ผู้เขียน หัวข้อ: สลดยอด"ฆ่าตัวตาย"คนไทยพุ่ง กรมสุขภาพจิตเผยเหตุซึมเศร้า-โรคจิต  (อ่าน 1454 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ประมาณการว่า ในแต่ละปีจะมี ผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่า 1 ล้านคนทั่วโลก คิดเฉลี่ยมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน ในทุก 40 วินาที หรือ อัตราเฉลี่ย 16 คน ต่อประชาชนแสนคนต่อปี โดยผลจากการฆ่าตัวตายของบุคคล 1 คน ส่งผลกระทบต่อ จิตใจของครอบครัวและผู้คนรอบข้างของผู้ตายอีก 5 คน และส่งผลเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล นอกจากนี้ยังประเมินว่า มีผู้พยายาม ฆ่าตัวตาย แต่ไม่เสียชีวิตอีก 20 เท่าของตัวเลขการฆ่าตัวตายสำเร็จ

ไทยปี'53 เฉลี่ยวันละ 10 ราย

สำหรับประเทศไทย หากย้อนไปดูสถิติข่าวการฆ่าตัวตาย ที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า การนำเสนอ ประเด็นข่าวการฆ่าตัวตายของคนไทย อันเกิดจากสภาพกดดันในสภาวการณ์ต่างๆ มีปรากฏอยู่ในสื่อมวลชนอยู่เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง แม้ตัวเลขของจำนวนกรณีที่เกิดขึ้น จะไม่เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ แต่การฆ่าตัวตายของคนไทยยังคงเกิดขึ้นสม่ำเสมอ

โดยจากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่เก็บสถิติการฆ่าตัวตายของคนไทยล่าสุด มีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จเกิดขึ้นทั้งสิ้น 3,761 คน คิดเป็นการ ฆ่าตัวตายวันละประมาณ 10 คน หรืออัตรา 5.9 ต่อประชากรแสนคน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ลดลงจากปี 2542 ที่เคยเกิดการฆ่าตัวตายสูงสุดถึง 5,290 คน คิดเป็นอัตรา 8.59 คนต่อประชากรแสนคน หรือเฉลี่ยวันละ 14.5 คน โดยพื้นที่ที่มีการฆ่าตัวตายมากที่สุด คือ ภาคเหนือ และ 5 จังหวัดแรกที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุด คือ จ.ลำพูน, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, น่าน และ จ.เชียงใหม่ อยู่ที่ 20.02, 15.63, 14.45, 13.03 และ 12.47 ต่อประชากรแสนคน ตามลำดับ ขณะที่ การแขวนคอ/รัดคอ เป็นวิธีการอันดับแรกที่คนเลือกใช้เป็นวิธีปลิดชีวิตตัวเอง สูงถึงร้อยละ 66.42 รองลงมา คือ พิษจากยาฆ่าศัตรูพืช และสัตว์ ร้อยละ 19.81 พิษจากยา ตัวยา และสารชีวภาพอื่น ร้อยละ 4.28 สารเคมีและสารพิษ ร้อยละ 3.67 กระสุนปืนร้อยละ 3.11

ชี้สาเหตุมาจากซึมเศร้า-โรคจิต

นพ.ทวี ตั้งเสรี รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ ศูนย์ข่าว TCIJ (www.tcijthai.com) ถึงสาเหตุของการฆ่า ตัวตายของคนไทยที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่า ปัจจุบันสังคมยังเข้าใจผิดว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยต้องจบชีวิตของตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย มาจากปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก มากขึ้นของคนทั่วไป แต่เมื่อได้ศึกษาข้อมูลลงไปในเชิงลึกแล้วพบว่า ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ส่งผลให้เกิดการฆ่าตัวตายของคนไทยอย่างผิดปกติแต่อย่างใด แต่กลับอยู่ในอันดับ 4-5 ของการจัดอันดับสาเหตุสำคัญในการฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ

