*สปสช. เปิดนโยบาย ร้านยาคุณภาพ ให้ประชาชนรับยาฟรีสำหรับ 32 อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย หวังเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพ ลดความแออัดในโรงพยาบาล และแก้ปัญหาการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์อย่างไร้ประสิทธิภาพ
*แพทยสภาคัดค้านนโยบายดังกล่าว โดยมองว่าการสั่งจ่ายยาบางกรณีอาจเกินความสามารถของเภสัชกร เสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย และอาจขัดต่อขอบเขตวิชาชีพเวชกรรม
*สภาเภสัชกรรมยืนยันการดำเนินโครงการเป็นไปตามกฎหมาย พร้อมให้เภสัชกรปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และย้ำว่าการรักษาจะดำเนินการตามมาตรฐาน รวมถึงการส่งต่อผู้ป่วยหากจำเป็น
*ความขัดแย้งระหว่างสองวิชาชีพสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบสาธารณสุขไทย ที่ยังขาดการบูรณาการบทบาทหน้าที่ การแก้ไขจำเป็นต้องสร้างความร่วมมือและปรับปรุงกฎหมายเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
ร้านยาคุณภาพภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หนึ่งในความพยายาม แก้ปัญหาความแออัดในโรงพยาบาล กำลังกลายเป็นศึกระหว่างสองวิชาชีพที่ต้องจับตาว่าจะจบลงอย่างไร
นโยบาย ร้านยาคุณภาพของฉัน จ่ายยาฟรี สิทธิบัตรทอง 16 อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ต่อมาขยายเป็น 32 อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ถือเป็นหนึ่งในความพยายาม เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ในระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นที่ไม่ซับซ้อน หวังแก้ปัญหาความแออัดในโรงพยาบาลและการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของระบบสาธารณสุขไทยมาอย่างยาวนาน
การดำเนินนโยบายดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนทั่วไป เนื่องจากช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาในการเดินทางไปโรงพยาบาล โดยเฉพาะในกรณีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่สามารถรักษาได้ด้วยยาสามัญประจำบ้าน การที่ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางเภสัชกรรมได้สะดวกขึ้นยังช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และลดความเสี่ยงจากการซื้อยารับประทานเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง
ทว่า การดำเนินนโยบายร้านยาจ่ายยาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ได้เผชิญกับการคัดค้านอย่างหนักจากแพทยสภา ซึ่งได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง มาตั้งแต่ยุค นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้วยความกังวลในหลายประเด็น ประเด็นสำคัญที่สุดคือเรื่องขอบเขตการประกอบวิชาชีพ โดยแพทยสภาเห็นว่าการวินิจฉัยและสั่งจ่ายยาบางกลุ่มอาการอาจเกินขอบเขตความสามารถของเภสัชกร และอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย โดยเฉพาะในกรณีที่อาการแสดงของโรคมีความคล้ายคลึงกัน แต่ต้องการการวินิจฉัยที่แม่นยำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
อ้างอิงตาม พ.ร.บ. วิชาชีพเวชกรรม 2525 หมวด 5 มาตรา 26 ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ว่าพร้อมที่จะประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
ด้าน สภาเภสัชกรรม ออกแถลงการณ์ ตามที่ปรากฏข้อมูลในสื่อเกี่ยวกับประเด็นการที่สภาเภสัชกรรมและสปสช.ถูกฟ้องร้องจากแพทยสภานั้น สภาเภสัชกรรมขอเรียนให้สมาชิกทราบว่า การทำงานตามโครงการของสภาเภสัชกรรมเป็นไปตาม พ.ร.บ.ยา และ พ.ร.บ.วิชาชีพ
ทั้งนี้ สภาเภสัชกรรมได้เตรียมข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งรวบรวมทีมนักกฎหมายเพื่อเตรียมการดำเนินการ
สภาเภสัชกรรมขอให้เภสัชกรที่ร่วมโครงการ ยังคงดำเนินการตามปกติ จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยเป็นอื่น, ในการดำเนินการทุกโครงการขอให้ทำตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัดและถูกต้องตามกำหนด และขอให้เภสัชกรแสดงบทบาทการทำงานอย่างเต็มที่เพื่อความปลอดภัยของประชาชน
โดยนับตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 จนถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2567 มีประชาชนเข้ารับบริการแล้วทั้งสิ้น 1,771,758 คน รวม 4,912,114 ครั้ง สภาเภสัชกรรมขอยืนยันข้อเท็จจริงว่าไม่มีผู้ป่วยรายใดเสียชีวิตจากการเข้ารับบริการในโครงการนี้ และจากการตรวจสอบพบว่าประชาชนทุกคนได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ และ ประชาชนที่เข้ารับบริการในโครงการนี้มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ กรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา ย้ำถึงกระบวนการคิดและขั้นตอนสำคัญก่อนการสั่งจ่ายยาของแพทย์ โดยระบุว่า การสั่งจ่ายยาจำเป็นต้องผ่านกระบวนการวินิจฉัยโรค (Diagnosis) หรืออย่างน้อยต้องมีการวินิจฉัยแยกโรค (Differential diagnosis) เสียก่อน
แพทย์จะต้องผ่านการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และสั่งการตรวจที่จำเป็นก่อนการสั่งยาทุกครั้ง เราไม่สามารถสั่งยาโดยไม่ผ่านกระบวนการวินิจฉัยโรคได้ นพ.เมธีกล่าว พร้อมเน้นว่า กระบวนการนี้เป็นผลจากการศึกษาและฝึกฝนในหลักสูตรแพทยศาสตร์เป็นเวลาอย่างน้อย 6 ปี และอาจถึง 11 ปีสำหรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา ยังชี้ให้เห็นว่า การได้มาซึ่งใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมนั้น แพทย์จะต้องผ่านการสอบความรู้ระดับชาติและได้รับการขึ้นทะเบียนจากแพทยสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องผ่านการฝึกปฏิบัติจริงในการรับมือและแก้ไขปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อนจากการสั่งยา ไม่ใช่เพียงการอ่านคู่มือเพียงเล่มเดียว
การสั่งยาโดยไม่มีการวินิจฉัยโรคหรือวินิจฉัยแยกโรค หรือไม่พยายามวินิจฉัยแยกโรคโดยปราศจากเหตุอันสมควร ถือเป็นการกระทำที่ผิดทั้งจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพอย่างร้ายแรง
นพ.เมธี กล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมเตือนว่า โรคร้ายแรงแทบทุกโรค ล้วนเริ่มต้นด้วยอาการเล็กน้อยแทบทั้งสิ้น
ท้ายที่สุด นพ.เมธี ย้ำว่า ความปลอดภัยต่อชีวิตและอนามัยของประชาชนต้องมาก่อนนโยบายใดๆ เสมอ และไม่มีประเทศใดในโลกที่อนุญาตให้มีการสั่งจ่ายยาโดยไม่ผ่านกระบวนการวินิจฉัยโรคที่เหมาะสม
สปสช. ยันเจ็บป่วยเล็กน้อยรับยา ร้านยาใกล้บ้าน จนกว่าศาลสั่ง
แม้ท่าทีแพทยสภาชัดเจนว่าค้านนโยบาย ร้านยาจ่ายยา 32 กลุ่มอาการ ถึงกับร้องศาลปกครอง แต่จนถึงเวลานี้ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ยืนยันว่า ยังคงให้สิทธิผู้ป่วยเจ็บป่วยเล็กน้อยสามารถรับยา ร้านยาใกล้บ้านได้ตามเดิม ตราบเท่าที่ศาลปกครองยังไม่มีคำสั่งเด็ดขาด เพราะมีเจตนาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนจะสะดวกไปรับบริการที่โรงพยาบาล ขณะที่หมอก็มีจำนวนจำกัด โครงการนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วยได้
สำนักงานสถิติแห่งชาติมีการสำรวจสุขภาพประชาชนทุก 2 ปีว่า เมื่อเจ็บป่วยเบื้องต้นทำอย่างไร พบว่า 40% ไปร้านยา บอกอาการและซื้อยารับประทาน ทางสปสช.จึงนำข้อมูลตรงนี้มาปรับใช้ในระบบ โดยให้อยู่ในบัตรทองและมีการติดตามอาการโดยเภสัชกร หากรุนแรงขึ้นส่งต่อโรงพยาบาล โดยตัวเลข 40% ดังกล่าว หากมาใช้บริการตรงหน่วยบริการวิชาชีพก็จะลดความแออัดในโรงพยาบาลได้
เลขาธิการ สปสช. ขอไม่ก้าวล่วงในทางกฎหมายระหว่างสภาวิชาชีพ แต่ขอฝากทางสภาวิชาชีพ ช่วยพิจารณาว่า โดย พ.ร.บ.ฯที่ทางสภาวิชาชีพต่างๆ ถือว่า อะไรทำได้ ทำไม่ได้ แต่สปสช.ยืนยันกรณี พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ว่า
หน่วยบริการสภาวิชาชีพสามารถเป็นหน่วยบริการในระบบได้แน่
เมื่อเป็นแล้วมีเครือข่าย ทั้งวิชาชีพ ทั้งโรงพยาบาล ทั้งแพทย์ อย่างวิชาชีพใดมีปัญหาสามารถส่งต่อโรงพยาบาล
