สมุดปกขาว
ข้อแจงข้อเท็จจริง
กรณี (ร่าง) พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหาย
จากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... กรกฎาคม 2553 ทำไมต้องมีกฎหมายฉบับนี้
๑.ในอดีตก่อนมีพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อผู้ป่วยได้รับความเสียหายจาการรับบริการสาธารณสุขและไมได้รับความช่วยเหลือจากหมอหรือโรงพยาบาลผู้ป่วยมักจะเงียบหรือมีจำนวนหนึ่งซึ่งน้อยมากไปขอรับความเป็นธรรมจากศาล ซึ่งพบว่ามีความยากลำบากในการพิสูจน์ความถูกความผิดที่เกิดขึ้น
๒.ดังนั้นในพ.ร.บ.หลักประกันจึงได้นำปัญหานี้ไปแก้ไขโดยกำหนดไว้ในมาตรา๔๑ ให้มีการกันเงินไว้ไม่น้อยร้อยละ ๑ไว้จ่ายแทนแพทย์และหน่วยบริการเพื่อช่วยเหลือเบื้องต้นผุ้ที่ได้รับความเสียหายจากบริการสาธารณสุขที่ไม่ได้เกิดจากพยาธิสภาพของโรคนั้นๆไม่ต้องมีการพิสูจน์ถูกผิด และครอบคลุมเหตุสุดวิสัยทางการแพทย์ โดยมีคณะกรรมการไม่เกิน ๗ คนประกอบด้วยผู้แทนผู้ให้บริการและผู้รับ
บริการในสัดส่วนที่เท่ากัน และผู้ทรงคุณวุฒิ ในการพิจารณาจ่ายเงินในระดับจังหวัด ปีที่ผ่านมามีผู้ขอรับการช่วยเหลือเพียง ๘๑๐ รายและเข้าข่ายต้องช่วยเหลือจำนวน ๖๖๐ รายใช้เงินไปประมาณ ๗๓ล้านบาทโดยมีผู้ใช้บริการในหน่วยบริการประมาณ๒๐๐ล้านครั้ง
๓.แต่กลไกการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา ๔๑ของพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติครอบคลุมเฉพาะคนไข้บัตรทองประมาณ๔๗ล้านคน ดังนั้นประชาชน๑๖ล้านคนยังไม่มีระบบใดๆ
รองรับ เมื่อเกิดปัญหาแพทย์หรือหน่วยบริการนั้นก็ต้องเป็นผู้รับความเสี่ยงต้องจ่ายค่าเสียหายหรือค่าช่วยเหลือเบื้องต้น ด้วยแพทย์ หรือโรงพยาบาล
๔.ความขัดแย้งของแพทย์และคนไข้มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งมีสาเหตุหลายประการ อาทิเช่น ระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นระบบสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขการแพทย์สาธารณสุขที่เป็นการค้ามากขึ้นการพัฒนาคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ระบบทุนนิยมและบทบาทของสื่อมวลชนเป็นต้น โดยมีสถิติการฟ้องร้องคดีแพ่งต่อศาลในช่วงปี๒๕๓๙-
๒๕๕๑ จำนวน ๗๖ คดี และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปีในปัจจุบัน
๕.ในปี๒๕๕๐กลุ่มประชาชนผู้ได้รับความเสียหายทางการแพทย์ กลุ่มองค์กรผู้บริโภค กลุ่มผู้ป่วยและองค์กรพัฒนาเอกชน ได้ปรึกษาหารือกัน และประสานความร่วมมือกับนพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงสาธารณสุขในสมัยนั้น จึงเป็นที่มาที่อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอให้มีการตั้งคณะทำงานยกร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข โดยมีนพ.พงษ์
พิสุทธิ์ จงอุดมสุข เป็นประธาน และมีองค์ประกอบจากนักวิชาการ แพทยสภา กองประกอบโรคศิลปะตัวแทนผู้เสียหาย องค์กรผู้บริโภคและหน่วยงานทีเกี่ยวข้อง โดยมีหลักการสำคัญ3ประการคือการชดเชยความเสียหายจากบริการสาธารณสุขโดยไม่พิสูจน์ถูกผิด การลดการฟ้องฟ้องระหว่างแพทย์และคนไข้ และการนำความเสียหายที่เกิดขึ้นปรับปรุงระบบบริการสาธารณสุข และกระทรวงสาธารณสุขได้ปรับปรุงเป็นร่างกฎหมายฉบับกระทรวงสาธารณสุข และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากแพทยสภาและผู้ประกอบวิชาชีพไม่น้อยกว่า300 คน โดยกลุ่มประชาชนผู้เสนอกฎหมายคัดค้านการรับฟังความคิดเห็นในครั้งนั้นเพื่อนำร่างเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
