุที่วิจิตรพิสดารยิ่ง เช่น หน้ากากมรณะของกษัตริย์ปาคาล ผู้ครองนครปาเลงเก หรือวิหารอันงดงามจำนวนมากท่ามกลางป่าดงพงพฤกษ์ที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันล้ำเลิศของชาวมายา ทว่าอาณาจักรต่างๆล้วนรุ่งเรืองเฟื่องฟูเพื่อที่จะล่มสลาย ดังที่เห็นได้จากสารคดีตอนที่สองว่า มหันตภัยระลอกแล้วระลอกเล่า ทั้งจากธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์ ส่งผลให้อารยธรรมมายายุคคลาสสิกถึงกาลอวสาน และปล่อยให้ธรรมชาติช่วงชิงความยิ่งใหญ่กลับคืนผู้สถาปนากษัตริย์
         จอมทัพผู้นั้นมาถึงในฤดูแล้งเมื่อเส้นทางเดินในป่าแห้งและแข็งพอจะเดินทัพได้ เขาเดินเข้าสู่นครวากาของชาวมายาอย่างสง่างามขนาบข้างด้วยเหล่าขุนศึก ขบวนเคลื่อนผ่านวิหาร ตลาด และตัดข้ามจัตุรัสกว้าง ชาวเมืองคงไม่เพียงตื่นตะลึงกับแสนยานุภาพของกองทัพแต่ยังประทับใจกับเครื่องแต่งกายอันอลังการของขุนศึกจากมหานครอันไกลโพ้น ตั้งแต่เครื่องประดับศีรษะขนนก แหลนยาว และโล่อันวาววับ   จารึกโบราณระบุว่า วันนั้นคือวันที่ 8 มกราคม ปี 378 และนามของชายผู้นั้นคือ อัคคีจุติ (Fire Is Born) เขามาถึงนครวากาซึ่งปัจจุบันอยู่ในกัวเตมาลา ในฐานะทูตจากอาณาจักรเรืองอำนาจแห่งที่ราบสูงเม็กซิโก หลายสิบปีต่อมา ชื่อของเขาปรากฏอยู่ในศิลาจารึกทั่วอาณาจักรของชาวมายาซึ่งเป็นอารยธรรมดงดิบแห่งเมโสอเมริกาชายผู้นี้ได้ทิ้งมรดกที่ทำให้มายาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดนานถึงห้าศตวรรษ    
        ชาวมายาเป็นชนเผ่าลึกลับมาตลอด เมื่อหลายปีก่อน ความยิ่งใหญ่ของเหล่านครที่ล่มสลาย และอักษรภาพแกะสลักที่สวยงาม แต่ไม่มีใครอ่านออก ทำให้นักวิจัยไม่น้อยจินตนาการถึงสังคมสันติสุขที่เต็มไปด้วยนักบวชและอาลักษณ์ แต่เมื่อนักอ่านจารึกเริ่มถอดอักษรภาพเหล่านั้นได้ภาพที่เห็นกลับโหดร้ายกว่าที่คิด มีทั้งการสู้รบของราชวงศ์ต่างๆ การแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก และการเผาทำลายพระราชวัง      
        กระนั้นก็ยังมีปริศนาลี้ลับอีกหลายประการ เช่น อะไรที่ส่งผลให้ชาวมายาก้าว
กระโดดขึ้นสู่จุดสูงสุด ในช่วงที่อัคคีจุติเริ่มมีชื่อเสียง คลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงได้กระจายไปทั่วอาณาจักรมายาแล้ว กลุ่มนครรัฐที่ไม่นิยมสุงสิงกับโลกภายนอกได้ขยายความสัมพันธ์กับนครข้างเคียงและวัฒนธรรมอื่นๆ และสร้างงานศิลปะที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนถือว่าเป็นวัฒนธรรมมายายุคคลาสสิก      
        หลักฐานใหม่ๆที่ขุดพบจากซากปรักหักพังใต้ป่ารกเรื้อและการตีความใน
จารึกที่เพิ่งอ่านออกชี้ว่า อัคคีจุติคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงนี้ แม้หลักฐานที่พบตลอดสิบปีที่ผ่านมาจะไม่สมบูรณ์นัก แต่ก็พอจะบอกได้ว่า ชายแปลกหน้าผู้ลึกลับผู้นี้สร้างบทบาทผู้นำทางการเมืองใหม่ในอาณาจักรมายา เขาสร้างพันธมิตรโดยผนวกวิธีทางการทูตเข้ากับการใช้กำลัง สถาปนาราชวงศ์ใหม่ๆและขยายอิทธิพลของนครรัฐเตโอตีอัวกันอันยิ่งใหญ่ที่เขาเป็นตัวแทน มหานครแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเม็กซิโกซิตีในปัจจุบัน      
