ในระหว่างวันที่ 21 -22 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดประชุมสัมมนาในโอกาสที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ดำเนินการมาครบ 10 ปี และกำลังก้าวขึ้นสู่ทศวรรษที่สอง โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งแพทย์ เจ้าหน้าที่ สปสช. กระทรวงสาธารณสุข ภาคประชาชน ตัวแทนผู้ป่วยโรคต่างๆ
ทั้งนี้ หัวข้อเสวนาและบรรยากาศส่วนใหญ่ โดยเฉพาะภาคประชาชนและองค์การอนามัยโลกต่างชื่นชมกับความสำเร็จของ สปสช. ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ว่าประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพถ้วนหน้าได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายแรง โรคยากๆ ก็ไม่มีใครสิ้นเนื้อประดาตัวจากการรักษาตัว และประชาชนไม่ใช่คนไข้อนาถาอีกต่อไปแล้ว นับเป็นความโชคดีของประชาชนคนไทย
แต่ของฟรีไม่มีในโลก หรือ ได้อย่างต้องเสียอย่าง เฉกเช่นบริการสุขภาพดีถ้วนหน้า ภาคประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ขณะที่หน่วยให้บริการต่างๆ โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐกำลังอ่อนแอลงทุกขณะ เพราะถูกบั่นทอนจากนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลโดย สปสช. ต้องการดูแลประชาชน สปสช. ก็ต้องดูแลคนให้บริการด้วย พอล ครุกแมน เคยเขียนบทความชื่อว่า “ผู้ป่วยไม่ใช่ผู้บริโภค” (Patients are not Consumers) ในบทความระบุว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกันแพทย์นั้นเป็นความสัมพันธ์พิเศษ อาจจะถือได้ว่าเป็นความยกย่องนับถือและให้เกียรติซึ่งกันและกันโดยเฉพาะ แต่ในปัจจุบันนี้ บรรดานักการเมืองหรือพวกที่อ้างว่าเป็นนักปฏิรูป มักกล่าวถึงงานทางด้านการรักษาพยาบาลในลักษณะที่ไม่ต่างไปจากการทำธุรกรรมในเชิงพาณิชย์ ดังเช่นการซื้อรถยนต์สักคัน…”(อ่านเพิ่มเติมที่นี่)
ซึ่งในเวทีสัมมนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในทศวรรษสอง จึงมีการเปิดประเด็นขมๆ ในช่วง 10 ปีของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในวงเสวนาหัวข้อ “หนึ่งทศวรรษหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า: คนไทยได้อะไร” เสวนาเริ่มต้นจากนายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ตัวแทนกลุ่มผู้ป่วย นางสาวสารี อ๋องสมหวัง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ทั้งสองต่างขอบคุณนักการเมือง สปสช. นักวิชาการ นักวิจัย ที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่ดี
ขณะที่ รศ.นพ.สุธรรม ปิ่นเจริญ รองเลขาธิการกลุ่มสถาบันแพทย์ศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHOSNET) เปิดประเด็นด้วยคำถามที่ สปสช. จะต้องตอบหลายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นโรงพยาบาลรัฐขาดทุนและความอ่อนแอของโรงเรียนแพทย์ ขณะที่ รศ.นพ.สมชัย นิจพานิช จากกระทรวงสาธารสุข ซึ่งเป็นฝ่ายกำกับดูแลโรงพยาบาลรัฐ แต่ไม่สามารถที่จะปกป้องดูแลโรงพยาบาลรัฐได้ เพราะเม็ดเงินทั้งหมดอยู่ที่ สปสช.