๖.คณะรัฐมนตรีรับหลักการ และได้ส่งต่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาและจัดทำเป็นกฎหมายของรัฐบาล ตลอดขั้นตอนในคณะกรรมการ มีตัวแทนทุกภาคส่วน ทั้งจากกองประกอบโรคศิลปะแพทยสภา แพทยสมาคม สมาคมคลินิกเอกชน ตัวแทนผู้เสียหาย องค์กรผู้บริโภค ผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านร่วมกันพิจารณาจนได้เป็นร่างของคณะรัฐมนตรีที่รอการพิจารณาใน
สมัยประชุมนิติบัญญัตินี้
๗.นอกจากนี้ ตัวแทนผู้ป่วย องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรผู้บริโภค ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อให้มีการจัดตั้งกองทุนชั่วคราวในการชดเชยความเสียหายโดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้จัดทำข้อมูลราย
ละเอียด ว่า จะใช้งบประมาณในการดำเนินการจำนวนเท่าใดซึ่งปัจจุบันได้มีการเสนอข้อมูลให้นายกรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อย
ความคืบหน้าของกฎหมายฉบับนี้
๑. ปัจจุบันมีกฎหมายทั้งหมด ๗ ฉบับที่ถูกเสนอและรอการพิจารณา
ของสภาผู้แทนราษฎรวาระที่ 1
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข
พ.ศ. .... (คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ) [1]
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข
พ.ศ. .... (นายเจริญ จรรย์โกมล กับคณะ เป็นผู้เสนอ) [2]
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข
พ.ศ. .... (นายประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) [3]
ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมความสัมพันธ์ในระบบบริการ
สาธารณสุข พ.ศ. .... (นายบรรพต ต้นธีรวงศ์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ)
[4]
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ให้บริการและผู้รับบริการสาธารณสุข
พ.ศ. .... (นางอุดมลักษณ์ เพ็งนรพัฒน์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) [5]
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข
พ.ศ. ....(นายสุทัศน์ เงินหมื่น กับคณะ เป็นผู้เสนอ) [6]
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข
พ.ศ. .... (นางสาวสารี อ๋องสมหวัง กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
จำนวน ๑๐,๖๓๑คน เป็นผู้เสนอ) [7]
[1] ดูรายละเอียดที่
http://library2.parliament.go.th/giventake/content_hr/d051253-05.pdf [2] ดูรายละเอียดที่
http://library2.parliament.go.th/giventake/content_hr/d051253-08.pdf PB
ข้อเท็จจริงในร่างกฎหมาย : ตอบตรงทุกคำคัดค้าน