ดังนั้นในปี 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยประสบปัญหาอุบัติภัย อุทกภัยรุนแรง จนเชื่อว่าอาจจะเป็นสาเหตุให้มีผู้ประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ ตกงาน สิ้นเนื้อประดาตัว ต้องตัดสินใจฆ่าตัวตายมากขึ้น แต่ยังไม่พบว่ามีคนตัดสินฆ่าตัวตายเพราะสาเหตุนี้เลย

"สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยตัดสินใจฆ่าตัวตายสูงสุด กลับเป็นเรื่องของ ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากโรคซึมเศร้า มีโรคเรื้อรัง ปัญหาโรคจิต และมีปัญหาความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีก เช่น ทะเลาะเบาะแว้งกัน ถูกคนใกล้ชิดซุบซิบนินทาว่าร้ายให้เสียหาย ถูกทำร้ายร่างกาย พักอาศัยร่วมกับบุคคลที่ติดสุราและยาเสพติด ได้รับข่าวการทำร้ายตนเองหรือ ฆ่าตัวตายของคนอื่นในชุมชน แสดงท่าทีว่าจะทำร้ายตัวเอง" นพ.ทวีกล่าว

เผยส่วนใหญ่เป็นชาย-อยู่ในวัยทำงาน

รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวต่อว่า นอกจากนี้จากการสำรวจข้อมูลผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ ยังพบด้วยว่าผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จส่วนใหญ่เป็นชายมากกว่าหญิง โดยในช่วงปี พ.ศ.2549-2553 เพศชายมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จอยู่ระหว่าง 9.25-9.48 ต่อประชากร แสนคน ขณะที่เพศหญิงมีอัตรา 2.38-2.72 ในช่วงเวลาเดียวกัน หรือประมาณสัดส่วนชายต่อหญิง 3.5 คน ต่อ 1 ซึ่งเป็นไปตามลักษณะการตัดสินใจของผู้ชายที่มีความเด็ดขาดมากกว่า

อย่างไรก็ตามผู้หญิงเป็นกลุ่มที่พยายามฆ่าตัวตายมากกว่า แต่มักจะไม่สำเร็จ เพราะยังมีเหตุผล ขาดความเด็ดขาด ส่วนกลุ่มอายุ ที่มีการฆ่าตัวตายสูงสุดคือ ผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน ตั้งแต่ 31-40 ปี รองลงมา คือ 21-30 ปี ซึ่งเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างแตกต่างจากต่างประเทศ ที่พบว่า การฆ่าตัวตายจะเกิดขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า และมีแนวโน้มการฆ่า ตัวตายในวัยรุ่นมากขึ้น ในขณะที่อัตราการฆ่าตัวตายในแต่ละพื้นที่ มีความแตกต่างกันมาก ในปี 2553 จ.ลำพูน มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดที่ 20.02 ต่อประชากรแสนคน ขณะที่ จ.ปัตตานี มีอัตราการฆ่าตัวตายต่ำสุด ที่ 0.77 ต่อประชากรแสนคน และพื้นที่ที่มีการฆ่าตัวตายสูง มีการกระจุกตัวอยู่ในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนบน และชายฝั่งทะเลตะวันออก

นพ.ทวีกล่าวอีกว่า ปัญหาการฆ่าตัวตายก่อนวัยอันควร โดยเฉพาะการเกิดขึ้นในวัยทำงานนับเป็นประเด็นปัญหาสำคัญที่ได้รับความสนใจและมีการศึกษามาโดยตลอด ทั้งในเชิงของผลกระทบ และแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยในประเด็นของผลกระทบพบว่า ส่งผลทั้งในด้านเศรษฐกิจ ครอบครัว รวมไปถึงด้านสังคม และชุมชน ที่หากไม่ได้รับการแก้ไขเพื่อลดจำนวนอัตราการฆ่าตัวตายลง จะสร้าง ปัญหาในหลากหลายด้านมากขึ้น