จากประเด็นดังกล่าว รศ.นพ.สุธรรม ปิ่นเจริญ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าต่อระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หากจะเดินหน้าต่อไปในทศวรรษที่สองจะต้องเร่งในประเด็นไหนบ้าง โดยตั้งเป็นคำถามว่า 10 ที่ผ่านมา สังคมไทยได้อะไร และเราอยากได้อะไรในอนาคต
ไทยพับลิก้า : 10 ปีของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ 30 บาทรักษาทุกโรค สปสช. มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
นโยบายของ สปสช. ทำ 3 อย่าง คือ
1. ความเท่าเทียม
2. ประสิทธิภาพของระบบ สปสช. (ใช้เงินน้อยกว่าระบบอื่นๆ แต่ดูแลประชากรได้เท่ากัน)
3. คุณภาพ
จุดเด่นของ สปสช. ที่ทำมา 10 ปี คือ ความเท่าเทียม โดยเฉพาะกลุ่มยากไร้ กลุ่มที่ติดต่อโรงพยาบาลไม่เป็น กลุ่มที่ไม่มีเงิน มีโอกาสเข้าถึงโรงพยาบาลและการรักษาพยาบาล ซึ่งสมัยก่อนโรงพยาบาลรักษาให้ฟรี แต่เรียกว่าคนไข้อนาถา หรือคนไข้สังคมสงเคราะห์ ซึ่งชาวบ้านอาจจะตะขิดตะขวงใจหรือไม่ชอบ
ความเท่าเทียมตรงนี้ เป็นจุดเด่นของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพราะทุกคนเวลาเจ็บป่วยก็มั่นใจว่ามีที่รักษาพยาบาล ไม่ต้องจ่ายเงิน และไม่ล้มละลายแน่
ในเรื่องประสิทธิภาพ ทาง สปสช. สามารถคุมเงินในการใช้จ่ายเพื่อการรักษาพยาบาลได้ โดยใช้หลักการเหมาจ่ายรายหัวจากเงินภาษี ซึ่งมีประชากรประมาณ 48 ล้านคนที่ไม่ใช่กลุ่มข้าราชการ และกลุ่มประกันสังคม เม็ดเงินทั้งก้อนนี้ สปสช. เป็นผู้บริหารจัดการ ทั้งในเรื่องป้องกันสุขภาพและการรักษาสุขภาพ
การจัดสรรเงินจะกระจายไปยังการส่งเสริมป้องกัน เม็ดเงินจะลงไปอยู่ในพื้นที่เพื่อให้ถึงมือประชาชนในชนบทในหมู่บ้าน ส่วนการรักษาผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน ผู้ป่วยระดับต้น ระดับกลาง ระดับท้าย ยิ่งเป็นผู้ป่วยระดับท้ายจะต้องส่งมาที่โรงพยาบาลศูนย์ ดังนั้น แนวคิดการแบ่งเงินจะจัดสรรอย่างไร
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะส่งเสริมป้องกันหรือรักษาอย่างไร สุดท้ายคนก็ต้องเจ็บป่วยอยู่ดี ดังนั้น เวลาบอกว่าส่งเสริมสุขภาพแล้วไม่ป่วย มันก็เป็นจริง ณ ปัจจุบันเท่านั้น แต่สุดท้ายคนก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย งบการรักษาพยาบาลต้องมีจำนวนหนึ่ง ตอนที่ยังไม่ป่วยก็คิดว่าค่ารักษาพยาบาลแพง แต่พอเจ็บป่วยจริงแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย งานวิจัยของสหรัฐอเมริการะบุว่า ตัวเลขการรักษาพยาบาลของหนึ่งคนจะใช้ครึ่งหนึ่งใน 6 เดือนสุดท้ายของค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลทั้งหมด
