ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อยาหลอนประสาทยุคโบราณ สอนบทเรียนให้การแพทย์ตะวันตกสมัยใหม่  (อ่าน 92 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 10109
    • ดูรายละเอียด
เมื่อ 16 ปีก่อน ในถ้ำแห่งหนึ่งของเทือกเขาแอนดีสทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโบลิเวีย ท่ามกลางเศษไม้และก้อนหินที่ปะปนกับมูลของตัวลามา นักมานุษยวิทยากลุ่มหนึ่งได้ค้นพบถุงหนังโบราณขนาดเล็ก ซึ่งเคยเป็นของหมอผีจากอารยธรรมติวานากู (Tiwanaku) จักรวรรดิโบราณที่เคยดำรงอยู่เมื่อกว่าพันปีที่แล้วในทางตอนใต้ของเทือกเขาแอนดีส ก่อนการมาถึงของนักล่าอาณานิคมชาวตะวันตก

ภายในถุงหนังดังกล่าวบรรจุยาโบราณหลายชนิด รวมทั้งบ้องสูบยาและช้อนแบนสำหรับบดเมล็ดสมุนไพรที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท นอกจากนี้ยังพบร่องรอยของสารเสพติดจำนวนมาก ตั้งแต่โคเคนไปจนถึงไซโลซิน (psilocin) หนึ่งในสารหลอนประสาทจากเห็ดเมา และองค์ประกอบพื้นฐานของชาอายาวัสกา (ayahuasca)

บรรดาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ถุงหนังของหมอผียุคโบราณนี้คือหน้าต่างบานพิเศษ ที่จะเปิดช่องให้เราได้มองเห็นและสามารถทำความเข้าใจ ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรมโบราณและการใช้ยาหลอนประสาทที่ทรงพลังชนิดต่าง ๆ โดยประเด็นนี้กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากนักวิจัยทางการแพทย์สมัยใหม่จำนวนไม่น้อย

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สารหลอนประสาทหรือไซคีเดลิก (psychedelic) อย่างเช่น เมทแอมเฟตามีน (MDMA) แอลเอสดี (LSD) ไซโลไซบิน (psilocybin) และเคตามีน (Ketamine) กำลังได้รับความสนใจจากวงการแพทย์ในโลกตะวันตก เนื่องจากมีศักยภาพในการเป็นยากลุ่มใหม่ ที่จะมาช่วยแก้วิกฤติสุขภาพจิตที่นับวันจะรุนแรงขึ้น โดยอาจใช้บำบัดรักษาอาการทางจิตเวช เช่น โรควิตกกังวล, โรคซึมเศร้า, การเสพติดยาและสารอันตรายต่าง ๆ รวมทั้งอาจช่วยเปลี่ยนโลกทัศน์ของผู้ป่วย “โรคสิ้นหวัง” เช่น ผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย, ติดสุรา, และใช้ยาเกินขนาดด้วย โดยอาจใช้สารหลอนประสาทเหล่านี้ควบคู่ไปกับการทำจิตบำบัด ผ่านการพูดคุยให้คำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ

บทบาทหน้าที่ของสารหลอนประสาทในอารยธรรมโบราณนั้น มีมากกว่าการเป็นเพียงยารักษาโรค โดยดร. ยูเรีย เซลิดเวน ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์ (UC Berkeley) ของสหรัฐฯ บอกว่า “สารหลอนประสาท” เป็นคำเรียกขานที่วัฒนธรรมตะวันตกสมัยใหม่สร้างขึ้น แต่ชุมชนชาวพื้นเมืองในซีกโลกใต้ต่างรู้จักมันในชื่อ “ยาจิตวิญญาณ” (spirit medicine) โดยมีการใช้ยานี้ในกิจกรรมที่หลากหลาย และผสานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมานานหลายศตวรรษแล้ว
“ชาวตะวันตกในทุกวันนี้เชื่อว่า สารหลอนประสาทมีเอาไว้ใช้รักษาความปั่นป่วนวุ่นวายใจซึ่งกระทบต่อสุขภาพจิตเท่านั้น แต่บรรดาชนพื้นเมืองกลับใช้สารนี้จัดการเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ที่นอกเหนือไปจากการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ด้วย เช่นหากของมีค่าเกิดสูญหาย พวกเขาจะไปหาหมอผีที่ใช้ยานี้” ดร. เซลิดเวน ซึ่งเป็นสมาชิกของชนเผ่านาวัว (Nahua) ผู้สืบทอดเชื้อสายของชาวมายา (Maya) และนักวิจัยผู้มุ่งมั่นฟื้นฟูถ่ายทอดภูมิปัญญาของชนเผ่าโบราณกล่าว

