เผยผู้ป่วยหายขาดจากโรคร้ายใน 5 วัน ความเจ็บปวดจากโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ หลายโรคอาจจะรักษาได้หายจากการใช้ยาแผนปัจจุบัน ขณะที่หลายโรคไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยา บางคนต้องเสียทั้งเงินทองจำนวนมาก และเวลาในการรักษาอาการเจ็บปวดอย่างยาวนาน แต่ยังไม่สามารถรักษาหรือบรรเทาความเจ็บปวดจากโรคร้ายลงได้ จนทำให้โรคร้ายคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย
“หมอเขียว”ใจเพชร กล้าจน ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคร้ายด้วยน้ำปัสสาวะ จบปริญาตรีวิทยาศาสตร์สุขภาพ บริหารสาธารณสุขภาพ มสธ.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข ระดับชำนาญการโรงพยาบาลอำนาจเจริญ แพทย์ทางเลือกวิถีพุทธ และครูฝึก แพทย์แผนไทย สถาบันบุญนิยม การศึกษาและอบรม และสำเร็จการศึกษาวิชาวิทยาศาตร์การแพทย์แผนไทย, แนวคิดและทฤษฎีการแพทย์แผนไทย, เวชกรรมแผนไทย, เภสัชพฤกษศาสตร์, ธรรมานามัย และสังคมวิทยาการแพทย์ มสธ. ศึกษาและอบรมด้านการแพทย์ทางเลือกจากประเทศมาเลเซียและจีนไต้หวัน
ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาโท สาขาพัฒนบูรณาการศาสตร์ (เศรษฐกิจพอเพียง) มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง ความเจ็บป่วยกับการดูแลสุขภาพ แนวเศรษฐกิจพอเพียง ตามหลักแพทย์ทางเลือกวิถีพุทธของศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร
ก่อนหน้านี้ หมอเขียวใช้ความพยายามอย่างมาก ในการหาหนทางรักษาผู้ป่วยให้หายจากการเป็นโรคร้าย โดยในช่วงที่ผ่านมาใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้า เพื่อรักษาโรคร้ายมาตลอด ซึ่งเลือกใช้วิธีการรักษาโรคร้ายด้วยการดื่มปัสสาวะของตัวเอง ผสมผสานกับการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตามหลักการแพทย์วิถีพุทธ เพื่อควบคุมป้องกันโรค บำบัดบรรเทาโรค และฟื้นฟูสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง ปรากฎว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีของหมอเขียวหายเป็นปรกติจำนวนมาก
หมอเขียว กล่าวว่า “ผมใช้วิธีการรักษาด้วยวิธีนี้มานานกว่า 10 ปี และแนะนำผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ซึ่งผลที่ได้รับ คืออาการป่วยไข้ลดลง อาการปวดตัว แสบตา หูอื้อ มองไม่ค่อยชัด อาการอักเสบตามร่างกายลดลง ซึ่งจากการเก็บข้อมูล พบว่าอาการป่วยลดลง 10 วินาที อาการอักเสบจะลดลง 1-3 วัน การปวด บวม หนอง จะลดลงได้เร็ว อาการตาเจ็บ หากรักษาอาการเจ็บจะลดลงภายใน 1 วัน รวมถึงหากเป็นแผลก็สามารถนำปัสสาวะใช้ดื่มและทาก็ทำให้แผลหายด้วย”