เพราะฉะนั้น การส่งเสริมป้องกันเพื่อให้สุขภาพยืนยาวและดีขึ้นโดยป้องกันโรคที่ป้องกันได้ แต่สุดท้าย ถึงจุดหนึ่งคนก็ต้องป่วย ป่วยในโรคที่ป้องกันไม่ได้ ป่วยในตอนอายุมาก
ไทยพับลิก้า : ช่วง 10 ปีของระบบ สปสช. ในแง่ผู้ให้บริการ หน่วยบริการเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อ สปสช. คุมค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าโรงพยาบาลก็ต้องคุมค่าใช้จ่าย เมื่อก่อนคนไข้มารักษาโรงพยาบาลก็เรียกเก็บเงินตามการรักษา เหมือนคนมาทานอาหาร สั่งๆๆ บิลก็เรียกเก็บตามนั้น แต่ระบบใหม่ตามนโยบาย สปสช. บอกว่า หนึ่งโรคราคาเท่านั้น เหมือนกินอิ่มหนึ่งมื้อ สมมติ 50 บาท ทำให้โรงพยาบาลไม่มีทางเลือก ดังนั้นอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น ต้นทุนอะไรที่ลดได้โรงพยาบาลก็ต้องลด ส่งผลให้แผนกที่ต้องรับคนไข้ สปสช. ขาดทุน โรงพยาบาลก็ต้องหารายได้จากแผนกอื่นมาเสริมแผนกนี้ เพราะโดยหน้าที่ของโรงพยาบาลรัฐต้องดูแลคนจน หากไม่ทำก็ไม่มีใครดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้
ดังนั้น โรงพยาบาลต้องหารายได้มาเพิ่มโดยการ 1. เพิ่มห้องพิเศษ 2. เปิดคลินิกนอกเวลา 3. ปรับอัตราค่ารักษาพยาบาล เมื่อก่อนกระทรวงสาธารณสุขเคยมีประกาศหลักเกณฑ์อัตราการรักษาพยาบาล แต่ละโรคมีอัตราต่ำสุดสูงสุดเท่านั้นเท่านี้ เช่น การเอ็กซ์เรย์ พอเปลี่ยนมาใช้ระบบ สปสช. ทุกโรงพยาบาลปรับเหมือนกันคือ ใช้อัตราสูงสุดหมด เพราะต้องหาเงินมาชดเชย ในส่วนที่เก็บเงินเหมาจ่ายรายหัวจาก สปสช. ไม่ได้
ขณะที่ผู้ป่วยที่มาแบบไม่ได้เหมาจ่ายรายหัว ก็ต้องจ่ายแพงขึ้นเพื่อเอาเงินจากส่วนนี้มาชดเชย โดยทั่วไปโรงพยาบาลจะไปชาร์จกับแผนกที่คนมีฐานะ และผลจากการทำเช่นนี้ ผู้ที่กระเทือนมากสุดคือระบบราชการ ซึ่งจ่ายตามราคารักษาพยาบาลจริง แต่ตอนนี้ระบบราชการเริ่มคุมค่าใช้จ่าย ทำให้โรงพยาบาลรัฐไม่มีที่พึ่ง
สุดท้ายก็ไปขอร้องให้รัฐบาลช่วย แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร หากช่วยโรงพยาบาลนี้ ก็จะถูกโรงพยาบาลอื่นถามว่าทำไมไม่ช่วยโรงพยาบาลเขา ประเด็นนี้รัฐบาลรู้อยู่ในใจว่าโรงพยาบาลรัฐไม่มีเงินที่จะพัฒนาคน สร้างตึกใหม่ ซื้อเครื่องมือดีๆ รักษาคนไข้ แต่การช่วยเหลือก็มาในงบพิเศษ หรือโยกงบจากส่วนอื่นมาให้สร้างตึก แต่ส่วนใหญ่ไม่ให้ทั้งหมด ให้ในลักษณะแมทชิ่งฟันด์ โดยให้โรงพยาบาลเติมบางส่วนประมาณ 20-30% พอเป็นเงินที่ให้มาในลักษณะนี้ก็จะทำให้เกิดภาระผูกพันกับเงินบำรุงโรงพยาบาลในระยะยาว ในช่วงเวลาที่สร้างตึกใช้เงินไปเรื่อยๆ พอตึกเสร็จต้องซื้อเครื่องมือใส่ ก็ดึงกระแสเงินสดของโรงพยาบาลมาใส่ในตึก