ต้นกระบองเพชรเพโยเต ถูกใช้เป็นยาในบางวัฒนธรรมมาหลายชั่วอายุคน

เอกสารทางประวัติศาสตร์หลายชิ้นระบุถึงการใช้สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทรักษาโรค แต่นี่เป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของการใช้ประโยชน์จาก “ยาจิตวิญญาณ” ซึ่งกว้างขวางและหลากหลายกว่านั้นมาก โดยยาดังกล่าวมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ในชุมชน, การประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์, การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง (palliative care), การแสวงหาประสบการณ์ทางจิต, รวมทั้งช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และสร้างความบันเทิงเริงรมย์อีกด้วย

บันทึกประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดระบุว่า ชาวกรีกและโรมันโบราณเคยประกอบพิธีกรรมตามฤดูกาล โดยดื่มยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทชื่อว่า “คิกคีออน” (kykeon) ซึ่งมีสารหลอนประสาทคล้ายแอลเอสดีผสมอยู่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบางคนเชื่อว่าประวัติการใช้สารหลอนประสาทของมนุษยชาตินั้น เก่าแก่และมีมานานก่อนยุคกรีกโบราณมาก

โอไซริส ซินูเฮ กอนซาเลซ โรเมโร นักวิจัยผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของภูมิปัญญาชนพื้นเมือง จากมหาวิทยาลัย University of Saskatchewan ที่ประเทศแคนาดา บอกว่านักโบราณคดีในปัจจุบันเชื่อว่า มีการใช้เห็ดเมา Amanita muscaria ในทวีปอเมริกาเป็นครั้งแรก หลังจากมนุษย์กลุ่มหนึ่งอพยพข้ามช่องแคบแบริง (Bering Strait) ที่เชื่อมต่อดินแดนรัสเซียทางตะวันออกเข้ากับอะแลสกา ในช่วงยุคน้ำแข็งเมื่อราว 16,500 ปีก่อน ซึ่งทุกวันนี้เห็ดเมาชนิดดังกล่าวยังคงถูกใช้เป็นยาในหมู่ชนพื้นเมืองชาวโอจิบวา (Ojibwa) ซึ่งอาศัยอยู่แถบ Great Lakes หรือทะเลสาบทั้งห้าตรงแนวพรมแดนระหว่างสหรัฐฯ และแคนาดา

กอนซาเลซ โรเมโร อธิบายเพิ่มเติมว่า “เรารู้ว่ามีธรรมเนียมโบราณในอเมริกากลาง ที่นับถือเห็ดศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเป็นส่วนประกอบ โดยพบหลักฐานจากการวิเคราะห์ละอองเกสรดอกไม้, การเขียนภาพสัญลักษณ์, ประติมากรรมเซรามิกที่ปั้นรูปคนตัวเล็กกำลังถือเห็ดศักดิ์สิทธิ์, และหินที่แกะสลักเป็นรูปเห็ดจากอารยธรรมมายา นอกจากนี้ยังคาดว่า การใช้ต้นกระบองเพชร San Pedro และ Peyote ที่มีสารเมสซาลีน (mescaline) เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 8,400 ปีก่อนคริสตกาลในเปรู และเมื่อ 14,000 ปีก่อนคริสตกาลในเม็กซิโก”