๑. ไม่มีแพทย์เข้าไปเป็นกรรมการเวลาพิจารณาคดี มี NGO ไปกว่าครึ่ง คณะกรรมการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระบบบริการสาธารณสุขตามมาตรา ๗ มีบทบาทในการกำหนดนโยบายและมาตรการเพื่อคุ้มครองผู้เสียหาย พัฒนาระบบความปลอดภัย และการสนับสนุนการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีในระบบบริการสาธารณสุข รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง
หากพิจารณามาตรา ๗(๓) มีพบผู้แทนสถานพยาบาล จำนวน ๓ คนเนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ จัดให้มีกองทุนเยียวยาความเสียหายโดยที่มาของเงินมาจากสถานพยาบาลของรัฐ(รัฐเป็นผู้จ่ายสมทบ) และสถานพยาบาลเอกชนจึงต้องมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในคณะกรรมการนโยบาย ตามกฎหมายนี้ให้น้ำหนักกับผู้จ่ายเงินเนื่องจากเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงมากกว่าผู้ประกอบวิชาชีพ จึงมีผู้แทนสถานพยาบาลและขณะเดียวกันน่าจะเป็นตัวแทนผู้ประกอบวิชาชีพอยู่แล้ว โดยมีสัดส่วนที่กันกับผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้านสุขภาพ ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ไม่น้อยกว่า๒๐๐ องค์กร ส่วนสุดท้ายเป็นตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
[3] ดูรายละเอียดที่
http://library2.parliament.go.th/giventake/content_hr/d051253-09.pdf [4] ดูรายละเอียดที่
http://library2.parliament.go.th/giventake/content_hr/d051253-10.pdf [5] ดูรายละเอียดที่http://library2.parliament.go.th/giventake/content_hr/d051253-11.pdf
[6] ดูรายละเอียดที่
http://library2.parliament.go.th/giventake/content_hr/d051253-12.pdf [7] ดูรายละเอียดที่
http://library2.parliament.go.th/giventake/content_hr/d051253-13.pdf นอกจากนี้ในมาตรา ๑๒ ยังกำหนดให้มีคณะอนุกรรมการอย่างน้อย๒ คณะซึ่งเกี่ยวข้องกับการพิจารณาและจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นและเงินชดเชยโดยตรง
๑.คณะอนุกรรมการพิจารณาให้เงินช่วยเหลือเบื้องต้น ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ ด้านการแพทย์และสาธารณสุขด้านการคุ้มครองผู้บริโภค อย่างละ ๑ คน ผู้แทนสถานพยาบาลและผู้แทน
ผู้รับบริการอย่างละ ๑ คน ในคณะอนุกรรมการจะเห็นว่ามีผู้รู้เรื่องด้านการรักษาพยาบาลอย่างน้อย๒คน
๒.คณะอนุกรรมการประเมินเงินชดเชยประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ ด้านสังคมศาสตร์ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านละ ๑ คน ที่สำคัญกว่านั้นคือ บทบาทหน้าที่ของคณะอนุกรรมการไม่ได้มีหน้าที่พิจารณาหาผู้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น หลักการในการพิจารณาจ่ายเงินไม่ได้มีการพิสูจน์ถูกผิด กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ต้องการจับผิดแพทย์เพ่งโทษรายบุคคลหรือพิจารณามาตรฐานของแพทย์ จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีราชวิทยาลัยทุกสาขาและใช้กลไกเช่นเดียวกันกับแพทยสภา แต่ให้ใช้กลไกเช่นเดียวกับการพิจารณาการช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 ของกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และไม่เห็นมีการคัดค้านเลยเมื่อมีผู้แทนผู้ประกอบวิชาชีพมากกว่าผู้แทนองค์กรผู้บริโภคตามมาตรา๑๒