ถามว่าโรงเรียนแพทย์ไม่สร้างตึกได้ไหม ไม่พัฒนาเครื่องมือได้ไหม อย่างที่เรียนว่าหากไม่พัฒนาเราก็ถอยหลัง เราไม่สามารถผลิตหมอดีๆ หมอเก่งๆ หมอที่ทันสมัย เข้าสู่ระบบได้
สร้างหมอวันนี้ ใช้เวลาเรียน 6 ปี จบมาก็เป็นหมอเฉยๆ ต้องไปฝึกอบรมในต่างจังหวัดอีก 3-4 ปี ฝึกไปทำไปก็ค่อยๆ เก่งขึ้น แต่กว่าหมอจะเก่งและรักษาได้จริงๆ ก็ 10 ปี ผลิตหมอวันนี้เพื่อมีใช้ใน 10 ปีข้างหน้า ถ้าโรงเรียนแพทย์ตามไม่ทันเทคโนโลยี เครื่องมือ อุปกรณ์ ยา ก็จะไม่สามารถผลิตหมอเก่งๆ ออกมาให้ระบบได้
ดังนั้น ระบบเหมาจ่ายรายหัวของ สปสช. บังคับโรงพยาบาลไม่ให้เก็บเงินจากคนไข้เพิ่ม ทั้งๆ ที่คนไข้แต่ละคนมีกำลังซื้อไม่เท่ากัน บางคนเขาอยากเติมเงินอีกตามกำลังที่เขามี หรือตามที่เขาต้องการการรักษา แต่ระบบเหมาจ่ายรายหัวของ สปสช. ทำไม่ได้ หากโรงพยาบาลไปเก็บเพิ่ม ถ้าผู้ป่วยไปร้อง สปสช. ทาง สปสช. จะตัดเงินทางโรงพยาบาล และการเรียกเก็บเงินจาก สปสช. ก็เรียกเก็บได้บางส่วน สปสช. จ่ายตามเงินที่เขามี
ขณะที่มาตรฐานการรักษา โรงพยาบาลต้องใช้ยาที่คุณภาพดีระดับหนึ่งและราคาถูก ผมไม่ได้เชียร์ว่ายาแพงจะดี แต่พอระบบนโยบาย สปสช. มา จากเดิมที่โรงพยาบาลเคยสั่งยาจากโรงงานที่วิจัยและผลิตเอง (original) ซึ่งเป็นยาราคาแพง ขณะที่ยา local made หรือ generic ยาที่ผลิตเองในประเทศราคาถูกกว่า original บางตัวถูกกว่ากัน 10 เท่า ทำให้ยา original ก็ค่อยๆ หายไปจากระบบ เพราะไม่สามารถสั่งได้
ขณะที่เครื่องมือก็เช่นกัน ถ้าราคาแพงมากก็ต้องถอย ในระยะแรกโรงพยาบาลก็ถอยได้ระดับหนึ่งเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ แต่ถ้าถอยไปนานๆ เรื่อยๆ สุดท้ายโรงพยาบาลก็ดำรงสภาพไม่ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ว่าการซื้อเครื่องมือใหม่ๆ จะต้องทำทั้งประเทศ เพราะคงเป็นไปไม่ได้ คงต้องมีเซ็กเมนต์หนึ่งที่ต้องติดตามเทคโนโลยีความก้าวหน้า ที่เรียกว่า R&D ว่าอันไหนเหมาะสมกับประเทศไทย เพื่อฝึกใช้ฝึกปฏิบัติกับเทคโนโลยีนั้น เมื่อถึงเวลาจริง ราคาถูกลง ก็จะได้ขยายผลใช้กับประชากรทั้งประเทศได้
นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นจากนโยบาย สปสช. และหากนโยบายยังเป็นเช่นนี้ต่อไป กลไกของระบบสุขภาพของประเทศจะเสียหาย เพราะการที่จะสร้างความรู้ที่จะก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างที่เรียนว่าโรงเรียนแพทย์ เราผลิตแพทย์ นำความรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ พิสูจน์ว่ามันดีจริงหรือไม่ดีจริง เพื่อขยับมาตรฐานประเทศไทยขึ้นไปเรื่อยๆ
