วาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรี
"ผมไม่สามารถขอให้คนไทยทุกคนรักในหลวงอย่างที่ผมรัก แต่ผมรักในหลวงหมดหัวใจ"
วาเด็ง ปูเต๊ะ ชายชราชาวมุสลิม วัย ๙๕ ปี ผู้เป็น "พระสหายแห่งสายบุรี" ที่มีความจงรักภักดีต่อในหลวงไม่เสื่อมคลาย
// ทำความรู้จักกับ วาเด็ง ปูเต๊ะ ก่อน //วาเด็ง ปูเต๊ะ เป็นชาวมุสลิม อาชีพทำสวนผลไม้ ได้แก่ ทุเรียน ลองกอง จำปาดะ เงาะ และมะพร้าว เป็นต้น และเลี้ยงโค
อยู่บ้านเลขที่ ๖๔ หมู่ ๕ บ้านบาเลาะ ต. ปะเสยะวอ อ. สายบุรี จ. ปัตตานี
มีภรรยาชื่อ นางสาลาเมาะ ปูเต๊ะ
// พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปตรวจโครงการพัฒนาพรุแฆแฆ // เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปตรวจโครงการพัฒนาพรุแฆแฆ อ.สายบุรี จ.นราธิวาส เป็นป่าเสื่อมโทรมขนาดใหญ่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้ศึกษาหาวิธีระบายน้ำในที่ลุ่มยามน้ำหลาก และเก็บกักไว้ใช้ยามหน้าแล้ง ชาวบ้านจะได้มีน้ำใช้เพื่อการเพาะปลูก
เพื่อให้ได้ข้อมูลชัดเจนจึงเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตร ด้วยพระองค์เอง ณ บ้านเจาะใบ ต.แป้น อ.สายบุรี จ.นราธิวาส และได้ ประทับทอดพระเนตรพรุแฆแฆด้านตะวันตก และทรงมีพระราชดำริกับชาวบ้านเป็นเวลานาน จนกระทั่งได้ข้อมูลใหม่จากชาวบ้านจึงสนพระทัยที่จะเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรความเป็นไปได้ในการสร้างฝายกั้นน้ำที่คลองน้ำจืด บ้านทุ่งเค็จ ต.แป้น อ. สายบุรี แต่เป็นเส้นทางทุรกันดารและรถยนต์เข้าไปไม่ถึง และเป็นเวลาเย็นแล้วด้วย แต่มีพระราชดำรัสสั้น ๆ ว่า"ไปได้"
รถยนต์พระที่นั่ง ได้วิ่งไปตามถนนลูกรัง ท่ามกลางฝุ่นฟุ้งกระจาย เมื่อสิ้นสุดเส้นทาง จึงเสด็จฯ ไปตามทางเท้าเล็ก ๆ
เมื่อถึงชายคลองน้ำจืด บ้านทุ่งเค็จ นั้น เป็นเวลาตะวันลับขอบฟ้าพอดี
พระองค์ท่านทรงมีรับสั่งกับเจ้าหน้าที่ชลประทานว่า
แนวทางที่จะพัฒนาเพื่อนำน้ำจากแม่น้ำสายบุรี ผ่านคลองขุดเข้าไปเพื่อที่จะให้พรุใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตรได้ คือการนำน้ำเข้าไปในพื้นที่พรุผ่านทางคลองน้ำจืด บ้านทุ่งเค็จ เพื่อล้างไม่ให้เกิดดินเปรี้ยว จะต้องทำประตูกั้นน้ำเพื่อปิดกั้นและระบายน้ำ
พระองค์ได้ทรงพิจารณาแผนที่ด้วยแสงไฟฉายเป็นเวลานานและทรงรับสั่งให้ไปตามเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ใกล้ มาเข้าเฝ้า !!
