ผู้เขียน หัวข้อ: เผยเคล็ดวิธีสู้ภัยสารเคมีรับมือวิกฤติในอากาศมาบตาพุด  (อ่าน 1116 ครั้ง)

ABBA

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2105
    • ดูรายละเอียด
เผยเคล็ดวิธีสู้ภัยสารเคมีรับมือวิกฤติในอากาศมาบตาพุด
นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า สารเคมีที่รั่วไหลออกมาจากโรงงานอุตสหากรรมมีอยู่หลายชนิดที่ก่อให้เกิดพิษร้ายถึงขั้นส่งผลต่อสุขภาพ ซึ่งมีทั้งพิษเฉียบพลันและพิษสะสม ส่วนลักษณะการเกิดพิษนั้นอาจแบ่งได้เป็นพิษเฉพาะที่กับพิษทั่วตัว ทั้งสองนี้อาจเกิดพร้อมกันได้ ทั้งนี้เคมีพิษที่ลอยอยู่ในอากาศนั้น น่ากลัวที่สุดจะเป็นชนิดมาเงียบคือไม่มีสีและไม่มีกลิ่นอย่างคาร์บอนมอนน็อคไซด์ ที่ถือเป็นฆาตรกรเงียบที่น่ากลัว

สำหรับตัวร้ายที่เพิ่งระเบิดที่อุตสาหกรรมมาบตาพุดคือ โซเดียมไฮโปคลอไรท์ ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้อหรือใช้ฟอกขาวทำโซดาไฟก็ได้มีกลิ่นฉุนมาก หากสูดดมเข้าไปก็จะเกิดอาการเจ็บป่วยจากการได้สารพิษมีชื่อเรียกว่า ท็อกซิโดรมส์ มาจากท็อกซินผนวกกับซินโดรมซึ่งผลของพิษที่ออกฤทธิ์ต่อสุขภาพคือ ระคายเยื่อบุอ่อน อาทิ เยื่อบุตา จมูก ช่องคอ ทางเดินหายใจ,เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ คออักเสบ,หลอดลมบวมตีบ หายใจไม่ออก,คลื่นไส้อาเจียน,วิงเวียนสับสน และอื่น ๆ เช่นฤทธิ์ต่อระบบประสาท,สมอง,ตับ,ไต,หัวใจและกล้ามเนื้อ นายแพทย์กฤษดา กล่าว

ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ กล่าวอีกว่า ดังที่บอกไปแล้วว่าสารเคมีบางชนิดก็มีพิษเมื่อสูดดม,สัมผัสหรือเข้าหูเข้าตา หรือว่าบางชนิดจะอันตรายต่อเมื่อเข้มข้นมาก ที่พูดถึงกันมากในเวลานี้เห็นมีอยู่ 2 เคมีคือ “โทลูอีน(Toluene)” กับ “โซเดียม ไฮโปคลอไรท์(Sodium hypochlorite)” จึงอยากขอนำวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นของทั้ง 2 สารนี้และวิธีที่เผื่อไว้ป้องกันสารพิษที่ลอยตามลม 8 วิธีคือ

1. ดูอวัยวะ คือการดูทางพิษเข้า เช่น กลืนเข้าคอ,สูดเข้าจมูก, สัมผัสกับผิวหนังหรือทางอื่นๆเพราะแต่ละช่องทางการสัมผัสสารพิษจะเป็นตัวกำหนดการดูแลปฐมพยาบาลเบื้องต้น เช่นถ้าเข้าคอก็ต้องกลั้วคอล้าง หรือเป็นหมอกควันพิษที่แสบหูแสบตาไปหมดก็ต้องล้างออกด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือปลอดเชื้อดังนี้เป็นต้น