จากการทดลองของจิตอาสาไม่ต่ำกว่า 100 คน เราเก็บข้อมูลว่า ถ้าไม่สบาย ใช้น้ำปัสสาวะแล้วดีขึ้น และจิตอาสาได้ไปช่วยให้คนอื่นใช้น้ำปัสสาวะด้วย โดยรวมแล้วปัจจุบันสามารถช่วยคนได้หลัก 1,000 คนแล้ว ซึ่งโรคเหล่านั้น อาการทุเลาลง เพราะน้ำปัสสาวะเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาโรค ใช้น้ำลดความร้ายแรงของโรคลงได้ประมาณหนึ่ง อาทิ อาการเต็มร้อย อาจจะลดลงเหลือ 50-40% แต่ต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การฝึกจิตให้อยู่กุศล ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือการดื่มน้ำสมุนไพร การดีทร็อก ไปใช้น้ำปัสสาวะกับโรคร้ายๆ มีสถิติมีการหายจากโรคร้ายๆประมาณ 3,000-4,000 คน
“สารต่างๆ ที่มีการวิจัยของแพทย์นักวิชาการทั่วโลก วิจัยไว้แล้ว ที่สำนักงานการแพทย์ทางเลือก ปัสสาวะบำบัด ระบุว่ามีสารอะไรที่ช่วยในเรื่องใดบ้าง บอกเปอร์เซ็นต์ไว้ด้วย ซึ่งสารต่าง ๆ ล้วนเป็นผลดีต่อการรักษาโรคร้ายทั้งนั้น”
หมอเขียวได้จัดเก็บสถิติผู้ป่วยที่มารักษาโรคร้ายจำนวน 1,397 คน หลังจากที่ใช้เทคนิคการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียงตามหลักการแพทย์วิถีพุทธ ภายใน 5 วัน ผู้ป่วยมีอาการของความเจ็บป่วยลดน้อยลง จำนวน 1,291 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคร้ายแรงหรือโรคที่แพทย์แผนปัจจุบันวินิจฉัยว่าเป็นโรคเรื้อรัง จะต้องตายหรือรักษาไม่หาย เช่น มะเร็ง เนื้องอก เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ภูมิแพ้ เกาต์ รูมาตอยด์ ปวดตามข้อ ปวดตึง เมื่อยตามร่างกาย โรคทางเดินกระเพาะอาหารลำไส้เรื้อรัง อ่อนเพลียอ่อนล้า หน้ามืดวิงเวียนปวดศีรษะเรื้อรัง ภูมิต้านทานลด และการอักเสบเรื้อรังตามอวัยวะต่างๆ เป็นต้น
ในจำนวนดังกล่าว มีผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 117 คน ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงคิดเป็นร้อยละ 88 ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวน 158 คน ระดับความดันโลหิตสูงลดลง คิดเป็นร้อยละ 73.78 ผู้ป่วยมะเร็ง 111 คน อาการเจ็บป่วยทุเลาลง 85.59 โดยใยจำนวนผู้ป่วยมะเร็งเหล่านี้หลังจากเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตพบว่ามีผลตรวจร่างกายไม่พบมะเร็งและกลับมาปรกติต่อเนื่องกัน 6 เดือนขึ้นไปจำนวนร้อยละ 22.25 และเป็นจำนวนที่มีชีวิตอยู่ด้วยอาการไม่สบายจากพิษของมะเร็งลดน้อยลง หรือยืดอายุออกไปได้มากกว่าการคาดการณ์ของแพทย์แผนปัจจุบันร้อยละ 63.07 และมีอาการไม่ทุเลาร้อยละ 14.41 ในขณะที่ผู้ป่วยโรคหัวใจ อาการเจ็บป่วยทุเลาลงร้อยละ 75
'แพทย์ทางเลือก' ยืนยันผลวิจัย