       นักวิชาการยังไม่เห็นพ้องต้องกันเรื่องมรดกที่เขามอบให้ชาวมายาในประเด็น
ว่า อัคคีจุติเป็นผู้เริ่มต้นยุคอิทธิพลจากต่างแดนอันยาวนานหรือเป็นเพียงผู้เร่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในดินแดนที่มีเชื้ออยู่แล้ว และเป็นไปได้เช่นกันว่า ชาวมายาอาจกำลังก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ด้วยตนเองแล้ว ทว่าสิ่งที่ไม่มีใครกังขาก็คือ การมาของอัคคีจุติคือจุดเปลี่ยนของเหตุการณ์ ก่อนที่อัคคีจุติจะเข้ามา ชาวมายาก็เจริญรุ่งเรืองอย่างไม่น่าเป็นไปได้ในดินแดนแร้นแค้นอยู่แล้ว ปัจจุบันที่ราบต่ำในภูมิภาคเปเตนซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเม็กซิโกติดกับกัวเตมาลาให้ผลิตผลแค่พอประทังชีวิตชาวเมืองเท่านั้น
อาร์เทอร์ เดมาเรสต์ นักวิชาการด้านมายาจากมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์บอกว่า “อารยธรรมที่สูงส่งไม่น่าจะเกิดขึ้นที่นี่ได้”
       ภูมิประเทศของนครวากาโบราณซึ่งปัจจุบันคือเอลเปรู ไม่น่าจะต่างจากครั้ง
ที่ชาวมายาคนแรกเดินทางมาถึงเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล นั่นคือเป็นป่าดิบชื้นที่มีนกมาคอว์สีแดง นกทูแคน และแร้งทำรังอยู่บนไม้ยืนต้นเขตร้อนที่สูงชะลูด ที่นี่คือดินแดนแห่งความรกเรื้อ โคลนเลน งูพิษ ความอับชื้นและเสือสาง โดยเฉพาะ บาลัม หรือเสือจากัวร์ซึ่งชาวมายาถือว่าเป็นเจ้าป่า  
        พวกที่อพยพมาแรกๆอาจไม่มีทางเลือกเพราะเมืองอื่นๆที่แออัดบีบให้พวกเขามายังดินแดนอันแสนกันดารนี้ แต่เมื่อมาถึงแล้ว พวกเขาก็เอาชนะความยากลำบากได้ ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้แม่น้ำ ทะเลสาบ และหนองบึง เพิ่มผลผลิตจากผืนดินที่ขาดความสมบูรณ์ ถางป่าเพื่อปลูกข้าวโพด ฟักแฟง และพืชผลต่างๆด้วยการเพาะปลูกสลับกับการเผาคล้ายวิธีของชาวมายาปัจจุบัน จากนั้นก็เติมความสมบูรณ์ให้ดินด้วยการปลูกพืชชนิดอื่นและพักดินจากการเพาะปลูกบ้าง    
        ครั้นเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ชาวมายาก็หันมาใช้วิธีเพิ่มผลผลิตให้มากยิ่งขึ้น เช่น การใส่ปุ๋ยคอก การปลูกพืชแบบขั้นบันได และการชลประทานพวกเขาถมหนองบึงเพื่อเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก นำเลนและดินตะกอนก้นหนองไปทำสวน ล้อมรั้ว ขุดบ่อเลี้ยงปลา กั้นคอกเลี้ยงกวางและสัตว์อื่นๆที่จับได้จากป่า ชาวมายาโบราณเค้นผลผลิตจากดินที่ไม่สมบูรณ์นี้จนพอเลี้ยงผู้คนหลายล้านคน ซึ่งมากกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัว        