2. ผละให้ไว ไปยัง “Support zone” ที่จัดไว้ให้ไวที่สุด สารกลุ่มโซเดียมไฮโปคลอไรท์เป็นสารระเหยที่ลอยอยู่ในอากาศได้จึงต้องรีบออกมาจากสถานที่เกิดเหตุนั้นโดยไว แต่ก็ต้องไม่ตระหนกจนเกินไปเพราะในความสับสนนั้นอาจทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของสารนั้นมากยิ่งขึ้นได้ 3.ให้ดูพิษ ถ้าเราทราบแหล่งที่มาของสารพิษนั้นด้วยได้จะดีเพราะเป็นข้อมูลที่บอกชนิดของพิษนั้นได้ว่าจะทำอันตรายกับอวัยวะใดของเราบ้าง การมีตัวอย่างสารพิษหรือมีข้อมูลโรงงานผลิตจะช่วยคุณหมอในการดูแลรักษาเบื้องต้นได้มาก

4.ไล่ตามปิด เมื่อทราบชนิดของพิษแล้วก็จะรู้ว่าอวัยวะที่เป็นเป้าใหญ่คืออะไร ให้มาพุ่งเป้าที่ส่วนนั้นๆเช่น ไฮโปคลอไรท์จะทำให้เยื่อบุตาอักเสบ คอเจ็บก็หาอุปกรณ์มาปิดตาปิดปากส่วนที่เสี่ยงเอาไว้ หรืออย่างโทลูอีนก็เป็นสารที่ระเหยได้หรือเป็นของเหลวให้สัมผัสได้ก็ต้องหาเสื้อกันสารเคมีชนิดที่มิดชิดมิดเม้นจะได้เลี่ยงสัมผัสเราง่าย

5.ทิศทางลม ใช้ได้กับสารระเหยที่เป็นเคมีลอยล่องอยู่ในอากาศรอบตัว โดยปกติถ้าเป็นก๊าซจะอยู่ได้ไกลถึง 600 เมตรในที่ลมสงบ แต่ถ้าลมแรงก็จะลอยไปไกลกว่านั้นมาก หากรู้ทิศแล้วจะได้หลบไว้ไม่ไปอยู่ใต้ลม เพราะเคมีบางชนิดก็เป็นก๊าซหนักจะลอยลงไปปกคลุมคนที่นอนอยู่ได้เช่นกรณียูเนียนคาร์ไบด์ที่อินเดีย

6.ผสมน้ำ(Decontamination) การปฐมพยาบาลด้วยน้ำสะอาดยังเป็นสิ่งที่ใช้ได้อยู่เสมอ หากแสบหูแสบตามากให้ล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆน้ำหรือเปิดน้ำก๊อกให้ไหลผ่าน ถ้าเปื้อนตามตัวให้ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนนั้นออกแล้วล้างน้ำให้มากเข้าไว้ จะช่วยให้ไม่ต้องเสี่ยงต่อการสัมผัสเคมีพิษซ้ำสอง 7.ไม่ซ้ำอาเจียน สำหรับท่านที่เผลอกลืนเข้าไป การให้อาเจียนไม่ใช่ทางแก้ที่ดีนักเพราะความตกใจอยู่แล้วอาจทำให้สำลักลงปอดยิ่งพาให้สารนั้นเข้าปนเปื้อนในตัวเราหนักขึ้นถึงขั้นปอดอักเสบ หรือถ้าไม่สำลักสารก็มักขึ้นมาในหลอดอาหารอีกครั้งทำอันตรายขึ้นมาได้ซ้ำสองอีกครั้งหนึ่งได้

สุดท้ายคือ 8.พบแพทย์ เมื่อแก้เบื้องต้นแล้วให้รีบไปพบแพทย์ด้านพิษวิทยาเพราะจะเป็นผู้เชี่ยวชาญอาการพิษจากเคมีทั้งหลาย เมื่อไปหาแล้วให้ข้อมูลท่านละเอียดก็จะบอกได้ถึงชนิดของพิษนั้นและวิธีแก้หรือการส่งต่อไปพบแพทย์เฉพาะทางในแต่ละด้าน อย่างไรก็ตามสารพิษหลายชนิดทั้ง โซเดียม ไฮโปคลอไรท์หรือ โทลูอีน ก็ไม่ได้มียาต้านพิษ(Antidote)เฉพาะ แพทย์ก็ใช้การรักษาแบบประคับประคองไปเหมือนกับเรา ดังนั้นการจะหายหรือแย่จึงอยู่แค่ความแม่นของผู้ที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าตรงนั้นเท่านั้นเอง
Ryt9.com 8/5/2012