วันนี้ (18 เม.ย.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเข้าให้การกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอในคดียาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีนหายไปจากโรงพยาบาลต่างๆ ว่า ตนเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอตามหมายเรียกเพื่อเข้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับการหายไปของยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน โดยข้อมูลหลักที่ให้กับพนักงานสอบสวนคือประเด็นเกี่ยวกับการอนุมัติจัดซื้อ การควบคุม เบิกจ่ายยาในโรงพยาบาลต่าง ๆ และกรณีการสูญหายของยาว่ามีเจ้าหน้าที่ส่วนใดต้องรับผิดชอบ พร้อมให้ข้อมูลการดำเนินการที่ผ่านมาของกระทรวงสาธารณสุขต่อกรณีดังกล่าว ซึ่งกระทรวงทราบข้อมูลการสูญหายของยาจากกรณีพบซองยาจำนวนมากที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โดยซองยาส่วนหนึ่งมีที่มาจาก รพ.ศูนย์อุดรธานี จ.อุดรธานี และ รพ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ จึงได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงลงพื้นที่ตรวจสอบโรงพยาบาลทุกแห่งว่ามีการสั่งซื้อยาจำนวนเท่าใด เพื่อนำมาตรวจสอบกับยอดยาที่บริษัทแจ้งกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)
นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า ขณะนี้พบว่าในส่วนโรงพยาบาลของรัฐมีความผิดปกติ 8 แห่ง และได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยเรียบร้อยแล้วทั้งในส่วนของการสอบสวนวินัยร้ายแรงและไม่ร้ายแรง โดยกระทรวงมีอำนาจสอบผู้ดำรงตำแหน่งระดับผู้เชี่ยวชาญขึ้นไป แต่หากเป็นระดับชำนาญการพิเศษเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เบื้องต้นได้ย้ายข้าราชการบางส่วนมาช่วยราชการระหว่างรอผลการสอบสวน ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาในการตรวจสอบตามกฎหมายไม่เกิน 6 เดือน แต่เบื้องต้นผู้บริหารได้เร่งการตรวจสอบรวดเร็วมากขึ้น จึงคาดว่าจะสามารถสรุปผลสอบได้เสร็จสิ้นก่อนกรอบเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพยานสามารถเร่งการสอบให้เร็วขึ้นได้ แต่ในส่วนผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถทำได้ เพราะผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิในการชี้แจงข้อกล่าวตามระยะเวลา ทั้งนี้ จากการสอบสวนยังไม่พบว่ามีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในขบวนการ
ด้านพ.ต.ท.สะอาด สุนทร ผู้อำนวยการส่วนคดีความมั่นคง 3 สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ข้อมูลที่ได้รับจากกระทรวงสาธารณสุขถือว่ามีประโยชน์ต่อการสอบสวนมาก โดยดีเอสไอจะเร่งดำเนินการสอบสวนคดีให้เร็วที่สุด หากต้องการข้อมูลใดเพิ่มเติมจะประสานให้มีการเข้าชี้แจงอีกครั้ง สำหรับการเรียกสอบผู้อำนวยการโรงพยาบาล และเจ้าของคลินิกรวม 11 แห่ง ในวันที่ 19 - 20 เม.ย.นี้ จะสอบถามประเด็นการบริหารงานของโรงพยาบาลและยาสูตรซูโดอีเฟดรีนที่หายจากระบบ โดยจะนำข้อมูลที่ได้จากกระทรวงสาธารณสุขไปประมวลผลร่วมกับพนักงานอัยการเพื่อกำหนดประเด็นการสอบปากคำต่อไป.
เดลินิวส์ 18 เมษายน 2555