ส่วนหลักฐานในแบบเอกสารที่เป็นการจดบันทึกเชิงประวัติศาสตร์นั้น กอนซาเลซ โรเมโร ระบุว่าตำรา Codex Vindobonensis Mexicanus 1 คือเอกสารเก่าแก่ที่สุดที่เอ่ยถึงการประกอบพิธีกรรมด้วยเห็ดศักดิ์สิทธิ์ โดยเป็นหนังสือภาพจากอารยธรรมมิกซ์เทก (Mixtec) แห่งอเมริกากลาง ซึ่งคาดว่าเขียนขึ้นในช่วงค.ศ. 1110 - 1521

มาร์เตน แจนเซน และ กาบินา ออโรรา เปเรซ เจมิเนซ นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญอารยธรรมแถบอเมริกากลาง บอกว่าภาพหนึ่งในหนังสือภาพดังกล่าว แสดงให้เห็นเทพแห่งสายลมแบกเหล่ากิ้งก่าที่ถือเห็ดไว้บนหลัง ส่วนมนุษย์ที่เข้าร่วมพิธีกรรมในภาพ ต่างก็ถือเห็ดเอาไว้ในมือด้วยเช่นกัน

ความรู้เกี่ยวกับการใช้เห็ดเมาประกอบพิธีกรรมของชนพื้นเมืองดังกล่าว ถูกเผยแพร่ออกไปผ่านงานเขียนของนักบวชคาทอลิกคณะฟรานซิสกัน เบร์นาร์ดิโน เด ซาห์กูน ผู้ใช้เวลาหลายสิบปีศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชาวแอซเท็ก (Aztec) ในยุคที่สเปนเข้ายึดครองเม็กซิโกเป็นอาณานิคมแล้ว

ประติมากรรมหินบะซอลต์จากอารยธรรมมายาที่สลักเป็นรูปเห็ดและงูในตำนาน

ศ. อัลเบิร์ต การ์เซีย-โรเมอู ผู้เชี่ยวชาญด้านสารหลอนประสาทและจิตสำนึกตระหนักรู้ จากคณะแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ของสหรัฐฯ บอกว่าบันทึกของเด ซาห์กูน ระบุถึงพิธีกรรมของชาวแอซเท็กในช่วงทศวรรษ 1520 ซึ่งมีการใช้เห็ดเมาที่มีสารไซโลไซบินด้วย โดยเขามองว่าพิธีกรรมดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับการบำบัดจิตเป็นกลุ่มในยุคปัจจุบัน

“ชาวแอซเท็กจะใช้เห็ดเมาในพิธีกรรมที่มีการร้องเพลง เต้นรำ และร่ำไห้ หลังจากนั้นในเช้าวันต่อมา พวกเขาจะเล่าสู่กันฟังถึงภาพนิมิตที่ตนเองได้เห็นในพิธี” ศ. การ์เซีย-โรเมอู กล่าว

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ดร. เซลิดเวนกล่าวเตือนว่า คนสมัยใหม่จะเข้าใจเหตุผลที่มาของการประกอบพิธีกรรมดังกล่าวได้อย่างถ่องแท้ ก็ต่อเมื่อได้ศึกษาถึงระบบความเชื่อของคนโบราณที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งพวกเขาใช้ระบบความเชื่อนี้ตีความสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และมีปฏิสัมพันธ์กับโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่

แม้การแพทย์สมัยใหม่ของชาติตะวันตกจะเล็งเห็นประโยชน์ของการใช้สารหลอนประสาท เพื่อเปลี่ยนโลกทัศน์และวิธีคิดของผู้ป่วยจิตเวชควบคู่ไปกับการทำจิตบำบัดตามปกติ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถเยียวยาบาดแผลทางใจ และปรับเปลี่ยนรูปแบบการคิดวิเคราะห์ตรวจสอบตนเองได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า แต่เรื่องนี้ ดร. เซลิดเวนกลับมองว่า มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างการใช้สารหลอนประสาทเพื่อบำบัดผู้ป่วยจิตเวชในโลกตะวันตก กับการประกอบพิธีกรรมของชนพื้นเมืองในอเมริกากลางและซีกโลกใต้

