หลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามารับบริการทางการแพทย์มากกว่า 1.2 ล้านคน เมื่อเปรียบเทียบกับยอดคนไข้ต่างชาติในประเทศอื่นๆแล้ว ถือว่าประเทศไทยมีชาวต่างชาติมารับบริการทางการแพทย์มากที่สุดในโลก ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำในตลาดการแพทย์ของเอเชียอย่างชัดเจน แม้ว่าภาคธุรกิจโดยรวมจะประสบกับปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ปัญหานี้แทบไม่ได้ส่งผลกระทบต่อปริมาณคนไข้ต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลของประเทศไทยเลย
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าว่า การประกาศตัวสู่การเป็น “ศูนย์กลางของการรักษาพยาบาล”(Medical Hub)เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งของประเทศไทย ภายใต้กรอบการค้าเสรีเป็นนโยบายของภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยให้มีความเป็นเลิศในผลิตภัณฑ์และการบริการด้านสุขภาพ การรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้เป็นเพราะประเทศไทยมีจุดเด่นอันเป็นจุดขายสำคัญนั่นคือ การมีมาตรฐานทางการแพทย์ที่เทียบเท่าระดับสากล มีทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่มีฝีมือ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการรักษา และ มีสถานบริการทางการแพทย์ที่ได้คุณภาพมาตราฐาน
แต่ที่ผ่านมาพบว่ายังมีปัญหาและอุปสรรคบางประการสำหรับคนไข้ต่างชาติ คือ ความสะดวกรวดเร็วในการขอวีซ่าเข้าประเทศที่ยังต้องใช้เวลาหลายวัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อคนไข้และญาติที่จะติดตามมา เนื่องจากผู้ที่จะเดินทางมารักษาตัวในประเทศไทยส่วนใหญ่มักมีอาการหนัก หรือเป็นโรคที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ หากมาถึงมือหมอได้เร็วเท่าใดก็ยิ่งเป็นผลดีกับคนไข้มากขึ้นเท่านั้น หรือหากคนไข้ต้องการขยายเวลาพำนักต่อจะไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร เพราะได้รับวีซ่าประเภทนักท่องเที่ยวมีระยะเวลาพำนักครั้งละไม่เกิน 60 วัน หรือประเภทคนอยู่ชั่วคราวที่จะมีระยะเวลาพำนักครั้งละไม่เกิน 90 วัน ประกอบกับรัฐบาลไทยได้รับข้อเรียกร้องให้มีการพิจารณาขยายเวลาพำนักในประเทศไทยโดยไม่ต้องตรวจลงตราจาก 30 วัน เป็น 90 วัน จากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มคนไข้ต่างชาติที่มีความสำคัญและมีอัตราการเติบโตสูงมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในเรื่องดังกล่าวแล้ว และมีมติให้การสนับสนุนมาตรการอำนวยความสะดวกแก่ประเทศกลุ่มGCC จำนวน 5 ประเทศ คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ รัฐกาตาร์ รัฐคูเวต รัฐสุลต่านโอมาน และรัฐบาห์เรน
“โดยกระทรวงสาธารณสุขได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขประกอบการพิจารณาแนวทางดังกล่าว ได้แก่ การจัดทำประกาศบัญชีประเภทของบริการรักษาพยาบาล การจัดทำหลักเกณฑ์ประเภทของผู้ป่วยบุคคลในครอบครัวและผู้ติดตาม การจัดทำประเภทของเอกสารทางการแพทย์เพื่อใช้ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง การจัดทำประกาศรายชื่อสถานบริการสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะเข้าร่วมดำเนินงาน รวมทั้งการพัฒนาระบบตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งชาวต่างชาติสามารถดำเนินการขอรับเอกสารผ่านช่องทางของสถานบริการสุขภาพโดยตรง หรือผ่านศูนย์ One Stop Service Center หรือใช้บริการระบบ On line ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหลักเกณฑ์พิจารณาความเป็นไปได้ในการเดินทางเข้ามาในไทยของชาวต่างชาติแบบมีเงื่อนไขเฉพาะสำหรับการเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาลเท่านั้น จะได้รับยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ป่วยและผู้ติดตาม รวมไม่เกิน 3 — 5 คน โดยมีระยะเวลาพำนักครั้งละไม่เกิน 90 วัน เดินทางเข้ามาได้หลายครั้ง แต่สามารถขยายระยะเวลาต่อเนื่องได้รวมแล้วไม่เกิน 1 ปี”นายวิทยากล่าว
ด้านนายแพทย์สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่าถึงแม้ไทยจะมีคู่แข่งหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย แต่ไทยมีข้อได้เปรียบในเรื่องของการบริการซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทั่วโลกให้การยอมรับ และยังมีราคาค่าบริการที่ต่ำกว่าหลายๆประเทศ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่ง ซึ่งการเดินทางมารักษาพยาบาลในไทยยังสามารถพ่วงเรื่องของการท่องเที่ยวเสริมเข้าไปได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้ป่วยเองหรือญาติผู้ป่วยก็ตาม ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชาวต่างชาตินิยมมาใช้บริการการรักษาในเมืองไทยค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น อเมริกา กลุ่มสแกนดิเนเวีย กลุ่มอาหรับ หรือประเทศกลุ่มGCC สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ รัฐกาตาร์ รัฐคูเวต รัฐสุลต่านโอมาน และรัฐบาห์เรน ฯลฯ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของไทย ในการก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในตลาดการแพทย์ต่างชาติ โดยพบว่าผู้ป่วยต่างชาติที่มารักษาพยาบาลในไทยขณะนี้แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกเป็นชาวต่างประเทศที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดประมาณร้อยละ 60 และเป็นชาวต่างประเทศที่บินเข้ามารักษาโดยตรงประมาณร้อยละ 30 ส่วนที่เหลือประมาณร้อยละ10 เป็นนักท่องเที่ยวที่มาแล้วเกิดเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุจนต้องเข้ารับการรักษา ส่วนประเภทของการรักษาพยาบาลที่ชาวต่างชาตินิยมมาใช้บริการในเมืองไทย ได้แก่ การผ่าตัดข้อเข่า ผ่าตัดหัวใจ เช็คอัพร่างกาย ทำฟัน ซึ่งการใช้บริการเหล่านี้สามารถนำรายได้เข้าไทยปีละหลายหมื่นล้านบาท
ส่วนการดำเนินงานตามนโยบายขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Medical Hub นั้น กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จะทำหน้าที่ในการควบคุมมาตรฐานสถานพยาบาลและสถานบริการสุขภาพเพื่อให้มีศักยภาพในการให้บริการแก่ผู้ป่วยชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี ทั้งบุคลากร สถานที่ และผลิตภัณฑ์ ซึ่งสถานบริการสุขภาพทั้งรัฐและอกชนทุกแห่งที่ให้บริการชาวต่างชาติ จะต้องได้รับการรับรองตามเกณฑ์คุณภาพและมาตรฐานแบบHA (Hospital Accreditation)หรือผ่านมาตรฐานแบบJCIA (Joint Accreditation International Accreditation)และจะต้องได้รับการตรวจประเมินและการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขว่าเป็นสถานบริการสุขภาพที่ถูกต้อง สามารถออกเอกสารทางการแพทย์ให้แก่ผู้ป่วยได้นพ.สมชัยกล่าว
ThaiPR.net -- อังคารที่ 17 เมษายน 2555