การที่ประเทศไทยเป็นเมดิคัลฮับได้เพราะคุณสมบัติ 1. ขีดการรักษาพยาบาล คือ มีหมอเก่งระดับโลก 2. คนไทยมีจิตใจที่ดีงามในการให้บริการรักษาผู้ป่วย ซึ่งชาวต่างชาติชอบ
แต่ถ้าหากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทำเช่นนี้ไปนานๆ โดยไม่มีระบบที่จะทำให้หมอเก่งขึ้น ก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ๆ แป๊บเดียวก็จะแพ้สิงคโปร์ แพ้ประเทศคู่แข่ง พอมันถอยหลัง และโอกาสที่จะก้าวทันก็ยาก เพราะแหล่งผลิตความรู้อย่างโรงเรียนแพทย์ ตอนนี้มันอ่อนแอไปเรื่อยๆ คนที่เก่งๆ ไม่มีกำลังใจจะทำงาน ไม่มีเครื่องมือใหม่มา หรือเขาเรียนจบมาจากเมืองนอก ต้องใช้เทคโนโลยีแบบนั้นแบบนี้ แต่มาถึงไม่มีเครื่องมือใช้ หรือมีใช้แต่ถอยหลัง
ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนมีการลงทุนในเครื่องมือที่ทันสมัย พอภาคเอกชนขึ้นปุ๊บ ก็จะดึงเอาหมอเก่งๆ พยาบาล ออกจากระบบราชการ ระบบสาธารณสุขไทยก็จะแคระแกร็นไปเรื่อยๆ ขณะที่เอกชนก็เข้มแข็งไปเรื่อยๆ เพราะเอกชนไทยเขาเป็น profit making อย่างเดียว สมมติเขาเก่งแล้ว เขาก็ไม่สอนหมอคนอื่นให้เก่งตาม ถามว่าเขาจะทำอะไรเพื่อคนจนไหม…ก็มีบางส่วนที่ทำซีเอสอาร์ แต่รายงานประจำปีกับผู้ถือหุ้น เขาก็ต้องรายงานกำไร
ดังนั้น โรงพยาบาลเอกชนไทยไม่เหมือนโรงพยาบาลเอกชนในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งกฏหมายเขากำหนดว่าต้องมีกำไรไม่เกินเท่านั้นเท่านี้ หากมีกำไรเกินก็บังคับให้ลงทุนย้อนกลับเข้ามาในระบบ เขาจึงไม่มีเป้าหมายที่จะค้ากำไรเกินควร บางทีก็มีเศรษฐีมาเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเพื่อคืนกำไรให้สังคม แต่โรงพยาบาลเอกชนไทยไม่มีข้อกำหนดใดๆ จึงสามารถดึงหมอเก่งๆ ไปอยู่ด้วย
ในแง่การรักษาพยาบาล หากต้องรักษา ถ้าไม่รักษาจะตาย ก็ต้องไปหาเอกชน หากไม่รวยก็หมดตัว ในระบบรัฐ ค่าใช้จ่ายถูก แต่คนมาใช้บริการเยอะ หากระบบรัฐปล่อยให้หน่วยบริการภาครัฐแคระแกร็น สุดท้ายก็มีระบบหนึ่งแทรกเข้ามา คือระบบเอกชน หรือหากเอกชนไม่แทรกเข้ามาคนมีเงินก็ไปรักษาต่างประเทศ
ไทยพับลิก้า : แสดงว่าระบบ สปสช. จะบั่นทอนหน่วยให้บริการไปเรื่อยๆ หรือไม่
ผมว่าคนดีๆ ในระบบยังมีเยอะ ถ้าปัญหาถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอย่างจริงจัง และพูดให้ประชาชนเข้าใจด้วยว่า จะมองแค่ประโยชน์เฉพาะหน้าในระยะ 3-5 ปีข้างหน้าอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองความยั่งยืนของระบบด้วย ในระยะยาวจะทำอย่างไรให้ระบบสาธารณสุขขับเคลื่อนไปได้