ในขณะที่การแพทย์ยุคใหม่ของโลกตะวันตก มุ่งเน้นการบำบัดรักษาเป็นรายบุคคล แต่พิธีกรรมที่ใช้เห็ดเมาของชนพื้นเมือง กลับมีรากฐานอยู่ที่การมีปฏิสัมพันธ์กับโลกวิญญาณและธรรมชาติรอบตัว “ธรรมเนียมโบราณเหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ โดยเชื่อว่าเรามีปฏิสัมพันธ์กับจิตสำนึกในธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเราเสมอ ซึ่งจิตสำนึกดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีชีวิตและมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ เมื่อเราใช้ยาจิตวิญญาณ นั่นเท่ากับเราสื่อสารและฟื้นฟูภาวะสมดุลกับโลกดังกล่าว ดังนั้นบริบทของการใช้สารหลอนประสาทจึงไม่ได้อยู่ที่สุขภาพส่วนบุคคล แต่เป็นสุขภาวะของทุกสิ่งโดยรอบรวมทั้งตัวเราอย่างเป็นองค์รวม”

ศ. การ์เซีย-โรเมอู แสดงความเห็นด้วยกับมุมมองของดร. เซลิดเวน โดยบอกว่าชนพื้นเมืองหลายกลุมในโคลอมเบีย บราซิล และเม็กซิโก ใช้สารหลอนประสาทเพื่อสื่อสารกับบรรพบุรุษ หรือเพื่อเข้าถึงภพภูมิอื่น ๆ นอกเหนือจากโลกมนุษย์ รวมทั้งเพื่อสืบเสาะแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับโลกของธรรมชาติที่อยู่รอบตัว

การศึกษาวิจัยเอกสารว่าด้วยการแพทย์ของชาวแอซเท็ก ทำให้กอนซาเลซ โรเมโร ค้นพบว่าการบรรเลงดนตรีโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตีกลอง มีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมที่ใช้สารหลอนประสาทมายาวนาน เนื่องจากเสียงกลองเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการเต้นของหัวใจ และช่วยให้ผู้คนเข้าถึง “ภวังค์” (trance) ที่กระตุ้นการแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเรามักเรียกผู้ประกอบพิธีกรรมนี้ว่า “หมอผี” (shaman) ซึ่งเป็นคำเรียกขานที่มาจากมุมมองของเจ้าอาณานิคม ในขณะที่ชนพื้นเมืองหลายกลุ่มเรียกผู้ประกอบพิธีกรรมดังกล่าวว่า “ผู้ขับขานบทเพลง”

กอนซาเลซ โรเมโร กล่าวเสริมว่า “สารอัลคาลอยด์บางอย่างที่พบในสารหลอนประสาทซึ่งนิยมใช้กันมายาวนาน เช่นเห็ดเมาที่มีสารไซโลไซบิน หรือสารจำพวกแอลเอสเอ (LSA) ที่คล้ายกับแอลเอสดีในต้น Rivea corymbosa มีความสามารถในการสร้างเสียงหลอนประสาทหู ทำให้หูแว่วหรือเกิดการได้ยินที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงได้ นั่นหมายความว่าคุณสามารถแต่งเพลง หรือได้ยินเสียงเพลงแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีใครในโลกได้ยินได้ฟังมาก่อน แม้จะไม่ได้ผ่านการฝึกฝนทักษะทางดนตรีมาเลยก็ตาม ด้วยเหตุนี้ชาวแอซเท็กจึงถือว่า เห็ดเมามีความเกี่ยวข้องกับเทพโซชิพิลลี (Xochipilli) เทพเจ้าแห่งบทเพลง ดนตรี ความบันเทิงเริงใจ และความอุดมสมบูรณ์”

แม้แต่แนวคิดเกี่ยวกับการใช้สารหลอนประสาทบำบัดรักษาโรคของชนพื้นเมือง ก็ยังแตกต่างจากแนวคิดของการแพทย์แผนปัจจุบันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ โดยกอนซาเลซ โรเมโร บอกว่าพิธีกรรมบำบัดอาจมีการอดอาหาร หรืองดเว้นความสัมพันธ์ทางเพศบางอย่างด้วย เพื่อชำระร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ ซึ่งข้อห้ามนี้แล้วแต่ผู้ประกอบพิธีกรรมจะกำหนดให้ผู้เข้าร่วมแต่ละกลุ่ม โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมในแต่ละคราว บางครั้งอาจไม่มีการบรรเลงดนตรีเลย แต่เกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบยามค่ำคืน โดยขังสัตว์เลี้ยงอย่างไก่และสุนัขไว้ที่อื่นเพื่อไม่ให้มีเสียงรบกวน