ฉันนะคนดี...อยู่นี่ไง... คอยเป็นกำลังใจกันและกัน ^^@~@♥♥♥
// วาเด็ง ปูเต๊ะ เข้าเฝ้าในหลวงในชุดกางเกงชาวเล ขาก๊วย มีผ้าขาวม้าคาดพุง ไม่สวมเสื้อ // วันนั้น วาเด็ง ปูเต๊ะ กำลังทำสวนอยู่กับภรรยา บริเวณประตูน้ำบ้านบาเลาะ ต.ปะเสยะวอ เป็นป่าทึบ ก็มีผู้มาบอกว่า ในหลวง ต้องการพบตัว ก็ตกใจมากว่าเรื่องอะไร เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด จนกระทั่งสื่อสารกันจนเข้าใจแล้วว่า ในหลวงต้องการมาสร้างฝายกั้นน้ำคลองน้ำจืด บ้านทุ่งเค็จ เพื่อช่วยเหลือเรื่องแหล่งน้ำแก่ชาวบ้านในการทำการเกษตร
วาเด็ง ปูเต๊ะ ถึงกล้าไปพบ แต่ตอนนั้น ยังไม่ค่อยเชื่อว่าพระองค์จะเข้ามาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้ จึงคิดว่าผู้ที่มาบอกโกหก ขนาดมาพบพระองค์แล้ว วาเด็ง ปูเต๊ะ ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นในหลวงจริงหรือเปล่า จึงมอบหยิบเงินใบละ ๑๐๐ บาท กับใบละ ๒๐ บาทขึ้นมาดู จึงแน่ใจว่าเป็นพระองค์เสด็จฯ มาจริง ๆ
ตอนแรกที่พบในหลวง วาเด็ง ปูเต๊ะก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ๆ เพราะตอนนั้นนุ่งกางเกงชาวเล เสื้อก็ไม่ได้ใส่ด้วยแต่พอเข้าไปใกล้ ๆ ในหลวงก็ตรัสว่า จะสร้างคลองชลประทานให้ หลังจากนั้น ในหลวง ก็ทรงสอบถามเส้นทางการขุดคลองสายทุ่งเค็จว่ามีเขตติดต่อที่ไหนบ้าง จึงได้เล่าให้ในหลวงทรงทราบ ว่าคลองเส้นนี้ทางเหนือจะติดเขตพื้นที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส
ในหลวงตรัสถามว่าหากออกไปทางทะเลจะมีเกาะกี่เกาะ ก็ตอบพระองค์ไปว่ามี 4 เกาะ ในหลวงจึงทรงเอาแผนที่ที่นำติดตัวมา
ออกมาดูอีกครั้ง และตรัสชมว่า วาเด็งเป็นคนรู้พื้นที่จริง
พระองค์ยังตรัสด้วยว่า "ไม่ว่าจะไปช่วยใครที่ไหนก็ต้องถามเจ้าของพื้นที่ก่อน...เพราะชาวบ้านจะรู้จริงกว่าคนอื่น"
วันรุ่งขึ้นข้าราชการที่มารับเสด็จก็ ต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เมื่อพระองค์ทรงรับสั่งให้ วาเด็ง ปูเต๊ะ พายเรือให้พระองค์ เพื่อทำการสำรวจคลองสายทุ่งเค็จ พระองค์มีพระราชดำรัสถาม พร้อมเปิดแผนที่เพื่อให้รู้ว่าจะสร้างแหล่งชลประทานอย่างไร
ตอนพายเรืออยู่ ในหลวงตรัสด้วยว่า "ให้วาเด็งทำตัวให้สบาย มีอะไรที่ชาวบ้านเดือดร้อนก็ให้เล่ามาตามความจริง"
วาเด็ง ปูเต๊ะ จึงได้บอกในหลวง ว่าเมื่อถึงเวลาหน้าฝนน้ำจะท่วม ทำนาไม่ได้ เมื่อถึงหน้าแล้งก็ทำนาไม่ได้ เพราะไม่มีน้ำ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน พระองค์ก็ตรัสอีกว่า ชาวบ้านทำการเกษตรอะไรบ้าง จึงตอบพระองค์ไปว่า ทุกคนทำการเกษตรตามวิถีชีวิตของคนชนบท คือ ปลูกพืชผักสวนครัว และทำสวนไว้กินกันทุกบ้าน
// วาเด็ง ปูเต๊ะ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระสหาย //วาเด็ง ปูเต๊ะ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เป็นพระสหาย
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ณ โครงการพัฒนาพรุแฆแฆ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕
ในหลวงคงจะทรงลองใจ จึงตรัสถามขอที่ดิน เพื่อทำโครงการพระราชดำริ ด้วยความปลาบปลื้ม วาเด็ง ปูเต๊ะ จึงขอยกที่ดิน