ปี'48 ทำเศรษฐกิจสูญเสียถึง 1.6 หมื่นล้าน

นอกจากนี้เมื่อปี 2548 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เคยประเมิน ความสูญเสียเชิงเศรษฐกิจ จากปัญหาการฆ่าตัวตาย ระบุว่า ความสูญเสียที่เกิดขึ้นของการฆ่าตัวตาย มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 16,000 ล้านบาท ในขณะรายงานของบุญชัย นวมงคลวัฒนา และคณะ ได้รายงานไว้ในเอกสารระบาดวิทยาของผู้ป่วยในโรงพยาบาลจิตเวช 12 แห่ง เมื่อปี 2548 พบว่ามูลค่าความสูญเสียในเชิงเศรษฐกิจของ ผู้พยายามฆ่าตัวตายมีมูลค่า 37,793 บาท ต่อผู้ป่วย 1 ราย มูลค่าเหล่านี้ยังไม่นับรวมถึงโอกาสในการทำงานหารายได้ของกลุ่มผู้ฆ่าตัวตายที่อยู่ในวัยทำงาน การเลี้ยงดูของครอบครัว ที่ขณะนี้ยังไม่ได้มีการคำนวณอย่างจริงจัง แต่เชื่อว่ามูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการฆ่าตัวตายแต่ละคนนั้นอยู่ที่หลักหลายล้านบาท

ส่วนผลกระทบด้านครอบครัว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาฆ่าตัวตายนั้น กรมสุขภาพจิต ได้ศึกษาจากสมาชิกในครอบครัวที่มีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นพบว่า ครอบครัวเองมีความรู้สึกผิด เสียใจ ซึมเศร้า วิตกกังวล อับอาย หลายรายหันกลับไปดื่มสุราหรือสูบบุหรี่ ทั้งที่หยุดไปแล้วหลายปี ไม่สามารถทำงานหรือดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ส่งผลเสียต่อความสามารถในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะหากก่อนฆ่าตัวตาย มีปัญหาความสัมพันธ์กันอยู่เดิม กรณีที่พ่อหรือแม่ฆ่าตัวตาย เด็กจะรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย อาจส่งผลกระทบ ต่อพัฒนาการให้เด็กช้าลง หรือรุนแรงถึงขั้นหยุดชะงักลง หากลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่นอาจพบปัญหาของการแสดงออกทางอารมณ์ มีแนวโน้ม ของการเกิดความคิดด้านลบมากขึ้น มีการให้ความหมายของเหตุการณ์ใหม่ที่เข้ามาในแง่ลบมากกว่าวัยรุ่นทั่วๆ ไป บาดแผลทางใจที่เกิดขึ้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ที่มีชีวิตอยู่อย่างมาก

การเสนอข่าวของสื่อทำคนฆ่าตัวตายเพิ่ม

สำหรับประเด็นการเลียนแบบการฆ่าตัวตายที่เกิดจากการเผยแพร่ ของสื่อมวลชนนี้ นพ.ทวีกล่าวว่า เป็นประเด็นหนึ่งที่กรมสุขภาพจิตมีความเป็นห่วง เพราะถือว่าอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะเพิ่มอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นได้ จนเป็นเหตุให้องค์การอนามัยโลก ถึงกับต้องนำเสนอแนวทางเพื่อการนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายในสื่อมวลชนเพื่อใช้เป็น หลักในการตัดสินใจเผยแพร่เนื้อหา หรือภาพข่าวการฆ่าตัวตายใน กรณีต่างๆ โดยขอให้หลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าวให้เกิดความรู้สึกว่าเป็น เรื่องน่าสนใจ และเลี่ยงการบรรยายวิธีการฆ่าตัวตายโดยละเอียด หากมีบันทึกลาตาย ก็ไม่ควรนำเสนอข้อความรายละเอียด ขณะเดียวกันควรให้ความรู้เกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย และคำแนะนำเกี่ยวกับการช่วยเหลือ เบื้องต้นและแหล่งช่วยเหลือ โดยการนำเสนอข่าวแต่ละครั้งจะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับญาติและผู้ใกล้ชิด ที่สำคัญจะต้องตระหนัก ถึงโอกาสในการเลียนแบบ หากผู้ฆ่าตัวตายเป็นดารา หรือผู้มีชื่อเสียง