แต่ไม่ว่าจะเป็นการทำพิธีกรรมเพื่อรักษาโรคหรืออาการใด ๆ ตั้งแต่การบรรเทาความเจ็บปวดไปจนถึงการลดไข้สูง จุดเน้นก็ยังคงอยู่ที่การฟื้นฟูภาวะสมดุลให้กลับคืนสู่ชุมชนอย่างเป็นองค์รวม ไม่ใช่การรักษาคนไข้เป็นรายบุคคล “ชาววิซาริกา (Wixarika) ต่างเล่าขานถึงตำนานการใช้กระบองเพชรเพโยเต (Peyote) รักษาโรคโลหิตจางให้ผู้คนทั้งชุมชน หลังเกิดการระบาดของไข้มาลาเรียครั้งใหญ่ ที่ทำให้จำนวนประชากรลดลงและคนที่เหลือรอดมีสุขภาพอ่อนแอ เมื่อราว 500 ปีก่อน” อาวัว ซามูเอล ผู้นำการประกอบพิธีกรรมบำบัดโรคจากชนเผ่าชิซิเมซาของเม็กซิโก และผู้บริหารโครงการใช้พืชเป็นยา “รากไม้ของเทพเจ้า” (Root of the Gods ) กล่าว

พิธีกรรมชำระกายใจให้บริสุทธิ์แบบดั้งเดิม ยังคงมีอยู่ในยุคปัจจุบัน

กอนซาเลซ โรเมโร อธิบายว่า เรื่องนี้เป็นเพราะการเกิดโรคระบาดในชุมชน หมายถึงว่ามีการกระทำล่วงละเมิดเทพเจ้าเกิดขึ้นในสังคมนั้นแล้ว ซึ่งทำให้เทพเจ้าลงโทษมนุษย์ด้วยโรคร้ายที่แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว “การประกอบพิธีกรรมด้วยสารหลอนประสาท คือหนทางที่จะฟื้นฟูกอบกู้จิตวิญญาณกลับคืนมา ในแง่นี้สมุฏฐานวิทยา (aetiology) หรือแนวคิดว่าด้วยมูลเหตุของโรค แตกต่างจากการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างมาก เพราะความเจ็บป่วยบางอย่างนั้นเกิดจากการเสียสมดุลระหว่างคนกับธรรมชาติ เช่นนายพรานออกล่าสังหารสัตว์มากเกินความจำเป็น หรือความโลภในการใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างไม่บันยะบันยัง”

แม้ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยาหลอนประสาทในโลกตะวันตกก้าวหน้าไปอย่างมาก จนคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027 แต่ดร. เซลิดเวน และคณะนักวิจัยที่มีเชื้อสายชนพื้นเมือง แสดงความกังวลผ่านบทความที่พวกเขาเขียนขึ้นว่า ความคิดเห็นและรากฐานทางวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองดั้งเดิมในการใช้ยาชนิดนี้ ไม่ถูกนำไปพิจารณาให้เป็นส่วนหนึ่งของการประยุกต์ใช้สารหลอนประสาทในวงการแพทย์แผนตะวันตก จึงอาจทำให้เกิดปัญหาการฉกฉวยทางวัฒนธรรม (cultural appropriation) ที่หยิบฉวยหรือลอกเลียนแต่เพียงบางส่วนของวัฒนธรรมอื่นมาใช้โดยไม่คำนึงถึงบริบทขึ้นได้

