ผู้เขียน หัวข้อ: สามีร้อง พาภรรยาหาหมอรพ.(ยะลา) ฉีดเพียงยาแก้ปวดแล้วปล่อยกลับบ้านก่อนเสียชีวิต  (อ่าน 116 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 10108
    • ดูรายละเอียด
สามีโพสต์เฟซบุ๊กหลังภรรยาป่วยหนัก เข้ารักษาที่ รพ. รอคิวเกือบ 1 ชั่วโมง พบหมอฉีดยาแก้ปวดให้ แล้วปล่อยกลับบ้าน สุดท้ายภรรยาเสียชีวิต ยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

จากกรณี ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายใช้ชื่อว่า Anuwa Jarong ได้โพสต์เล่าเรื่องราว หลังสูญเสียภรรยาผู้เป็นที่รัก โดยระบุข้อความว่า "เรื่องเล่าจากทางบ้าน เหตุเกิดที่ รพ. เตือนตัวเองทุกๆปี อมีนา ภรรยาของผมเสียชีวิต หลังปอดติดเชื้อรุนแรง วันศุกร์ ที่ 23 สิงหาคม 2567 ในวัย 35 ปี เวลา 17:00 น.

“อยากให้ทุกคนอ่านให้จบครับ (โรงพยาบาลศูนย์...) ช่วยกันแชร์โพสต์นี้ให้ได้รับรู้ทั่วด้วยนะครับ เคยแต่เห็นข่าวที่ผ่านๆหลายๆเคสของผู้ป่วยอื่นเกียวกับ รพ.ไม่เคยคิดเลยสักวันนึ่งจะมาเจอกับครอบครัวของผม (ภรรยาที่รัก) ทำใจไม่ได้เลยการจากลาที่เร็วมาก

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 เวลา 10 โมงเช้ากว่าๆ (ภรรยา) ผมมีไข้ และ มีอาการเจ็บหน้าอก แสบหน้าอก และไอรุนแรง อาการหนักตั้งแต่อยู่บ้าน ต่อมาผมได้พา (ภรรยา) ผมไป รพ. พอไปถึงพยาบาลต้อนรับกลับให้รอคิว ทั้งๆที่เคสหนักมาก คงรอคิวไม่ได้แล้ว แต่กลับให้รอคิวเกือบๆ 1ชม. หน้าห้องฉุกเฉิน

แต่พอพยาบาลเข็นเข้าไปข้างใน กลับปล่อยให้นอนเจ็บปวดบนเตียงตั้งนานในห้องฉุกเฉิน จริงๆแล้ว อาการ มันไม่ควรรอแล้ว ต้องรีบเช็กอาการด่วน และให้แอดมิททันที เพื่อเช็กดูอาการอย่างละเอียด ให้อยู่ในความดูแลของหมอ แต่แล้วกลับฉีดยาแก้ปวดให้เฉยๆ แล้วให้ไปรับยา ให้กลับบ้าน ผมงงมาก ทั้งๆที่อาการหนักขนาดนี้ กลับปล่อยให้คนป่วยกลับ

พอกลับมาถึงบ้าน อาการก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่ดีขึ้นเลย ในวันเดียวกันที่กลับจาก รพ. เวลาเกือบๆบ่าย 2 ของวันพอตกเย็นอาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เลยพาไปอีก รพ. ที่นั่นดูแลดีมาก เมื่อมาถึง พยาบาลบอก อาการขนาดนี้ รพ.เขาปล่อยให้คนป่วยกลับได้ยังไง ทันทีนั้น ทาง รพ.ทำเรื่องส่งตัวไป รพ.เดิมทันที

ต่อมาเช้าวันที่ 23 สิงหาคม 2567 สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นมันไม่ทันแล้ว มันสายไปแล้ว ภรรยาผมอาการโคม่า จนมันสายไปเกินรักษาแล้ว เพราะความความสะเพร่าของบุคลากรของ รพ.จนทำให้ภรรยาเสียชีวิต และในขณะตอนรอรับศพ ทำไมพวกคุณต้องส่งตัวแทนของ รพ.มาไกล่เกลี่ยกับผมด้วย มันสายไปแล้ว
ควรพาไปตั้งแต่รอบแรก ทำไม ไม่เช็กอาการดีๆ พวกคุณรู้ไหม ภรรยาผมเขามีลูกๆอีกหลายคน ที่ต้องการแม่ พวกคุณใจดำอำมหิตเหลือเกิน ผมจะใช้ชีวิตยังไง คู่ชีวิตที่สู้ด้วยกันมาจากไปไม่มีวันกลับ ผมจะดำเนินการ กับโรงพยาบาลให้ถึงที่สุด สุดความสามารถที่จะทำได้ เป็นกำลังใจให้ผมด้วยครับ”

ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2567 ผู้สื่อข่าวได้พบกับนายอันวา ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นสามีของผู้เสียชีวิตที่บ้านซึ่งยังอยู่ในอาการเศร้าโศกของญาติและสมาชิกในครอบครัว

นายอันวา อายุ 37 ปี กล่าวว่า หลังเกิดเหตุทางโรงพยาบาลส่งตัวแทนมาคุย ขณะที่ตนเองไปรอรับศพภรรยา โดยบอกว่าให้นำศพแฟนกลับมาทำพิธีทางศาสนาก่อน ตนก็บอกกลับไปว่า ไม่คุย เพราะพวกคุณทำงานสะเพร่า ปล่อยให้แฟนผมกลับได้อย่างไร ตอนนั้น ก็พยายามที่จะเดินหนี แต่ทางตัวแทนที่มาคุย ก็พยายามเดินเข้าหาญาติ ๆ เพื่อที่จะคุย

