มหาวิทยาลัยมหิดล เผยผลการทดลองใช้วัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรคเอดส์ ที่ใช้ด้วยวิธีการปูพื้นแล้วกระตุ้น ได้ผลอยู่ที่ประมาณ 60% คาดทราบผลไม่เกิน 3 ปี...
ศ.พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม รักษาราชการศูนย์วัคซีนเอดส์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้กำหนดหลักเป้าหมายการเกิดอุบัติการณ์โรคเอดส์ให้เป็นศูนย์ ด้วยการใช้วัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรคเอดส์ โดยประเทศไทยเริ่มมีการทดลองตั้งแต่ปี 2536 จนถึงปัจจุบัน เริ่มทดลองภายใต้ชื่ออาร์วี 144 ที่ได้ผล 31.2% ต่อมาจึงพัฒนาโดยการนำส่วนของโปรตีนจากเชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นสารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยคัดเลือกภูมิคุ้มกันจากเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์บี และสายพันธุ์อี ที่พบมากในประเทศไทยและนำโปรตีนจากเชื้อเอชไอวีที่ได้มาผลิตวัคซีน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าวัคซีนที่ใช้ด้วยวิธีการปูพื้นแล้วกระตุ้นนั้น ได้รับผลอยู่ที่ประมาณ 60% ทำให้เกิดผลในเชิงป้องกันได้และศึกษาต่อเนื่อง ด้วยการใช้วัคซีนรูปแบบเดิม เพื่อศึกษาลักษณะการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นในเลือด รวมทั้งของเหลวในร่างกายโดยเฉพาะสารคัดหลั่งจากปากมดลูก น้ำอสุจิ เป็นต้น ซึ่งเป็นที่มาของการศึกษาอีก 2 โครงการ โดยใช้ชื่อว่าอาร์วี 305 และอาร์วี 306 ซึ่งโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลกับสหรัฐอเมริกา
ศ.พญ.พรรณีเผยต่อว่า อาร์วี 305 เป็นการทดสอบระยะที่ 2 โดยเพิ่มเติมด้วยการกระตุ้นซ้ำในอาสาสมัครกลุ่มเดิมจากโครงการศึกษาวัคซีนเอดส์ทดลองระยะที่ 3 ที่ได้รับวัคซีนครบและไม่ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งได้เริ่มโครงการไปแล้วโดยให้วัคซีนกระตุ้น 2 ครั้ง ห่างกัน 6 เดือน สำหรับโครงการอาร์วี 306 นั้นจะเริ่มต้นอีก 2-3 เดือนข้างหน้าโดยจะฉีดวัคซีนเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ส่วนระยะเวลาในการทราบผลของอาร์วี 306 นั้นไม่เกิน 3 ปี.
Thairath.co.th 12/5/2012