ถวายให้พระองค์ทันที ในหลวงจึงทรงแย้มพระสรวล และมีพระราชดำรัสว่าให้ วาเด็ง ปูเต๊ะ เป็นพระสหาย ตั้งแต่บัดนั้น ในหลวงตรัสเรื่องนี้ว่า "วาเด็ง เป็นคนซื่อตรง จึงขอแต่งตั้งให้วาเด็งเป็นเพื่อนของในหลวง"
// ในหลวงตรัสให้วาเด็ง ปูเต๊ะ หยุดทำงานได้แล้ว //
ล่าสุด ในหลวง ตรัสว่าให้วาเด็งหยุดทำงานได้แล้ว เพราะแก่แล้ว อายุมากแล้ว ทรงเป็นห่วงสุขภาพวาเด็ง กลัวว่าทำงานหนักจะไม่สบาย วาเด็ง ปูเต๊ะ ก็นั่งทบทวนคำตรัสของพระองค์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มด้วยความภาคภูมิกับคำว่า "พระสหายแห่งสายบุรี"
นอกจาก ละหมาดขอพระผู้เป็นเจ้าแล้ว วาเด็ง ปูเต๊ะ ยังเดินทางมาเยี่ยมพระอาการประชวรของในหลวงถึง รพ.ศิริราชด้วย
// วาเด็ง ปูเต๊ะ มาเยี่ยมในหลวง พร้อมทูลเกล้าถวายจำปาดะ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๐ //
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๐ นายวาเด็ง ปูเต๊ะ ราษฎรจาก อ.สายบุรี จ.ปัตตานี พระสหายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เคยได้ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอย่างใกล้ชิดหลายครั้ง เดินทางมาลงนาม ถวายพระพร พร้อมนำจำปาดะ ๑๑ ผลที่ปลูกในสวนมาทูลเกล้าฯ ถวายด้วย
นาย วาเด็งให้สัมภาษณ์เป็นภาษายาวีทั้งน้ำตาว่า หลังทราบข่าวว่าพระองค์ประชวรเป็นห่วงและคิดถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก ตัวเองก็ป่วยเป็นโรคหอบหืด รักษาตัวที่โรงพยาบาลปัตตานี ๒-๓ สัปดาห์แล้วเมื่ออาการดีขึ้นจึงขอแพทย์เดินทางมาลงนามถวายพระพรด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
// วาเด็ง ปูเต๊ะ มาเยี่ยมในหลวง พร้อมทูลเกล้าถวายทุเรียนก้านยาว เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ // เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ วาเด็ง ปูเต๊ะ ไดัเดินทางมาลงนามถวายพระพร พร้อมทูลเกล้าถวายทุเรียนก้านยาว จากสวนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จฯ ไป มาถวายด้วย
วาเด็ง กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงพระองค์ท่าน และได้ละหมาดฮายัด ร่วมกับโต๊ะอิหม่าม และชาว อ.สายบุรี เพื่อถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์โดยเร็ว
// ถ้าขอได้ อยากขอให้คนไทยทำอะไรเพื่อในหลวง // วาเด็ง ปูเต๊ะ ตอบว่า "เราไม่สามารถขอให้ทุกคนทำอะไรเพื่อในหลวงได้ แต่อยากให้ทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวม อย่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และผมไม่สามารถขอให้คนไทยทุกคน รักในหลวงอย่างที่ผมรัก แต่ผมรักในหลวงหมดหัวใจ"
วาเด็ง ปูเต๊ะ นับว่าเป็น "แบบอย่าง" ของผู้ที่มีความซื่อสัตย์ เจียมเนื้อเจียมตัว และใช้จ่ายอย่างประหยัด เสียสละประโยชน์
ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ และใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว โดยทำตัวเป็นแบบอย่างตามพระราชดำรัสของในหลวงที่รู้จักกิน รู้จักใช้ ตามวิถีชีวิตของชุมชนชนบทกับเศรษฐกิจพอเพียงมาจนถึงทุกวันนี้
สมควรได้รับการยกย่องและเป็นแบบอย่างของคนดีคนหนึ่งในสังคมไทยทุกวันนี้