แม้ว่าปัจจุบันอัตราการฆ่าตัวตายของคนไทยจะลดลง แต่ด้วย สภาพสังคมปัจจุบัน นพ.ทวีระบุว่า ยังคงเป็นสังคมที่ขาดความเชื่อมโยง ขาดความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน โดยเฉพาะการพูดคุย กันอย่างใกล้ชิดในครอบครัว จึงยังคงเป็นที่น่าเป็นห่วงว่า หากยังไม่มี การกำหนดยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาอย่างชัดเจน ก็อาจจะทำให้ปัญหาการฆ่าตัวตายกลับมาเพิ่มขึ้นอีกได้

"พระไพศาล"ชี้ฆ่าตัวตาย-สร้างกรรมขั้นร้ายแรง

ความคิดเห็นของ นพ.ทวี สอดคล้องกับแนวความคิดของ พระไพศาล วิสาโล พระชื่อดังผู้เผยแพร่เรื่องสิทธิการตายและการตายอย่างสงบ ที่เห็นตรงกันว่า จากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป คนไทยกำลังให้คุณค่ากับความสำคัญทางวัตถุ สถานะทางสังคม และรูปร่าง มากกว่าความเข้าใจความเป็นจริง เมื่อเกิดความผิดหวังทั้งจากเรื่องการงาน ความรัก หรือความหวังต่างๆ จนรู้สึกยอมรับไม่ได้ จนทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า โดดเดี่ยว ไม่มีคนพูดคุยปรึกษาหารือด้วย ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงไม่ได้ จึงส่งผลต่อความรู้สึกการฆ่าตัวตาย เพื่อหนีปัญหาจึงเกิดขึ้น ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกวิธีการนี้ว่า "การตกอยู่ใน ภาวะตัณหา" คือการอยากหลุดพ้นจากสภาวะที่เป็นทุกข์ ความคิดที่สุดโต่ง คือการฆ่าตัวตาย ซึ่งแม้ว่าคนไทยที่นับถือพุทธศาสนาส่วนใหญ่จะเชื่อ ว่าการฆ่าตัวตายเป็นการสร้างกรรมขั้นร้ายแรง แต่เมื่อเวลามีทุกข์มากๆ จะทำให้เกิดความหลง และลืมว่าการกระทำนี้คือบาป

สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตาย พระไพศาลแสดงทัศนะว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการให้ความรู้กับสังคมรอบข้าง เพราะปัจจุบันคนไทยไม่มีความรู้เกี่ยวกับการส่งสัญญาณของคนที่กำลังคิดจะฆ่า ตัวตายเลย เพราะสังคมไทยเวลานี้เป็นสังคมต่างคนต่างอยู่ แม้ว่าจะมีคนส่งสัญญาณว่า กำลังตกอยู่ในความทุกข์ เช่น การขอปรึกษา ขอพูดคุย ในปัญหาต่างๆ แต่ผู้รับกลับรู้สึกว่าการส่งสัญญาณนั้นเป็นเพียงการปรึกษา หารือธรรมดา และไม่น่าสนใจปัญหาจึงเกิดตามมา ดังนั้นการให้ความรู้กับสังคมเรื่องของการส่งสัญญาณเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นในสังคม ปัจจุบันที่ถือว่าเป็นสังคมที่เสี่ยงต่อการทำให้คนตัดสินใจฆ่าตัวตายสูง

แนวหน้า  30/1/2012