ปัสสาวะบำบัดปลอดภัย การใช้ปัสสาวะบำบัดตามแนวพุทธกำลังเป็นกระแสนิยม หลังจากเป็นที่รู้จักในไทยเมื่อ 10 ปีก่อน มาวันนี้หลายคนยังสงสัยว่าปัสสาวะสามารถบำบัดได้จริงหรือไม่
“ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์” ได้สัมภาษณ์ “นพ.เทวัญ ธานีรัตน์” ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก เกี่ยวกับความเป็นจริงของการดื่มปัสสาวะบำบัด พร้อมข้อมูลรองรับจาก “สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา”
“นพ.เทวัญ” ให้ความเห็นในการนำปัสสาวะมาใช้บำบัดว่า การนำปัสสาวะมาใช้บำบัดมีมานานแล้ว และอยู่ในพระวินัยด้วย โดยศาสตร์นี้ได้ถูกแนะนำให้ใช้มายาวนานกว่า 2,500 ปีแล้ว และเกือบทุกประเทศในฟากตะวันออกก็มีการดื่มปัสสาวะตรงนี้
โดยจากการวิจัยของสำนักงานการแพทย์ทางเลือกจากกลุ่มตัวอย่าง 200 กว่าคนเมื่อ 10 กว่าปีก่อนก็พบการดื่มนำปัสสาวะปลอดภัย เพราะยังไม่มีหลักตัวใดที่แสดงให้เห็นว่าการดื่มน้ำปัสสาวะเป็นสิ่งอันตราย นอกจากนี้ ชมรมผู้ดื่มน้ำปัสสาวะก็มีการแวะเข้ามาให้ข้อมูลยืนยั่นถึงการรักษาโรคได้จริงกับสำนักฯ ด้วย
“เราเก็บข้อมูลจากคน 200 คนเขาก็บอกว่าได้ผลดี มีสุขภาพดี ยังไม่มีใครที่บอกว่าดื่มแล้วอันตราย การจะดื่มน้ำปัสสาวะหรือไม่ดื่ม เรามองว่าเป็นสิทธิของทุกคน เป็นสิ่งที่ประชาชนเขาเลือกเองว่าจะใช้หรือไม่ ในมุมของแพทย์แผนปัจจุบันก็มองว่าเสี่ยง แต่ในแพทย์ทางเลือกก็บอกว่าดี เป็นการดูแลสุขภาพ”
แม้ว่าการดื่มน้ำปัสสาวะจะไม่อันตรายอย่างที่มีการเก็บข้อมูล แต่ในมุมมองของ “นพ.เทวัญ” แล้วเชื่อว่า การจะเปลี่ยนให้มาดื่มปัสสาวะก็เป็นเรื่องที่ยากแล้ว ดังนั้น คนที่ดื่มส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วย คนที่ไม่ป่วยเชื่อว่าไม่น่าจะดื่ม
ส่วนคำแนะนำในการดื่มปัสสาวะนั้นอยากให้คนที่ป่วยเท่านั้นที่ดื่ม คนที่ไม่ป่วยก็ไม่ต้องดื่ม ส่วนปัสสาวะที่นำมาดื่มควรเป็นปัสสาวะของตนเอง และควรเตรียมใจก่อนที่จะดื่ม
“การที่ปัสสาวะของตนเองจะสะอาดหรือไม่สะอาดอยู่ที่การกินอาหารของแต่ละคนด้วย แม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นโรคก็ตามแต่ปัสสาวะที่นำมาดื่มไม่ใช่ออกมา 1 ลิตรก็ดื่ม 1 ลิตร แต่เขาจะมีสัดส่วนที่บอกให้ดื่ม ถ้าเรากินปัสสาวะของตัวเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าไปดื่มของคนอื่นน่าจะมีปัญหา”
สำหรับประโยชน์ของการดื่มน้ำปัสสาวะ คือ ไม่สิ้นเปลือง และดีต่อสุขภาพตามที่ได้เก็บข้อมูลมาก
นอกจากนี้ “ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์” ได้สำรวจเว็บไซต์ของทางสำนักฯ พบว่ามีการนำข้อมูลเกี่ยวกับปัสสาวะบำบัดมาลงในหน้าเว็บไซต์