        ชาวมายาดำรงชีพอย่างผาสุกในป่าดิบชื้นหลายร้อยปี ชุมชนขยายเป็นนครรัฐ และวัฒนธรรมก็ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น แม้ชาวมายาจะไม่มีวงล้อหรือเครื่องมือโลหะ แต่ก็มีระบบการเขียนอักษรภาพที่สมบูรณ์ และยังเข้าใจเรื่องค่าของศูนย์จนนำไปใช้ในการคำนวณต่างๆในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้พวกเขายังมีปีที่มี 365 วัน และชาญฉลาดพอที่จะแก้ไขความคลาดเคลื่อนของปีด้วยวิธีการที่คล้ายกับการเพิ่มปีอธิกสุรทิน      
       กษัตริย์ปกครองที่ชาวมายาเรียกว่า คูฮูล อะคอว์ หรือเทวกษัตริย์ ทรงเป็นสื่อกลางระหว่างสวรรค์กับโลก ทรงได้อำนาจจากทวยเทพ เป็นทั้งพ่อมดหมอผีที่อธิบายเรื่องศาสนาและคตินิยมแก่ประชาชน และเป็นทั้งผู้ปกครองซึ่งนำเหล่าประชาทั้งในยามศึกและยามสงบ  
        เบื้องหลังเสื้อคลุมแห่งพิธีกรรม นครรัฐของมายาก็ไม่ต่างจากนครอื่นๆที่แสวงหาพันธมิตร ทำสงคราม และค้าขายในอาณาจักรที่แผ่กว้างไปทั่วดินแดนตอนใต้ของเม็กซิโกในปัจจุบัน จากที่ราบต่ำเปเตนไปจรดชายฝั่งทะเลแคริบเบียนในฮอนดูรัส แม้จะมีเส้นทางเก่าแก่และถนนปูนเชื่อมตัดกันทั่วผืนป่าและมีเรือแคนูขึ้นล่องตามแม่น้ำ แต่ในทางการเมืองแล้ว นครรัฐต่างๆเหล่านี้ยังต่างคนต่างอยู่ก่อนที่อัคคีจุติจะมาถึง
        
         ล่วงถึงปี 378 นครวากากลายเป็นศูนย์กลางความเจริญที่สำคัญแห่งหนึ่งมีจัตุรัสใหญ่สี่แห่ง อาคารหลายร้อยหลัง วิหารซึ่งมีความสูง 90 เมตร ปราสาทราชวังสำหรับประกอบพิธีตกแต่งด้วยภาพวาดบนผนังปูน บนลานประดิษฐานแท่นบูชาและอนุสาวรีย์ทำด้วยหินปูนสลักลวดลาย นครซึ่งเป็นมหาอำนาจด้านการค้านี้ตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์บนแม่น้ำซันเปรโด สินค้าหายากจากต่างแดนก็มีขาย เช่น หยกสำหรับงานประติมากรรมและเครื่องประดับ และขนนกเก็ตซัลสำหรับประดับเครื่องแต่งกาย ซึ่งมาจากเทือกเขาทางใต้ หินออบซิเดียนสำหรับทำอาวุธ แร่ไพไรต์สำหรับทำกระจกเงาจากที่ราบสูงเม็กซิโกทางตะวันตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหานครเตโอตีอัวกัน      
        ถึงแม้มหานครเตโอตีอัวกันอันไพศาลจะมีพลเมืองอย่างน้อย 100,000 คน และอาจเป็นนครที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคนั้น แต่กลับไม่เหลือบันทึกใดๆไว้ให้นักอ่านจารึกไขปริศนาได้ แต่เหตุผลที่เตโอตีอัวกันส่งอัคคีจุติไปยังดินแดนมายาดูจะชัดเจน นครวากามีทำเลที่ตั้งอยู่บนแหลมที่ยื่นออกไปเหนือลำน้ำแขนงหนึ่งของแม่น้ำซันเปโดรและมีท่าเรือที่ปลอดภัย เหมาะสำหรับจอดเรือขนาดใหญ่“เป็นจุดยุทธศาสตร์การรบชั้นยอดเลยครับ” เดวิด ฟรีเดล นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นเมโทดิสต์ และผู้อำนวยการร่วมในการขุดสำรวจที่นครวากา กล่าว ซึ่งนี่คงจะตรงกับสิ่งที่อัคคีจุติคิดพอดี  
เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก
สิงหาคม 2550
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 สิงหาคม 2010, 18:26:51 โดย pani »