แต่ตนติดใจเรื่องการทำงานที่ปล่อยให้ภรรยาตนซึ่งป่วยหนักกลับไปได้อย่างไร เขาตรวจละเอียดจริง ตามขั้นตอนของห้อง ER แต่ก็ต้องดูกับคนป่วยด้วย ซึ่งอาการมันย้อนแย้งกับผลตรวจ จะให้แอดมิท เพื่อรอดูอาการสัก 4-5 ชั่วโมงก็ยังดีกว่า แต่นี่ปล่อยกลับได้อย่างไร ซึ่งตอนนี้ก็รอดูว่าทางโรงพยาบาลจะออกแถลงการณ์มาว่าอย่างไร

ถ้าการแถลงออกมาย้อนแย้งกับผู้ป่วย ก็มองว่าไม่เป็นธรรม คนไข้อาการหนักขนาดที่ตอนพาไปก็ต้องอุ้มขึ้นรถ ตอนได้รับยาผมยังต้องอุ้มขึ้นรถ จะบอกว่าอาการดีขึ้นก็คงไม่ใช่ ทางโรงพยาบาลให้แอดมิทเช้า-เย็นกลับ อันนี้ยังดีอยู่ แต่นี้ไม่กี่ชั่วโมงเขาปล่อยกลับได้ยังไง

มาวันนี้มีลูกๆทั้ง 4 ที่คอยให้กำลังใจกับการจากไปของแม่เขา ซึ่งผมเองยังทำใจไม่ได้ คนโตอายุ14 (ม.2) คอยบอกพ่อต้องเข้มแข็ง ในขณะที่คนเล็กอายุ 3 ขวบ อยู่อนุบาล1 ก็รู้ตามภาษาของเด็ก ก็พยายามเดินหาจุดที่เคยเจอแม่ ว่าแม่อยู่ตรงไหนบ้าง ในบ้านตอนตื่นและก่อนนอน และถามว่ามี๊(แม่)อยู่ไหน จะนอนกับมี๊ ส่วนลูกชายคนเดียวของเรา ก็เดินมากอดผมแล้วก็ร้องไห้

ขณะเดียวกัน ทางโรงพยาบาลยะลา ออกแถลงการณ์ เรื่อง ชี้แจงการเข้ารับการรักษาของผู้ป่วย จากกรณีการโพสต์ข้อความบนสื่อโชเชียลมีเดีย และมีการแชร์อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ เกี่ยวกับกรณีการเสียชีวิตของผู้ป่วยรายหนึ่ง โดยมีการกล่าวอ้างถึงกระบวนการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐาน นั้นโรงพยาบาลยะลา ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นอย่างยิ่ง และขอชี้แจงกระบวนการเข้ารับการรักษาของผู้ป่วยรายนั้น ดังนี้

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 เวลาประมาณ 10.20 น. ญาติผู้ป่วยดังกล่าว ได้นำส่งผู้ป่วยเพื่อ เข้ารับการรักษา ณ ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ชั้น 1 อาคารอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลยะลา จากการชักประวัติและประเมินอาการเบื้องต้น ผู้ป่วยมีอาการไอ เจ็บหน้าอกเวลาไอ ปวดบริเวณสะโพกร้าวไปขาข้างขวา ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการหายใจเหนื่อยหอบ สามารถพูดคุยได้ปกติ และในขณะนั้นบริเวณจุดคัดกรองมีผู้ป่วยรอรับบริการเป็นจำนวนมาก

ต่อมาเวลาประมาณ 11.02 น. แพทย์มีการชักประวัติและตรวจร่างกายเพิ่มเติม ตรวจวัดสัญญาณชีพ และตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) พบว่า ผลการตรวจเป็นปกติ ต่อมาเวลาประมาณ 11.17 น. แพทย์มีการให้ยาแก้ปวดทางเส้นเลือด และให้ผู้ป่วยนอนพักเพื่อสังเกตอาการ ต่อมาเวลาประมาณ 11.40 น. แพทย์มีการตรวจภาพรังสีปอด (X-ray) พบว่า ผลการตรวจเป็นปกติ

และเวลาประมาณ 12.20 น. แพทย์ได้ชักถามอาการผู้ป่วยและตรวจวัดสัญญาณชีพอีกครั้ง พบว่า ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น สัญญาณชีพเป็นปกติ และอนุญาตให้ญาติพาผู้ป่วยไปพักฟื้นและสังเกตอาการที่บ้าน พร้อมให้คำแนะนำว่าว่าต้องสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรีบมาพบแพทย์ และการใช้ยาตามมาตรฐานการรักษา

วันที่ 23 สิงหาคม 2567 เวลาประมาณ 10.45 น. โรงพยาบาลยะลาได้รับการส่งตัวผู้ป่วยรายนี้จากโรงพยาบาลกรงปีนังด้วยอาการปอดอักเสบติดเชื้อ ระบบหายใจล้มเหลว หลังจากนั้นแพทย์ ได้ทำการประเมินอาการและส่งเข้ารับการรักษาพยาบาลในหอผู้ป่วยวิกฤติอายุรกรรมตามมาตรฐาน ทางการแพทย์อย่างเต็มความสามารถ

ในเวลาต่อมาร่างกายผู้ป่วยเริ่มไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยญาติ ไม่ประสงค์ให้ช่วยชีวิตด้วยการนวดหัวใจ และได้เสียชีวิตอย่างสงบ สรุปสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากผู้ป่วยมีภาวะปอดติดเชื้อ และปอดอักเสบเฉียบพลันรุนแรง และญาติได้นำศพผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีกรรม ทางศาสนา

วันที่ 27 ส.ค. 67 เวลา 10.30น.โรงพยาบาลยะลา จะมีการแถลงข่าวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ห้องสุขนิบง ชั้น 2


ข่าวสด
27 ส.ค. 67