ผู้เขียน หัวข้อ: อดีตรองปลัดสาธารณสุขชี้แผนล้มบัตรทองขั้นสามเริ่มแล้ว หลังการเมืองตั้งกก.สรรหา  (อ่าน 923 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
แพทย์ชนบทร้องขบวนการล้มระบบบัตรทองกำลังเดินหน้า ภายใต้การชี้นำของนักการเมืองและกลุ่มแพทย์พาณิชย์เตรียมเปลี่ยนเลขาธิการ สปสช. โดยตั้ง 4 ใน 5 กรรมการสรรหาที่การเมืองสั่งได้เพื่อยึดครองสำนักงานและกองทุนหลักประกันสุขภาพแสนสองหมื่นล้านบาท  เป็นการบรรลุแผนล้มบัตรทองขั้นที่สอง และเริ่มขั้นที่สามด้วยการเสนอเพิ่มงบมาตรา 41ดึงเงินจากหน่วยบริการในพื้นที่ช่วยรพ.เอกชนของระบบประกันสังคม สร้างความปั่นป่วนให้กับระบบบริการทั่วประเทศ และเสนอเพิ่มงบเหมาจ่ายปลายเปิดครั้งใหญ่ให้เป็นภาระงบประมาณของประเทศ
             
หลังการประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 6 กพ.ที่ผ่านมา นพ.สุวัฒน์ วิริยะพงศ์สุกิจ อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบทและแพทย์ชนบทดีเด่นศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า การแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาเลขาธิการทั้ง 5 คน ของนายวิทยา บูรณศิริ  รมว.สาธารณสุข และ  4 ใน 5 คน เป็นสายตรงที่การเมืองสั่งได้เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าธุรกิจแพทย์พาณิชย์และการเมืองได้จับมือกันเตรียมเปลี่ยนตัวเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ในเดือนเมษายนนี้ เพื่อเข้ายึดครอง สปสช.และการบริหารกองทุนแสนสองหมื่นล้านบาทแบบเบ็ดเสร็จหลังจากที่ได้เข้ายึดครองเสียงข้างมากในบอร์ด สปสช. และตั้งพวกพ้องคนนอกเกือบ 200 คนที่ ไม่มีประสบการณ์งานหลักประกันสุขภาพเข้ากินตำแหน่งอนุกรรมการ สปสช.13 ชุด โดยเฉพาะคณะอนุกรรมการการเงินการคลัง ที่ไม่มีตัวแทนของ นพ.สสจ ผอ.รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป และ รพ.ชุมชน ในพื้นที่เลย เป็นการแต่งตั้งที่ไม่ให้ความสนใจต่อการตรวจสอบของสังคม
               
“การประชุมบอร์ด สปสช. ที่ผ่านมามีความพยายามของนักการเมืองและกลุ่มแพทย์พาณิชย์ ในการเสนอให้ขยายเงินตามมาตรา 41ที่หักมาจากงบเหมาจ่ายของหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจากเดิมกันไว้ปีละ 100 ล้านบาทเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาทเพื่อชดเชยความเสียหายเพิ่มเติมให้กับรพ.ในระบบประกันสังคมและสวัสดิการข้าราชการ และผู้แทนสมาคมรพ.เอกชนยังได้เสนอในที่ประชุมให้เปลี่ยนการตั้งงบเหมาจ่ายชดเชยให้โรงพยาบาลต่างๆ ในปีงบหน้าจากระบบปลายปิดที่ นพ.สงวน  นิตยารัมภ์พงศ์ วางไว้ให้เป็นระบบปลายเปิด กล่าวคือ  เมื่อรพ.ให้บริการแล้วสามารถเรียกเก็บเงินได้ตามการให้บริการเหมือนระบบสวัสดิการข้าราชการที่กำลังจะล้มละลายเพราะไร้ประสิทธิภาพรัฐบาลไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ ข้อเสนอนี้จะทำให้ระบบ สปสช.ในอนาคตมีความเสี่ยงที่จะล่มสลายถือเป็นภัยพิบัติต่อระบบสุขภาพของไทย” อดีตประธานแพทย์ชนบทกล่าว               

