ผู้เขียน หัวข้อ: เภสัชท้อ พ่อเส้นเลือดแตก รักษาไม่ทันจนอัมพาตครึ่งซีก สืบแล้วคดีพลิก  (อ่าน 58 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
 เภสัชกรสุดท้อ พ่อเส้นเลือดในสมองแตก ควรได้รับยาสลายลิ่มเลือด ตอนนั้นตัดสินใจผิดเอาพ่อเข้าโรงพยาบาลรัฐ กลายเป็นพ่อได้อยู่เฉย ๆ จนอาการแย่ ก่อนมาสืบอีกทีคดีพลิกหนักมาก

          วันที่ 23 มกราคม 2567 บนโลกออนไลน์กำลังมีดราม่าชิ้นใหญ่ หลังจากที่ X @AerthH ได้ออกมาเล่าเรื่องของเภสัชกรคนหนึ่ง ที่มีคุณพ่อเป็นโรคเส้นเลือดในสมองเฉียบพลัน และต้องเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ปรากฏว่าในวันนั้นหมอไม่เข้าเวร และทำให้คุณพ่อของเธอกลายเป็นอัมพาตครึ่งซีก

เภสัชกร เผยประสบการณ์คุณพ่อเป็นโรคเส้นเลือดในสมอง พาเข้ารักษาโรงพยาบาลรัฐ แต่กลับเอาไปดูอาการ จนสุดท้ายพ่อเป็นอัมพาตครึ่งซีก

          ทั้งนี้ ได้มีเภสัชกรคนหนึ่ง ออกมาเผยว่า เธอเป็นเภสัชกรทำงานอยู่ที่ กทม. ครอบครัวอยู่ที่ร้อยเอ็ด วันหนึ่งคุณพ่อของเธอมีอาการสโตรก หรือเป็นโรคหลอดเลือดสมอง คุณพ่อลิ้นแข็งและพูดไม่ได้ประมาณ 15-30 นาที ตอนนั้นเธอก็บอกให้คุณพ่อรีบไปโรงพยาบาล หากไปถึงใน 270 นาทีและเข้ารับการรักษา อาการจะไม่เป็นหนัก ส่วนเธอก็พยายามหาตั๋วเครื่องบินเพื่อไปหาคุณพ่อทันที แต่หาไม่ได้ เธอจึงตัดสินใจให้คนขับรถขับรถจาก กทม. ไปที่ร้อยเอ็ด ใช้เวลาทั้งหมด 6 ชม. ก็ถึงบ้าน

          ทั้งนี้ สิ่งที่เธอต้องการคือ ให้พ่อขับรถไปที่ รพ. ร้อยเอ็ด เนื่องจากคิดว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่น่าจะมียาละลายลิ่มเลือด (rt-PA) และเธอก็พร้อมที่จะจ่ายเงิน แต่กลายเป็นว่านี่คือการตัดสินใจที่ผิด เพราะมันไม่ได้สำคัญที่ยา แต่สำคัญที่ว่าหมอจะมาตรวจหรือไม่ เนื่องจากเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลไม่มีสตาฟฟ์ และเอาคุณพ่อใส่ Stroke Unit ด้านพยาบาลก็ให้คุณพ่อรอข้ามวันข้ามคืน

          จากนั้น เธอจึงเรียกพี่น้องอีกคนมาจากอุบลฯ ตอนเที่ยงคืน และเมื่อซักถามอาการจึงทำให้ทราบว่า NIHSS หรือคะแนนโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน = 2 ซึ่งหมายความว่า ตอนนี้คุณพ่อไม่รู้สึกตัว ต้องกระตุ้นซ้ำหรือทำให้เจ็บ และพบว่าในวันนั้น อายุรแพทย์ระบบประสาทไม่ได้เข้ามาโรงพยาบาล จนนำไปสู่การประเมินคนไข้ผิดพลาด และคิดว่าคนไข้มีภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ แต่กว่าจะเข้า CT Scan เสร็จ ให้ยาก ก็เกินไกด์ไลน์ 270 นาที และทำให้คุณพ่อกลายเป็นอัมพาตครึ่งซีกด้านขวา

          ในตอนนั้น เธอไปเฝ้าพ่อได้เยี่ยมครั้งละ 10 นาที วันละ 2 ครั้ง นอกนั้นนั่งรอข้างนอกตลอด 5 วัน พยาบาลตะเพิดตนลงจากตึกทุกวัน ตนใส่นาฬิกาเรือนละล้าน เสื้อตัวละหมื่น และทุกคนได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกันจริง ๆ และจากวันนั้น เธอก็ไม่เคยอยากกลับจังหวัดร้อยเอ็ดอีกเลย

          เธอเผยว่าจวบจนวันนี้ผ่านมา 2 ปี เธอโทษตัวเองมาตลอด ในตอนนั้นเธอมีเงินในบัญชี 8 หลัก แต่เธอกลับไม่ตัดสินใจส่งพ่อด้วยเครื่องบินเข้าโรงพยาบาลใน กทม. และพบว่า อายุรแพทย์ระบบประสาทท่านนั้นมีเพียงคนเดียวในโรงพยาบาล และมีปัญหาสมรส จนไม่สามารถมาปฏิบัติงานได้ ท่านทราบหรือไม่ว่าการที่ท่านไม่มาดูคนไข้ 1 คน และพยาบาลที่ Stroke Unit ไม่สนใจคนไข้ จนทำให้ครอบครัวหนึ่งมีแต่ความเศร้า