ยกตัวอย่าง ร้านยาคุณภาพที่ร่วมโครงการ หาก 72 ชั่วโมงโทรติดตามอาการแล้วอาการดีขึ้นถือว่าปกติ แต่หากแย่ลงต้องรีบส่งต่อเครือข่ายตามขั้นตอนต่อไป จริงๆ เคยเจอปัญหา โรงพยาบาลบางแห่งไม่ยอมรับส่งต่อ ซึ่งไม่ได้ จะขัดตามกฎหมาย นพ.จเด็จ ระบุ
สมศักดิ์ เดินหน้าเปิด ตู้อุ่นใจ บอกเรื่องถึงศาลก็ต้องจบที่ศาล
แต่ในจังหวะร้อนแรงระหว่าง แพทยสภา กับ สภาเภสัชกรรม สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางไปเปิดนวัตกรรมบริการ ตู้ห่วงใย ที่ชุมชนสหกรณ์เคหสถานเจริญชัยนิมิตใหม่เป็นแห่งแรก เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2567 และจะขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป ซึ่งจะช่วยให้พี่น้องประชาชน เข้าถึงบริการสุขภาพ ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ผ่านระบบออนไลน์ ได้อย่างสะดวก รวดเร็วและใกล้บ้าน พร้อมบริการจัดส่งยาถึงบ้าน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และจะช่วยลดความแออัด และระยะเวลารอคอย การรักษาพยาบาลได้อีกด้วย
ตู้ห่วยใย ติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารและอุปกรณ์วัดสัญญาณชีพต่างๆ เพื่อให้คนในชุมชนสามารถตรวจค่าสุขภาพพื้นฐานที่แม่นยำและรับผลการตรวจทันที ทั้งยังพบแพทย์ผ่านระบบวิดีโอคอล กรณีที่ต้องรับยาสามารถเลือกรับยาที่บ้าน หรือไปรับที่ร้านยาคุณภาพของฉัน ที่เข้าร่วมโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยตัวเองได้
โดย สมศักดิ์ ก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการฟ้องร้องกันระหว่างแพทยสภากับสภาเภสัชกรรมว่า ทั้ง 2 วิชาชีพต่างก็มีกฎหมายคนละฉบับ ไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องร้อนแรง ซึ่งเรื่องเข้าศาลก็ต้องจบที่ศาล ถ้าได้ข้อสรุปร่วมกันก็ไปแถลงต่อศาลก็จบ แต่ถ้าไม่จบก็ว่ากันต่อไปในทางคดี
เรื่องที่เถียงกันเป็นปัญหาชาวบ้าน หรือปัญหาใคร ถ้าเรามีตู้ห่วงใย ก็จะสามารถแก้ปัญหานี้ด้วย สะดวก เข้าตู้แล้ว คลินิกส่งยาให้ไม่ต้องไปร้านเอง สมศักดิ์ รมว.สธ. กล่าว
ความขัดแย้งแพทยสภา สภาเภสัชฯ จะจบอย่างไร
ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบสาธารณสุขไทย ที่ยังขาดการบูรณาการระหว่างวิชาชีพและการกำหนดบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจนระหว่างบุคลากรทางการแพทย์แต่ละสาขา การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเข้าใจและการยอมรับในบทบาทของแต่ละวิชาชีพ
หากพิจารณาถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา จำเป็นต้องดำเนินการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในระยะสั้น ควรมีการจัดทำแนวทางการคัดกรองที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย พร้อมทั้งกำหนดเกณฑ์การส่งต่อผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงหรือมีอาการซับซ้อน นอกจากนี้ ควรมีการพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพการรักษา
ในระยะยาว ควรมีการพัฒนาระบบ Collaborative Practice ระหว่างแพทย์และเภสัชกร โดยอาจเริ่มจากการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างแพทยสภาและสภาเภสัชกรรม เพื่อพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยร่วมกัน และกำหนดบทบาทและขอบเขตการทำงานที่ชัดเจน
ควรมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน และสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ
ท้ายที่สุด การแก้ไขปัญหานี้ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ โดยต้องสร้างสมดุลระหว่างการเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพและการรักษาความปลอดภัยของผู้ป่วย การพัฒนาระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการยอมรับในบทบาทที่แตกต่างแต่เกื้อกูลกันของบุคลากรทางการแพทย์ทุกสาขา
อนาคตของนโยบายร้านยาคุณภาพจะเป็นอย่างไรนั้น? ขึ้นอยู่กับความสามารถในการหาจุดสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของทุกฝ่าย และการพัฒนาระบบที่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
19 พ.ย. 2567
https://policywatch.thaipbs.or.th/article/life-76