๒. คนไข้ได้เงินสองต่อ โดยไม่ได้พิสูจน์ว่ามีความเสียหายเกิดจากการแพทย์หรือไม่หรือเป็นเพราะโรคเอง คนไข้จะได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นหากมีความเสียหาย แต่หากเป็นเพราะโรคนั้นๆหรือพยาธิสภาพของโรคจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือหรือชดเชยไม่ใช่ผู้ป่วยที่เสียชีวิตทุกรายที่โรงพยาบาลแล้วต้องได้เงินการช่วยเหลือเบื้องต้นต้องดำเนินการภายใน๓๐วันเพราะต้องการความรวดเร็วเพื่อลดความขัดแย้ง และพิจารณาจ่ายเงินชดเชยต่อไป ยึดหลักการพิจารณาคดีแพ่งเพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือเทียบเท่าหรือไม่น้อยกว่าการฟ้องคดีมากนัก เพราะจะเป็นการสกัดการฟ้องคดี หรือหากฟ้องคดีก็คงไม่ได้รับเงินชดเชยมากไปกว่านี้
๓. ได้เงินแล้ว คนไข้มีสิทธิ์ฟ้องอาญาแพทย์ได้อีก แม้ว่าโดยหลักการแล้ว การฟ้องร้องทางคดีอาญาจะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่ผู้เสียหายมีสิทธิใช้ ด้วยเป็นสิทธิทางกฎหมาย ที่ไม่สามารถมีกฎหมายใดมายกเลิกได้ แต่ด้วยหลักการแก้ปัญหาเชิงบวก ไม่เพ่งโทษที่บุคคล เน้นความร่วมมือ และให้ความช่วยเหลือเยียวยากับผู้ที่เป็นเหยื่อความผิดพลาดของระบบ กฎหมายการชดเชยฯ จะเป็นระบบที่ทำให้ทุกฝ่าย
ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้เสียหายฯ ไม่ว่าผู้ป่วยหรือญาติ หันหน้าเข้าหากันแทนการเผชิญหน้า เพราะโดยข้อเท็จจริงที่ปรากฏทั่วไปก็คือ การฟ้องร้องตามกฎหมาย เป็นเรื่องที่ชาวบ้านธรรมดาเข้าถึงได้ยากเพราะยุ่งยาก เสียเวลานานและได้ไม่คุ้มเสีย นอกจากนี้ในร่างกฎหมายที่รัฐบาลเสนอเข้าสู่รัฐสภาก็ไม่มีมาตราใดที่จะเปิดช่องให้ฟ้องแพทย์หรือโรงพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่อื่นในโรงพยาบาลเลย ตรงกันข้ามกลับจะช่วยแพทย์และโรงพยาบาลอย่างมาก เพราะร่างมาตรา ๓๔ ของรัฐบาล กำหนดว่า หากผู้เสียหายหรือญาติไม่ตกลงยินยอมรับเงินชดเชยและได้ฟ้องร้องผู้ให้บริการสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องกับความเสียหายเป็นคดีต่อศาล ให้สำนักงานยุติการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ผู้เสียหายหรือทายาทไม่มีสิทธิ์ที่จะยืนคำขอตามพระราชบัญญัตินี้อีกหรือเมื่อพิจารณามาตรา ๔๕ที่กำหนดให้กรณีผู้ให้บริการถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาฐานกระทำการโดยประมาท หากศาลเห็นว่าจำเลยกระทำผิด ศาลสามารถนำข้อเท็จจริงต่างๆ ของจำเลยเกี่ยวกับประวัติ พฤติการณ์แห่งคดีมาตรฐานทางวิชาชีพ การบรรเทาผลร้ายแห่งคดี การรู้สำนึกในความผิด การทำสัญญาประนีประนอมตามกฎหมายฯ มาพิจารณาประกอบ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดหรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้ จะเห็นได้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวได้พยายามป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในด้านต่างๆอย่างรอบคอบ
๔. อายุคดีความยาวตั้งเป็น ๑๐ ปี ป่านนั้นก็ลืมไปแล้วว่าเป็นเพราะ medical error หรือ ตัวโรคเอง
กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ขยายอายุความ แต่ปัจจุบันประเทศไทยมีพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค
พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งมีหลักเรื่องอายุความเช่นเดียวกับร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยยึดหลักกรณีความเสียหายต่อร่างกาย-สุขภาพ ที่ผลของสารทีสะสมในร่างกายใช้เวลาในการแสดงอาการ ต้องใช้สิทธิภายใน๓ปีเมื่อรู้ถึงความเสียหายและรู้ผู้ประกอบการแต่ไม่เกิน ๑๐ปีจากวันที่รู้ความเสียหาย มาตรา ๑๓ ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค
๕. แต่ที่แน่ๆ เขาไม่ได้อ่านต้นฉบับ เขาฟังต่อๆกันมา อันนี้คงตอบแทนไม่ได้ แต่เชื่อว่าหากแพทย์ได้อ่านกฎหมายฉบับนี้แล้วน่าจะสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้กันเป็นส่วนใหญ่ยกเว้นผู้ที่อาจจะเสียผลประโยชน์ในเรื่องนี้
๖. เก็บตังค์หมอไป คุ้มครองหมอคนอื่นที่อาจจะทำชุ่ยจริง เหมือนประกันในต่างประเทศ หลายคนคิดว่าทำไมฉันต้องจ่ายให้หมอชุ่ยๆด้วย คุณหมอนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข ได้ให้เหตุผลไว้
อย่างน่าสนใจ ว่า เป็นการเปลี่ยนจากการรับภาระความเสี่ยงเป็นราย (post paid) ซึ่งมีมูลค่าสูงต่อครั้ง เปลี่ยนมาเป็นการแชร์ความเสี่ยงของทั้งระบบ โดยการจ่ายเบี้ยสมทบแบบอัตราเฉลี่ยต่อคนจึงเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการระดมทุน ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนที่ต้องจ่ายเบี้ยสมทบอาจเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากการมารับบริการของผู้ป่วย ยกตัวอย่างเช่น ๘๐บาท ต่อรายผู้ป่วยที่นอนค้างรักษาในโรงพยาบาลเป็นต้นส่วนที่จะต้องเก็บจากโรงพยาบาลรัฐ ทางกองทุนจะของบประมาณรัฐบาลอุดหนุนปีต่อปี(คนไข้โรงพยาบาลเอกชนต่างหวังว่าจะไม่ถูกเก็บ ๕๐๐บาท)
๗. ประเทศสวีเดน คนฟ้องร้องมากขึ้น หลังจากมีกฎหมายฉบับนี้ข้อกล่าวหาเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงรายงานของ The Swedish Patient Insurance Association ระบุว่า ก่อนปี ค.ศ. 1975เมื่อยังไม่มีระบบชดเชยความเสียหายแบบนี้ในสวีเดน ผู้เสียหายต้องฟ้องร้องผ่านศาลตามกฎหมายว่าด้วยการละเมิด พบว่ามีผู้เสียหายได้รับการชดเชยประมาณ๑๐๐ราย ต่อปีเท่านั้น หลังจากมีกฎหมายThe Swedish Patient Injury Actแล้วมีผู้เสียหายได้รับการชดเชยเพิ่มขึ้นเป็นประมาณปีละ๕,๐๐๐รายโดยผู้เสียหายที่ร้องขอการชดเชยจะไม่มีภาระค่าใช้จ่ายใด ๆ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกระบวนการพิจารณา การดำเนินการต่างๆ ตั้งแต่ร้องเรียนเข้ามาจนกระทั่งได้รับการชดเชยเฉลี่ยรายละประมาณ๙๐๐-๑,๐๐๐ เหรียญ(ยูโร) เท่านั้นและประมาณร้อยละ ๕๐ได้รับการชดเชยภายใน ๖เดือนร้อยละ๘๐ได้รับการชดเชยภายใน๑ปี เมื่อเทียบกับระบบการฟ้องศาลพบว่าค่าใช้จ่ายต่อรายสูงถึงประมาณ๒๒,๐๐๐เหรียญและใช้เวลายาวนานหลายปี
๘. ไม่คุ้มครองกรณีเหตุสุดวิสัย ทำให้ฟ้องร้องต่อ มาตรา ๖ วรรค ๒ ได้เขียนยกเว้นไม่คุ้มครองกรณีความเสียหายซึ่งหลีกเลี่ยงมิได้จากการให้บริการสาธารณสุขตามมาตรฐานวิชาชีพ ซึ่งเป็นการแก้ไขร่างกฎหมายในชั้นคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยหากพิจารณาร่างกฎหมายหลายฉบับหรือแม้แต่ร่างกฎหมายฉบับประชาชนก็ไม่ได้ระบุข้อยกเว้นเรื่องนัไว้ นั่นเท่ากับว่า ให้การคุ้มครองในเรื่องนี้ และถือว่าเป็นเรื่องที่จะต้องคุ้มครองเพราะเป็นความเสียหายที่ไม่ใครตั้งใจให้เกิดขึ้นซึ่งหากเห็นตรงกันก็เป็นรายละเอียดที่สามารถแก้ไขได้ในขั้นตอนการพิจารณากฎหมาย