ตัวอย่างเช่นการดำเนินงานของ “อาศรม” หรือสถานบำบัดด้วยสารหลอนประสาทในโลกตะวันตก ที่ใช้แนวทางแบบเดียวกับพิธีกรรมของชนพื้นเมือง อาจคิดค่าบริการถึงหลายพันดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน ในขณะที่ผู้ประกอบพิธีกรรมชาวพื้นเมืองโดยทั่วไป ได้ค่าตอบแทนเพียง 2 - 150 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญบางรายยังตั้งคำถามว่า การบำบัดโรคจิตเวชด้วยสารหลอนประสาทแบบชนพื้นเมืองนั้น จะใช้ได้ผลเต็มประสิทธิภาพและไม่มีข้อเสียตามมาจริงหรือไม่ โดยจูลส์ อีแวนส์ นักวิจัยสารหลอนประสาทจากมหาวิทยาลัยควีนแมรีแห่งกรุงลอนดอน ชี้ว่าประสบการณ์ทางจิตที่เลวร้ายอาจเกิดขึ้นระหว่างการบำบัดรักษาได้ เพราะกระบวนการทั้งหมดนั้นแปลกแยกแตกต่างจากวัฒนธรรมฆราวาสนิยม (secular culture) ของชาวตะวันตกยุคใหม่ ที่ไม่ยึดถือหลักเกณฑ์ทางศาสนาหรือจิตวิญญาณเป็นหลักในการดำรงชีวิตอย่างมาก

“ในขณะที่ชนเผ่าพื้นเมืองแห่งทวีปอเมริกา ใช้พืชที่มีสารหลอนประสาทมานานหลายศตวรรษ ทำให้พวกเขามีความรู้และแผนที่ชี้ทางเกี่ยวกับสภาวะจิตที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งมีความรู้ลึกซึ้งเป็นอย่างดี เกี่ยวกับการผันแปรของจิตสำนึกในขั้นต่าง ๆ แต่คนในสังคมฆราวาสนิยมยุคใหม่ กลับไม่รู้อะไรในเรื่องทางจิตวิญญาณเหล่านี้เลย ทำให้บางคนช็อกและสับสนงุนงงกับสิ่งที่ได้พบเห็น โดยไม่สามารถตีความประสบการณ์นั้นให้เข้ากับโลกทัศน์แบบวัตถุนิยมของตนเองได้ ความสับสนในแง่ของอัตถิภาวะหรือการดำรงอยู่ของตัวตนนี้ อาจคงอยู่นานหลายเดือนหรือหลายปี และคนที่ออกมาจากพิธีกรรมดังกล่าวอาจไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป” อีแวนส์กล่าวอธิบาย

ดร. เซลิดเวน กล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า ความผิดพลาดใหญ่หลวงและข้อจำกัดหนึ่งของการแพทย์แผนตะวันตก คือการมองสารหลอนประสาทว่าเป็นแค่ยาชนิดหนึ่ง หรือเป็นเพียงสารเคมีที่มีคุณสมบัติในการรักษาโรค ซึ่งพวกเขาสามารถนำไปจดสิทธิบัตรสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ ทั้งที่จริงแล้วพลังในการบำบัดรักษาของสารหลอนประสาท อยู่ที่การสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลกับชุมชน และการสร้างประสบการณ์ทางจิตแบบรวมหมู่ “มันไม่ใช่โมเลกุลของสารในตัวยาที่รักษาโรคจิตเวชให้หาย แต่เป็นการสร้างโครงข่ายของสายสัมพันธ์ที่ใหญ่กว่านั้นมาก”

“ในโลกตะวันตก เรามักจะเห็นว่าสุขภาวะของบุคคลดีขึ้นหลังได้รับยา แต่นั่นไม่ใช่การบำบัดรักษาที่ยั่งยืน เพราะปราศจากบริบทของชุมชนในการสัมผัสประสบการณ์จากยาที่หลอนจิตประสาท ด้วยเหตุนี้การใช้สารหลอนประสาทเพื่อบำบัดจิตแบบตะวันตก จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้คนผู้นั้นเสพติดยาชนิดใหม่ได้ เพราะพวกเขาจะกลับมาใช้สารหลอนประสาทอีกครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อเสพประสบการณ์ทางจิตน่าพิศวงที่แปลกประหลาดและตีความไม่ออกเลย”

เรื่องราวโดย เดวิด ค็อกซ์ - บีบีซีฟิวเจอร์
BC News ไทย
13 กย 2567