“หากโรงพยาบาลรัฐแข็งแรง ประชาชนได้ประโยชน์ไหม ขณะนี้โรงพยาบาลรัฐอ่อนแอมาก เจียนอยู่เจียนไปแล้ว คนกระทรวงสาธารณสุขที่ดูแลโรงพยาบาลเขาก็เป็นทุกข์ พูดไม่ออก ด้วยเหตุว่าประโยชน์ตกอยู่ที่ประชาชนชัดเจน”
ไทยพับลิก้า : ต้องให้ประชาชนเข้าใจปัญหาและข้อเท็จจริงของระบบหรือไม่ เพราะหากปล่อยให้ระบบเดินไปอย่างนี้ สุดท้ายระบบอยู่ไม่ได้ ใช่หรือไม่
เราก็หวังว่าภาคประชาชนเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ และสื่อต้องช่วยทำความเข้าใจว่า ถ้าประชาชนจะต้องการบริการรักษาดีที่สุด จ่ายน้อย เร็วด้วย ดีด้วย ระบบอย่างนี้ก็ทำได้แค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น เหมือนเราเร่งเครื่องยนต์ ใช้เครื่องยนต์เต็มกำลัง เกินกำลัง มันวิ่งได้ระยะสั้นๆ จะวิ่งยาวๆ ไม่ได้ มันต้องบำรุงรักษา บำรุงเครื่องยนต์บ้าง เหมือนเราหากใช้เรือเกินกำลังสุดท้ายก็พาผู้โดยสารล่มทั้งหมด เหมือนกับระบบของโรงพยาบาลรัฐขณะนี้ คนขับรถ กัปตัน กำลังจะสละรถสละเรือกันหมดแล้ว
ไทยพับลิก้า : แพทย์ พยาบาล จะไปอยู่เอกชน
เขาไปภาคไหนได้ก็ไปภาคนั้น อย่างเอกชนหรือภาคเสริมสวย ความสวยความงาม จะเห็นได้จากโฆษณาตอนนี้มีหมอเต็มไปหมด งานไม่หนัก รายได้ก็ไปตามงาน ขณะที่อยู่กับโรงพยาบาลรัฐมีแต่งาน จะเพิ่มเงินเดือนให้ก็ไม่มีเงิน เพราะเก็บเงินจาก สปสช. ไม่ได้
ไทยพับลิก้า : ทำไมโรงพยาบาลถึงเก็บเงินจาก สปสช. ไม่ได้
สปสช. เขาไม่พูดให้ชัดเจน พูดแต่ว่าเหมาจ่ายรายหัวโรงพยาบาลรัฐจะได้เท่านั้นเท่านี้ หรือ DRG (Diagnosis Related Groups: กลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม หมายถึง การจัดกลุ่มโรคของผู้ป่วย ที่ใช้ทรัพยากรในการรักษาใกล้เคียงกันไว้ในกลุ่มเดียวกัน) เท่านั้นเท่านี้ เช่น บอกว่าให้ DRG 14,000 บาท ถึงเวลาเรียกเก็บเงินจริง สปสช. หักนั่นหักนี่ เงินถึงมือโรงพยาบาลจริงๆ นิดเดียว คือ สปสช. จ่ายตามที่มีเงินอยู่ในมือ
ไม่ทราบเข้าใจเงินที่อยู่ในมือไหม เรียกว่า global budget สมมติปีนี้ตั้งไว้ว่าจะรักษาคนไข้ 1,000 คน คนละ 1,000 บาท เป็นเงิน 1 ล้านบาท และ สปสช. ประกาศว่า คนไข้มารักษาได้เต็มที่ เพราะ สปสช. จ่ายเงินให้โรงพยาบาลแล้ว หากมีปัญหาหรือโรงพยาบาลให้บริการไม่ดี ร้องเรียนได้ที่ 1330 พอถึงเวลาจริง คนไข้มาใช้บริการ 2,000 คน โรงพยาบาลควรจะได้เงิน 2 ล้านบาท แต่ สปสช. บอกว่าเขามีเงินจ่ายแค่ 1 ล้านบาท เพราะฉะนั้นที่สัญญาว่าจะให้คนละ 1,000 บาท ไม่ใช่แล้ว