http://www.thaicam.go.th/index.php?option=com_content&view=category&id=49&Itemid=136 โดยมี 3 หัวข้อหลัก คือ “การศึกษาการใช้น้ำมูตรบำบัดของเครือข่ายชาวอโศก” “การรวบรวมองค์ความรู้เรื่องปัสสาวะบำบัด” และ “การบรรยายวิชาการเรื่องปัสสาวะบำบัด”
โดย “การศึกษาการใช้น้ำมูตรบำบัดของเครือข่ายชาวอโศก” จะบอกถึงการทำวิจัยกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นชุมชนชาวอโศกที่มีการใช้น้ำปัสสาวะบำบัด จำนวน 204 คน โดยใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นเองกับชาวชุมชนอโศก
ผลสรุปของงานวิจัยชิ้นนี้พบว่า กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 204 ราย อายุเฉลี่ย 51.3 (14.1) ปี พิสัย 18-87 ปี เป็นหญิง 61.3% การศึกษาระดับประถมศึกษา 42.6% มัธยมศึกษา 21.1% โดยที่ 68.8% อาศัยอยู่ในเขตเมือง/เทศบาล ในด้านอาชีพส่วนใหญ่เป็นนักปฏิบัติธรรม 40.7% รับจ้าง 14.7% และข้าราชการบำนาญ 10.3%
สำหรับแหล่งข้อมูลความรู้กลุ่มตัวอย่างทราบข้อมูลเรื่องปัสสาวะบำบัดมาจากพระ 46% จากญาติธรรม 40% จากการอ่านหนังสือ 36% และจากพระไตรปปิฎก 29% สำหรับวิธีการใช้ ใช้ดื่ม 96% (โดยเฉลี่ยดื่มครั้งละ 1 แก้ว 1 ครั้ง/วัน) ใช้ทา 28% ใช้หยอดตา 32% ใช้สระผม 19% ใช้อาบ 12%
ส่วนสาเหตุหลักที่จูงใจให้ใช้ำน้ำมูตรบำบัด 58% ตอบทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า 38% ตอบมีผู้แนะนำให้ใช้ และ 29% คิดว่าไม่มีผลข้างเคียง ระยะเวลาที่ใช้เฉลี่ย 6.2(6.2) ปี โดยที่ 52% ใช้ปัสสาวะบำบัดเพื่อรักษาโรค 40% ใช้เพื่อให้มีสุขภาพดี แข็งแรง และ 31% ใช้เพื่อป้องกันโรค ผลข้างเคียงและอาการไม่พึงประสงค์หลังใช้น้ำมูตรบำบัด พบว่า ส่วนใหญ่ 85% ไม่มีอาการ 10% มีอาการ คือ ท้องเสีย 5 ราย (2.5%) ไข้ อ่อนล้า คัน อย่างละ 2 ราย (1%) ส่วนใหญ่ของผู้ใช้ 87% ตอบได้ผลจากการใช้น้ำปัสสาวะบำบัด และ 84% ได้แนะนำให้ผู้อื่นใช้ด้วย
หัวข้อที่ 2 คือ “การรวบรวมองค์ความรู้เรื่องปัสสาวะบำบัด” ส่วนนี้จะบอกถึงประวัติของปัสสาวะบำบัดที่มีมาตั้งแต่พุทธกาล พร้อมทั้งส่วนประกอบของน้ำปัสสาวะตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยจากงานวิจัยของ “ดร.ฟารอน นักชีวเคมี” พบสารต่างๆ ในปัสสาวะ 95% เป็นน้ำ 2.5% เป็น urea และ 2.5% เป็นสารอื่นๆ เป็นส่วนผสมของเกลือแร่ เกลือ ฮอร์โมน เอ็นไซม์ และภูมิคุ้มกัน แต่นักวิจัยยังเชื่อว่ายังมีสารอีกมาที่ไม่รู้จักในปัสสาวะ