 ขณะที่นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้สร้างตำนานใส่ปลอกแขนดำสองข้างจุดพลุต้านทุจริตยาส่งผลให้นักการเมืองผู้หนึ่งในสมัยนั้นต้องคดีและถูกพิพากษาจำคุก กล่าวว่า    การเสนอให้หักเงินเพิ่มกว่าหนึ่งพันล้านบาทจากหน่วยบริการในระบบ สปสช.เพื่อขยายมาตรา41 ให้ครอบคลุม รพ.เอกชน ในระบบประกันสังคมนั้นผิดหลักการโดยสิ้นเชิงจะทำให้เกิดกระแส รพ.ขนาดเล็กในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขขาดทุนอีกครั้งและความพยายามที่จะเปลี่ยนงบเหมาจ่ายของ สปสช. เป็นแบบปลายเปิด โดยอ้างเพื่อป้องกัน รพ.ขาดทุน ถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะจะต้องเพิ่มงบเหมาจ่ายอีกหลายหมื่นล้านบาทต่อปี เกินภาระที่รัฐบาลจะแบกรับได้ ทำให้ระบบประกันสุขภาพมีปัญหา เข้าทำนองเจตนาดีแต่ประสงค์ร้ายกับระบบบัตรทอง เป็นการเริ่มแผนล้มระบบบัตรทองขั้นที่สามตามแผนที่ชมรมแพทย์ชนบท ได้เคยออกมาเปิดโปงและ รมว.สาธารณสุขปฏิเสธต่อสาธารณะตลอดมา

 “สิบปีที่ผ่านมาระบบ สปสช.มีการเพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชน และขยายสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่องแต่มีการเพิ่มงบประมาณไม่มากนักแบบค่อยเป็นค่อยไป ถือเป็นจุดแข็งที่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ  และเป็นนโยบายเดียวของอดีตนายกฯทักษิณ ที่ยั่งยืนและสามารถลดความยากจนแก่ประชาชนได้จริงเพราะไม่ต้องล้มละลายเมื่อเจ็บป่วยด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง  แต่การที่นักการเมืองมุ่งประโยชน์ระยะสั้น ร่วมกับกลุ่มแพทย์พาณิชย์พยายามจะเสนอเพิ่มงบครั้งใหญ่เป็นอีกรูปธรรมหนึ่งที่จะนำไปสู่การล้มระบบบัตรทองหรือทำให้มีปัญหา โดยร่วมมือกับอุตสาหกรรมยาข้ามชาติที่เรียกร้องให้ประชาชนร่วมจ่าย และโจมตีคุณภาพยาสามัญ ที่มีราคาถูกกว่าหลายเท่า ทั้งนี้เพราะไม่สามารถต่อสู้ทางกฏหมาย เนื่องจากองค์การการค้าโลกอนุญาตให้ประเทศต่างๆ ใช้สิทธิเหนือเหนือสิทธิบัตรยา(ซีแอล)ได้

 แนวทางที่ถูกต้องนั้นรัฐบาลควรสนับสนุนร่างพรบ.เยียวยาผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบทางการแพทย์ฯ ของภาคประชาชนที่เคยเสนอต่อรัฐบาลและรัฐสภาชุดที่แล้ว  การดำเนินการของฝ่ายการเมืองขณะนี้จึงสวนทางอย่างแรงกับข้อแนะนำ หนึ่งในห้าข้อของ ศ. แอน มิลส์ นักเศษฐศาสตร์สาธารณสุข มหาวิทยาลัย ลอนดอน ผู้ได้รับรางวัลเจ้าฟ้ามหิดล ๒ ปีที่แล้วที่ ระบุไว้ว่า"ให้สร้างระบบที่มีธรรมาภิบาล ปราศจากการแทรกแซงและป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มทุนหรือกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆรงมทั้งการเมืองที่พยายามเข้ามาแทรกแซงจนทำให้ระบบบิดเบี้ยวไป"อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าว
           
รายงานข่าวกล่าวว่าได้มีการประชุมอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบทหลายคน หารือเตรียมการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ร่วมกับเครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV ชมรมเพื่อนโรคไต ผู้ป่วยมะเร็งและคนพิการทั่วประเทศรวมทั้งกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เคลื่อนไหวใหญ่เพื่อยื่นข้อเสนอครั้งสุดท้ายต่อ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและขอการสนับสนุนจากผู้อาวุโสในสังคมเพื่อหยุดแผนล้มระบบบัตรทองที่กำลังขับเคลื่อนภายใต้การสนับสนุนของนักการเมืองที่มีอำนาจในกระทรวงสาธารณสุข และจะมีการเปิดเผยข้อมูลความไม่ชอบมาพากลที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณโครงการเร่งด่วนตามนโยบายของนักการเมืองในเร็วๆนี้

มติชนออนไลน์  8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555