หรือที่เคยสัญญาว่าจะจ่าย DRG ให้โรงพยาบาล 14,000 บาท ถึงเวลาจ่ายจริง 9,000 บาท การที่ สปสช. ทำอย่างนี้ สปสช. ไม่ต้องแบกรับภาระอะไรเลย เพราะว่ามีเงินจ่ายเท่านี้ก็บอกว่าจ่ายเท่านี้ เป็นความรับผิดชอบโรงพยาบาลเองที่เรียกเก็บเงินได้ไม่ครบ
“อย่างนี้ยิ่งกว่าถูกโจรปล้นไหมล่ะ และเราพูดไม่ออก และประชาชนก็ไม่เข้าใจประเด็นนี้ด้วยนะ”
ไทยพับลิก้า : เคยถาม สปสช. เรื่องนี้ สปสช. บอกว่าเขาจ่ายหมด
เขาจ่ายหมด แต่เขาจ่ายในวงเงินที่เขามีอยู่ไง
ไทยพับลิก้า : แสดงว่า สปสช. พูดความจริงไม่หมด
(หัวเราะ) สปสช. เขาแยกพูด เช่น บอกว่าจ่ายเป็นกองทุนไว้ที่จังหวัด หรือแยกเงินกองทุนโอพีดี ไอพีดี ไว้ที่นั่นที่นี่ กลายเป็นว่าจังหวัดเองที่จัดการเงินไม่พอจ่าย และบางที สปสช. ก็พูดว่าตัวเองในฐานะเป็นสำนักงานกลาง ดูแลบางเซ็กเมนต์ดูแลบางโรคยาก แต่บางเรื่องเขาจัดสรรเงินไปที่จังหวัดทั้งๆ ที่รู้แน่ๆ ว่า เงินก้อนนั้นไม่พอ หรือแกล้งไม่รู้ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่อไหร่จังหวัดบอกว่าเงินไม่พอ ขอเงินเพิ่ม สปสช. ก็บอกว่าเงินหมดแล้ว คือให้จังหวัดเป็นคนแจ้งว่าเงินไม่พอ
นี่คือการบริหารจัดการของ สปสช. จะเป็นในทางหนึ่ง ทางใด อย่างนี้
ไทยพับลิก้า : สภาพขาดทุนอย่างนี้เกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว
แล้วแต่โรงพยาบาล โรงพยาบาลรัฐมีระบบหลายระบบ มีคนไข้หลายกลุ่ม เมื่อก่อนกลุ่มที่ช่วยเรามากคือกลุ่มข้าราชการ เพราะโรงพยาบาลเก็บค่ารักษาพยาบาลจากกลุ่มข้าราชการได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ต่างจากกลุ่ม สปสช. ถึงแม้จะรักษาโรคเดียวกันเหมือนกันทั้งในกลุ่มข้าราชการและ สปสช. เช่น สมมติเป็นไข้หวัด ต้องนอนโรงพยาบาล 1 คืน โรงพยาบาลมีต้นทุนเดียวกัน แต่เก็บเงินข้าราชการได้ 200 บาท ขณะที่เก็บจาก สปสช. ได้ 50 บาท ไม่ได้แปลว่าเรามีต้นทุนเพิ่มขึ้นนะ เพียงแต่ว่าข้าราชการจ่ายแบบ free for service ขณะที่ สปสช. จ่ายตามที่เขามีเงิน และแนวโน้มโรงพยาบาลรัฐก็ถูกบีบโดย สปสช. จ่ายน้อยลงเรื่อยๆ จึงทำให้โรงพยาบาลต้องขยับไปเก็บจากข้าราชการเพิ่มขึ้นๆ เพื่อมาชดเชยส่วนที่เก็บเงินจาก สปสช. ไม่ได้ ขณะที่ส่วนที่เรียกเก็บเกินจากกลุ่มข้าราชการ โรงพยาบาลรัฐไม่ได้เอากำไรอยู่แล้ว เงินที่เก็บได้ก็มาหมุนเวียนในโรงพยาบาล
“หมอ พยาบาล รอว่าค่าเวรจะได้ขึ้นไหม จะมีเงินจ่ายค่าโอทีไหม หากไม่มีเงินจ่ายนานๆ เข้า ไปขอให้เขามาช่วยตรวจนอกเวลาก็ลำบาก นี่คือปัญหา”