นอกจากนี้ ยังมีวิธีการรักษาโรค โดย “ดร.อัสเบิร์ต เซนต์ กีออร์กี”นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลได้ทดลองใช้สาร methyl gloxal ซึ่งพบในปัสสาวะรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง และได้ผลเป็นที่น่าพอใจในหลายราย พร้อมทั้งบอกวิธีการใช้ปัสสาวะบำบัดที่ปัจจุบัยใช้กันอยู่ทั้งแบบภายนอกและภายใน รวมทั้งการประเมินความปลอดภัย ประสิทธิผล ความสมประโยชน์ของการใช้ปัสสาวะบำบัด
หัวข้อสุดท้าย “การบรรยายวิชาการเรื่องปัสสาวะบำบัด” โดยนพ.บรรจง ชุณหสวัสดิกุล ที่จะบอกทั้งประวัติ วิธีการดื่ม ประโยชน์ของปัสสาวะ
ด้านมุมมองของ “สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา” (อย.) เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับการดื่มปัสสาวะเพื่อบำบัดโรคว่า เป็นความเชื่อตามตำราการแพทย์แผนโบราณ และยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจังถึงผลที่ได้รับจากการรักษาโรค แต่หากปัสสาวะที่ใช้ดื่มไม่มีเชื้อโรค สารปนเปื้อนก็สามารถนำมาดื่มได้
อย่างไรก็ตาม โดยปกติปัสสาวะของคนจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ แต่ปริมาณไม่แตกต่างกันไปแต่ละบุคคล ยิ่งมีการค้างไว้มากโอกาสจะมีเชื้อโรคก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะปัสสาวะในผู้ที่เป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบไม่ควรนำมาดื่ม เพราะมีจำนวนเชื้อโรคสูง
ดังนั้น สิ่งที่ อย.ขอแนะนำ คือ ทางเลือกอื่นๆ ในการรักษาโรคยังมีอยู่ ผู้ที่จะนำปัสสาวะมาดื่มควรชั่งน้ำหนักให้ดี นอกจากนี้โดยปกติทั่วไปในร่างกายมีสารต้านโรคมะเร็งอยู่แล้ว รวมทั้งในอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน การดื่มน้ำปัสสาวะจึงไม่คำตอบสุดท้าย
อนึ่ง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความในหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัวในหัวข้อเรื่อง "ชีวิตที่เปลี่ยนไป" เมื่อสนธิ ลิ้มทองกุล ดื่มน้ำปัสสาวะ!? โดยมีรายละเอียดดังนี้
เป็นที่ทราบกันว่าชาวสันติอโศกจำนวนไม่น้อยดื่มน้ำปัสสาวะเพื่อบำบัดรักษาโรค ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความศรัทธาต่อนิสัย 4 ของพระสงฆ์ตั้บแต่ในสมัยพุทธกาล ซึ่งพระพุทธองค์ได้กล่าวถึงการใช้น้ำมูตรเน่าเป็นยาปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกกระจัดกระจายหลายเล่ม และมีพระสงฆ์สายวัดป่าหลายรูปที่ฉันน้ำมูตรเน่า (น้ำปัสสาวะ) เป็นประจำเพื่อสุขภาพที่ดี เช่น พระอาจารย์สิงห์ทน นราสโภ วัดวรแก้ว จ.อยุธยา, พระอาจารย์มิตซูโอะ,หลวงพ่อชา, หลวงปู่โง่น โสรโย, หลวงพ่อยา ฯลฯ
คุณสนธิเคยดื่มช่วงสั้นๆเมื่อหลวงพ่อยาแนะนำให้คุณสนธิดื่มน้ำมูตรเน่าเพื่อรักษาสุขภาพที่ดี
รอบนี้คุณสนธิกลับมาดื่มอีกครั้งหลังอย่างเอาจริงเอาจัง จากได้ข้อมูลและเหตุผลทาง "วิทยาศาสตร์" เพิ่มมากขึ้น!!!
เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่คุณสนธิได้ข้อมูลมานั้นมีหลายประการแต่กล่าวโดยสรุปคือ
1. ปัสสาวะคือส่วนเกินของน้ำที่ไม่ได้ใช้ผลิตมาเป็นเลือด ดังนั้นปัสสาวะคือส่วนจำลองของเลือดเพียงแต่เจือจางกว่าเลือด จึงย่อมไม่ใช่ของเสีย(ต่างจากอุจจาระ) เพราะหากปัสสาวะเป็นของเสียเลือดที่อยู่ในร่างกายเรายิ่งเป็นของเสียยิ่งกว่า
2. องค์ประกอบของปัสสาวะส่วนใหญ่เป็นน้ำ ที่เหลือมีฮอร์โมน เอนไซม์ แร่ และสารอาหาร ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น เอนไซม์ยูโรไคเนส ช่วยละลายลิ่มเลือด, โพรทาแกลนดิน ฮอร์โมนประจำเนื้อเยื่อควบคุมการอักเสบ, อินเตอร์เฟอรอนเป็นสารต้านทานโรคโดยตรงและต้านมะเร็ง, อดิไนเลทไซคลาส เป็นสารประสานการทำงานของฮอร์โมนให้มีประสิทธิภาพ, ฮอร์โมนเพศ, ฮอร์โมนอินซูลิน ช่วยตับอ่อนทำงานจึงช่วยเบาหวาน เมื่อทำงานกับฮอร์โมนเพศจะทำให้ผิวพรรณดี, ฮอร์โมนเมลาโทนิน(พบในปัสสาวะตอนเช้า)ทำให้จิตใจสงบ แจ่มใส และมีสมาธิดี, โกรทฮอร์โมน ช่วยซ่อมแซมอวัยวะที่สึกหรอ
รวมถึงสารอาหารหลายชนิด เช่น แคลเซียม รักษาโรคนอนไม่หลับและโรคกระดูก, แมกนีเซียม รักษาภาวะน้ำตาลเลือดสูง, ฟอสฟอรัส ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง, ทองแดง รักษาโรคโลหิตจาง, สังกะสี รักษาโรคตับ เด็กที่เติบโตช้า และโรคต่อมลูกหมาก, ไอโอดีน รักษาโรคประสาท อาการกระสับกระส่าย ผมหงอกเร็ว ผมร่วง หนังศีรษะผื่นคัน ผิวหนังผื่นคัน, เหล็ก รักษาโรคโลหิตจาง แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงเลือด, โพแทสเซียม รักษาท้องผูก รักษาสิว ช่วยกล้ามเนื้อแข็งแรง
ส่วนที่ถกเถียงทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่ระบุว่า "ยูเรีย" เป็นสารพิษ เพราะทางการแพทย์มักพบยูเรีย"ที่มีมากเกิน"ในผู้ป่วยไตวาย แต่ความจริงยูเรียโดยตัวมันเองที่คลีนิคแห่งวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา กลับค้นพบว่ายูเรียเป็นสารช่วยขับปัสสาวะ ใช้ทาบำบัดโรคผิวหนัง เป็นสารที่แพทย์ใช้ลดความดันในลูกตาและสมองของผู้ป่วย ต้านการอักเสบ ต้านไวรัส ต้านแบคทีเรีย ปัจจุบันจึงพบยูเรียอยู่ในตัวยาหลายตัวเช่น ยาขับปัสสาวะ, ครีมรักษาผิว, ฮอร์โมนเสริมผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน, ครีมทารักษาผิวหนังถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก, ยากระตุ้นการตกไข่ในผู้หญิงที่มีลูกยาก, เป็นครีมรักษาแผลปากมดลูก
อีกตัวหนึ่งที่แพทย์แผนปัจจุบันพูดถึงคือ "กรดยูริค" เป็นสารพิษที่อาจทำให้เกิดเกาต์(ไขข้ออักเสบ)ทั้งๆที่ความจริงมันมาจากอาหารที่เรากินจึงอยู่ในร่างกายเราต่างหาก แต่ที่มหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา กลับค้นพบว่ากรดยูริคเป็นสารต้านความชรา ต้านมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ
3. น้ำปัสสาวะ ได้จำลองมาจากสภาวะเลือดในร่างกาย เลือดจะต้องผ่านการกรองไต เพื่อเอาส่วนเกินและพิษออกจากกระแสเลือด ส่วนเกินเหล่านี้มีทั้งธาตุ สารอินทรีย์ ฮอร์โมนทั้งหลายออกมาด้วย เพราะร่างกายจะใช้สาร แร่ธาตุ ตามความจำเป็น ส่วนไหนที่ยังไม่ต้องการใข้ก็จะกลายเป็นส่วนเกิน และแน่นอนว่าในปัสสาวะย่อมต้องมีโรคหลายชนิดและพิษต่างๆออกมาจากร่างกายเราด้วย แต่โรคและพิษเหล่านั้นก็เจือจางและน้อยกว่าเลือด ดังนั้นเมื่อเราดื่มน้ำปัสสาวะเข้าไปสู่ร่างกาย จึงทำให้อวัยวะต่างๆของร่างกายตื่นตัวขึ้นมา เม็ดเลือดขาวก็ทำงานขจัดโรคและพิษที่เจือจางกว่านั้นได้ ทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายเราด้วยตัวเอง สร้างเม็ดเลือดแดงและขาวเพิ่มขึ้น และเมื่อเกิดภูมิคุ้มกันที่เรียนรู้ขจัดโรคที่เจือจางกว่าร่างกายเราแล้ว ภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นจากการเรียนรู้นี้จึงสามารถขจัดโรคเดียวกันในร่างกายเราที่เหลือได้เช่นกัน เป็นหลักการที่ทางการแพทย์สมัยใหม่ และแพทย์ทางเลือกพยายามศึกษาเพื่อนำมาใช้เยียวยารักษา และป้องกันโรคต่างๆที่เรียกกันว่า "เซรุ่ม" "พิษต้านพิษ" "วัคซีน" และ "โฮมิโอพาธี"
ที่สำคัญคนที่คุณสนธิรู้จักหลายคนได้หายจากการเจ็บป่วยจากการดื่มปัสสาวะมากขึ้นทุกวัน เช่น ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเกาต์ โรคภูมิแพ้ โรคไมเกรน ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไปรักษาสุขภาพตามธรรมชาติบำบัดของ "หมอเขียว" แห่งสันติอโศก
นอกจากนี้หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าการแพทย์ปัสสาวะบำบัดนั้นไม่ใช่เป็นความเชื่องมงายอยู่ในประเทศไทยหรือในภูมิภาคเอเชียแล้ว เพราะปัจจุบันมีการตื่นตัวในระดับสากลอย่างมากทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่มีงานวิจัยอย่างมากมาย โดยเฉพาะหากเราค้นในกูเกิลด้วยคำว่า Urine Therapy จะค้นพบการศึกษาอย่างมากมายมหาศาลในเรื่องนี้
หลายประเทศทั่วโลกที่ใช้น้ำปัสสาวะเป็นยารักษาโรค ได้รวมตัวผู้สนใจมีทั้งคนในวงการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ บุคคลทั่วไป จัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยการใช้น้ำปัสสาวะเป็นยารักษาโรคถึง 2 ครั้งแล้วคือ
The First World Conference on Urine Therapy เมื่อปี พ.ศ.2539 ประเทศอินเดียเป็นเจ้าภาพ
The Second World Conference on Urine Therapy เมื่อปี พ.ศ.2542 ประเทศเยอรมนีเป็นเจ้าภาพ มีผู้เชี่ยวชาญระดับแพทย์และนักวิจัยเข้าร่วมประชุม 250 คน
ครั้งที่ 3 ที่จะจัดต่อไปคือ
The Third World Conference on Urine Therapy วันที่ 1-4 พฤษภาคม พ.ศ.2556 ประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพ
นั้นคือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่คุณสนธิกลับมาสนใจดื่มน้ำปัสสาวะอีกครั้ง!!
ปกติคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนที่สุขภาพแข็งแรงมาก เจ็บป่วยยากและหายเร็ว โดยคุณสนธิเป็นคนที่ไม่ใช้ยาแผนปัจจุบันเลย และมีเคล็ดลับในการเข้าซาวน่าด้วยความร้อนสูง แล้วลงแช่น้ำเย็นจัดเป็นการรักษาสุขภาพแบบเซน อันเป็นเทคนิคการคายพิษผ่านทางผิวหนังในรูปของเหงื่อ
คุณสนธิกลับมาดื่มอีกครั้งอย่างเอาจริงเอาจังแล้วทดลองหลายอย่างได้แก่
1. ตื่นเช้ามาใช้น้ำปัสสาวะล้างตา โดยใช้ถ้วยล้างตาโดยลืมตาในถ้วยล้างตาที่ใส่น้ำปัสสาวะ
2. ดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเองตอนเช้าและก่อนนอน ปัสสาวะใส่แก้วกรวกคอก่อนแล้วจึงดื่มเข้าไป หลังจากนั้นจึงตามด้วยน้ำอุ่นเล็กน้อย แล้วจึงแปลงฟัน และบางครั้งอาจดื่มมากกว่าวันละ 2 ครั้ง
3. กันน้ำปัสสาวะอีกส่วนใช้ลูบและล้างหน้า และลูบไปทั่วศีรษะ และบางครั้งจะลูบตามแขน
จากการปฏิบัติเช่นนี้เป็นเวลา 1 เดือนมาแล้ว ปรากฏผลลัพธ์ดังต่อไปนี้
1. คุณสนธิปกติเป็นคนสูบบุหรี่ประจำ จึงมักมีอาการไอและเจ็บคอในระหว่างวันเป็นประจำ ผลปรากฏว่าปัจจุบันไอน้อยลงไปมากและไม่เจ็บคอแล้ว และรู้สึกตัวอย่างเห็นได้ชัดว่าพลังเสียงเพิ่มขึ้น
2. คุณสนธิขับถ่ายได้ดีขึ้นมากกว่าเก่าหลังจากดื่มน้ำปัสสาวะเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพราะน้ำปัสสาวะซึมเข้าระบบขับถ่ายเร็วมาก หลังจากนั้นจะรู้สึกโล่งสบายขึ้น
3. มีผมขึ้นหนาแน่นขึ้นมาใหม่อย่างเห็นได้ชัด และผมที่ขึ้นมาใหม่นั้นเป็นสีดำที่กำลังมาทดแทนผมขาวมากขึ้น
4. ปกติคุณสนธิมีน้ำตาออกมาเองบ่อยครั้ง และมีอาการตาพร่ามัวและน้ำตาไหลเวลาอ่านหนังสือต้องใช้กระดาษชำระซับบ่อยๆ แล้วจึงปรับโฟกัสสายตาใหม่ ปัจจุบันไม่มีน้ำตาไหลออกมาแล้ว และไม่มีอาการตาพร่ามัวแล้ว (หลังจากล้างตาด้วยน้ำปัสสาวะเพียงแค่ 3 วัน)
5. การลูบที่ใบหน้าและตามแขนพบว่ามีการดูดซึมเข้าผิวหนังอย่างรวดเร็วกว่าน้ำปกติ คุณสนธิมีผิวที่ผ่องใสและมีย้ำมีนวลและสีหน้าดีขึ้นอย่างชัดเจน
คุณสนธิ อธิบายว่าการดื่มน้ำปัสสาวะเป็นการฝึกจิตในการก้าวข้ามสมมุติในความรังเกียจที่มนุษย์ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เกิดว่าปัสสาวะเป็นสิ่งสกปรก ดังนั้นคนที่ดื่มได้จึงเป็นการเอาชนะและทัศนอคติของตัวเอง เป็นชัยชนะทางจิตใจที่เกิดขึ้นกับตัวเราเองไม่ให้ยึดติดกับความรังเกียจที่มนุษย์สมมุติขึ้นมา อีกทั้งจะทำให้เรามีสติในการรับประทานอาหารมากขึ้น ระวังรสอาหารมากขึ้น หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์มากขึ้น ดื่มน้ำคลอโรฟิลมากขึ้น ด้วย
ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 29 มีนาคม 2555