          หากย้อนเวลาได้ เธออยากกลับไปตัดสินใจใหม่ ให้พ่อขับรถเข้าไปรักษาโรงพยาบาลเอกชนในขอนแก่น จะหมดกี่สิบล้านก็ยอม และขอฝากถึงผู้บริหารโรงพยาบาลด้วย ที่เธอไม่ดำเนินคดีทางกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีศักยภาพ แต่เพราะเธอเคารพในการตัดสินใจของพ่อ ถ้าโรงพยาบาลรักษาพ่อดี เธอพร้อมที่จะบริจาคเงินให้ Stroke Unit เท่ากับอัตราค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลของประเทศไทย คุณพ่อมักพูดเสมอว่า ท่านเป็นข้าราชการ โรงพยาบาลรัฐจะดูแลท่านอย่างดี

          ด้านคุณพ่อปกติอยู่ที่ กทม. แต่ช่วงปีใหม่ขอกลับไปรดน้ำต้นไม้ที่ร้อยเอ็ด และนับตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์ คุณพ่อก็ไม่ได้กลับ กทม. อีกเลย

เผยแชตอีกด้าน คนไข้ข่มขู่หมอ บอกจะเอาปืนมายิงพ่อหมอ - กราดยิง รพ. ลูกรู้ดีแต่ไม่ห้ามพ่อ

          อย่างไรก็ตาม ต่อมาใน X @LittleBirbMame ได้ปรากฏแชตของหมอที่พูดว่า อาจารย์ด้านอายุรแพทย์ระบบประสาทท่านนั้น ได้ทำระบบของเรื่องคนไข้สโตรกให้ทั้งจังหวัด และจากที่ฟังดู ก็ต้องยอมรับว่าถ้าคนไข้อยู่ กทม. น่าจะได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แต่ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ เราเป็นหมอก็เสียใจเพราะสุดวิสัยเช่นกัน

          ทั้งนี้ พบว่า โรงพยาบาลร้อยเอ็ดมีอายุรแพทย์ระบบประสาทเพียงท่านเดียว และไม่ได้เข้าเวรวันนั้น และภายหลังพบว่า คุณพ่อของคนไข้ได้เดินไปหาหมอที่คลินิก เอาปืนไปขู่ และมาโรงพยาบาลก็มาขู่ถึงห้องตรวจ ลูกสาว (เภสัชกรคนต้นเรื่อง) แม้จะรับรู้แต่ก็ไม่ทำอะไร

          ด้านคนไข้ได้มาข่มขู่ว่า จะจ้างมือปืนมายิงหมอ จะขับรถชนหมอ แล้วจะมากราดยิงที่โรงพยาบาลรวมถึง ผอ. ด้วย ตอนนั้น ผอ. เลยไปคุยกับคนไข้ และคนไข้บอกว่าต้องให้หมอไปขอโทษที่บ้าน เลยตัดสินใจไปให้จบ ๆ ทั้งที่คิดว่า จริง ๆ หมอก็ไม่ได้อยู่เวรวันนั้น แต่ถ้าจะลดความรุนแรงให้ได้ ขอโทษให้ได้ ถ้าสุดท้ายเขาไม่พอใจ เรื่องก็ไม่จบ

          ล่าสุดคนไข้มาตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอก และต้องการเรียกเงินจากหมอ 2 ล้านบาท และต้องเป็นเงินจากหมอท่านนี้เท่านั้น เวลาที่มาตรวจ ก็ขอให้เป็นหมอท่านนี้มาตรวจเท่านั้น ล่าสุดคือ ถ้าหมอไม่ให้ (เงินชดเชย) จะให้ลูกน้องไปคุยกับพ่อหมอที่ กทม. และเคยมีการข่มขู่ว่าจะให้คนไปยิงพ่อหมอ

          การที่โรงพยาบาลเฉย ยอมถูกกระทำ ทั้งที่การรักษาเป็นไปตามมาตรฐาน ตั้งแต่ที่พบว่า คนไข้ขับรถมาเองได้ แล้วมาแย่เพราะเป็น Progressive Stroke ในอีกวัน ซึ่งไม่มีข้อบ่งชี้ให้ใช้ยาละลายลิ่มเลือด แบบนี้ก็น่าน้อยใจ ที่ให้หมอที่เป็นด่านหน้าต้องเผชิญกับเหตุการณ์นี้

พบความจริง คุณหมอเองทำตามไกด์ไลน์ - ใครจะไปดูออก ใส่นาฬิกาเรือนละล้าน

          อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบพบว่า ทางคนไข้นั้นสามารถมาที่โรงพยาบาลเองได้ และต่อให้ คะแนนโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน = 2 ก็ไม่น่าให้ยาละลายลิ่มเลือด และในความเป็นจริง ยาละลายลิ่มเลือด  เป็นยาฟรี แต่กลัวว่าจะมีผลข้างเคียงกับคนไข้ และการที่เธอบอกว่าใส่นาฬิกาเดือนละล้าน เสื้อตัวละหมื่นนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอใส่นาฬิกากี่บาท เธอเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ยิ่งต้องเข้าใจระบบการทำงานของโรงพยาบาลรัฐ แบบนี้จะไปโทษหมอได้เหรอ


https://hilight.kapook.com/view/238765?fbclid=IwAR1LIPM9JrfDxANu6SPY_8h4iEmjAJXQ3AKFU3fdm1FkFqMr1i8_BXPtxS0