๙. คนหมื่นคน(คนที่เสนอกฎหมาย) เป็นคนที่ได้ประโยชน์กลุ่มเดียว หรือ NGO อยากเข้าไปเป็นกรรมการ หาผลประโยชน์จากองทุน กฎหมายนี้ให้สิทธิกับประชาชนคนไทยทุกคน การเสนอกฎหมายนี้
โดยประชาชนเกิดขึ้นจากพัฒนาการการทำงานของเครือข่ายผู้ป่วย ผู้เสียหายทางการแพทย์ องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสุขภาพ และองค์กรผู้บริโภค ที่สนับสนุนการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานเท่าเทียมและมีคุณภาพตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหลายยุคหลายฉบับ รวมทั้งมีโอกาสในการรับรู้ปัญหาความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากผู้ใช้บริการสาธารณสุข หากมองว่ากลุ่มองค์กรเหล่านี้ตั้งใจจะเข้าไปเป็นกรรมการบริหารกองทุนหาผลประโยชน์ องค์กรเหล่านี้ในปัจจุบันมีไม่น้อยกว่า๓๐๐องค์กรที่ขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการกับทั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคนกลุ่มนี้เป็นเพียงผู้ทำหน้าทีในการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา๑๖๓ ที่กำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ๑๐,๐๐๐ ชื่อเข้าชื่อกันเสนอกฎหมาย ซึ่งมีความยากลำบากและขั้นตอนมากมายในการดำเนินการที่ต้องรวบรวมทั้งสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประชาชนในการเสนอ
กฎหมาย และปัจจุบันทำได้เพียงยื่นกฎหมายไว้หน้าประตูรัฐสภา เพราะไม่มีการให้ความสำคัญในการเสนอกฎหมายของประชาชนจากรัฐสภา เห็นได้จาก(ร่าง) พ.ร.บ.องค์การอิสระผู้บริโภค พ.ศ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา๖๑ หรือ(ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. ....ที่ยื่นรายชื่อ๑๐,๐๐๐ชื่อกับประธานรัฐสภา ไปมากกว่า ๑ ปี ตั้งแต่ วันที่๑๙กุมภาพันธ์๒๕๕๒ และวันที่๑๘มิถุนายน๒๕๕๒ตามลำดับในการเสนอกฎหมายของประชาชน และยังไม่ได้รับการพิจารณา หรือรับหลักการจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด
ขอร้องเถอะอย่าคัดค้านให้ถอนร่างเลย เพราะไม่มีเหตุผลใด ๆ ไปมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และแก้ไขให้ดีที่สุด ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณากฎหมายของรัฐสภาซึ่งใช้เวลาไม่น่าจะน้อยกว่า๑ ปีไม่อย่างนั้นอดีตนายกอานันท์ หรืออาจารย์สมบัติต้องปฏิรูปเรื่องการมีส่วนร่วมทางการเมือง(ทางตรง)ของภาคประชาชนด้วย
สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ได้ที่
โครงการปฏิบัติการองค์การอิสระผู้บริโภค (จำลอง)
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
๔/๒ซอยวัฒนโยธิน แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐
โทร. ๐๒-๒๔๘-๓๗๓๗ โทรสาร ๐๒-๒๔๘-๒๗๓๓
www.consumerthai.org สนับสนุนโดย
แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