ผู้เขียน หัวข้อ: แม่เศร้า โรงพยาบาลเอกชนดังชุ่ย ดูชื่อผิดคน ทำลูกน้อยในครรภ์ตาย  (อ่าน 26 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
แม่สุดเศร้า สูญเสียลูกในครรภ์ หลังโรงพยาบาลเอกชนดังชุ่ย แจ้งผลตรวจผิดคน ร้อง มูลนิธิปวีณา ขอความเป็นธรรม จ่อประสาน ผู้ว่าฯชัชชาติ

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 24 ต.ค.2566 ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี คลองเจ็ด ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี น.ส.มล (นามสมมติ) อายุ 32 ปี เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ขอความเป็นธรรมกรณี น.ส.มล ตั้งครรภ์และไปฝากท้องที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ส่งเอกสารผลการตรวจเลือดของคนไข้ให้แพทย์สลับคน แพทย์จึงเจาะน้ำคร่ำตรวจวินิจฉัยดาวน์ซินโดรมทารกในครรภ์แม่ผิดคน

หลังจากเอกสารผลเลือดที่มีความเสี่ยงเป็นชื่อผู้หญิงอีกคน น.ส.มล สุดโชคร้ายซ้ำสองหลังจากเจาะน้ำคร่ำเกิดภาวะถุงน้ำคร่ำรั่วต่อมาเด็กเสียชีวิต ต้องยุติการตั้งครรภ์ ทั้ง ๆ ที่ผลตรวจเลือด น.ส.มล เป็นปกติ โรงพยาบาลทำงานผิดพลาด เป็นเหตุให้ต้องเสียลูก ครอบครัวต้องการให้โรงพยาบาลรับผิดชอบ ขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ตรวจสอบอย่าให้เกิดขึ้นกับครอบครัวใครอีก

น.ส.มล กล่าวว่า ตนเป็นพนักงานบัญชีอยู่บริษัทแห่งหนึ่ง ขณะที่สามีก็เป็นพนักงานด้านไอทีบริษัทเดียวกัน แต่งงานอยู่กินกันมาหลายปีมีลูกสาวคนโตวัย 1 ขวบ 5 เดือน ตนกับสามีตั้งใจจะมีลูกน้อยกัน 2 คน เป็นครอบครัวที่อบอุ่น กระทั่งช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ตนก็ได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 สมใจ และวันที่ 16 ส.ค. ได้ไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งย่านพุทธมณฑล พบว่าลูกในครรภ์มีอายุประมาณ 10 สัปดาห์

น.ส.มล กล่าวต่อว่า จากนั้นวันที่ 21 ก.ย. แพทย์นัดไปพบเพื่อเจาะเลือด วันที่ 28 ก.ย. ทราบผลเลือดว่าเด็กในครรภ์มีความเสี่ยงที่จะเป็นดาวน์ซินโดรม แพทย์จึงได้นัดวันที่ 3 ต.ค. เพื่อเจาะน้ำคร่ำตรวจโครโมโซมวินิจฉัยดาวน์ซินโดรมทารกในครรภ์ ตอนนั้นตนก็สงสัยว่าตนอายุเพียง 32 ปี และท้องคลอดลูกคนแรกก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร อีกทั้งเกรงว่าการเจาะน้ำคร่ำอาจจะมีความเสี่ยงต่อลูกในครรภ์

น.ส.มล กล่าวอีกว่า วันที่ 29 ก.ย. จึงได้เลือกที่จะไปตรวจ NIPS (Non Invasive Prenatal Screening) ซึ่งเป็นวิธีการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมของลูกในครรภ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อแม่และลูก โดยแพทย์จะเจาะเลือดของแม่ไปตรวจในห้องแลป และพ่อแม่ยอมเสียค่าใช้จ่ายเอง โดยจะทราบผลในวันที่ 6 ต.ค.

น.ส.มล กล่าวด้วยว่า ระหว่างที่รอผลตรวจ NIPS วันที่ 3 ต.ค. ตนก็ได้ไปที่โรงพยาบาลตามที่เจ้าหน้าที่แจ้งให้มาพบแพทย์เจาะน้ำคร่ำ เจ้าหน้าที่ก็ได้ให้บัตรคิวแนบกับสมุดบันทึกแม่และเด็กรอพบแพทย์ เมื่อถึงคิวเจ้าหน้าที่ก็เรียกตามหมายเลขบัตรคิวที่ถือ แต่ไม่ได้เรียกชื่อนามสกุลจริงแต่อย่างใด เมื่อพบแพทย์ตนก็บอกว่าได้ไปตรวจ NIPS มาแล้วแต่ยังต้องรอผลในวันที่ 6 ต.ค. จะมาขอเลื่อนนัดเจาะน้ำคร่ำออกไปก่อน

น.ส.มล กล่าวว่า แต่แพทย์ได้อ่านผลตรวจเลือดบอกว่าทารกในครรภ์มีความเสี่ยงสูงควรจะรีบเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจโครโมโซม หากช้ากว่านี้จะไม่เป็นผลดี ตนจึงต้องยอมให้แพทย์เจาะตรวจน้ำคร่ำในวันนั้น หลังตรวจเสร็จก็เดินทางกลับบ้าน ต่อมาวันที่ 4 ต.ค. ขณะที่นั่งดูสมุดบันทึกแม่และเด็กพบเอกสารผลเลือดคัดกรองดาวน์ซินโดรม แต่ไม่ใช่เป็นชื่อของตน กลับเป็นชื่อของ นางเอ (นามสมมติ) อายุ 42 ปี

น.ส.มล กล่าวต่อว่า ตนจึงมั่นใจว่าแพทย์ได้เจาะน้ำคร่ำผิดคนแล้ว เพราะเอกสารผลเลือดที่ระบุเด็กมีความเสี่ยงเป็นดาวน์ซินโดรมที่แนบมากับสมุดบันทึกแม่และเด็กเป็นชื่อผู้หญิงคนอื่น ต่อมาวันที่ 5 ต.ค. ตนจึงเอาเอกสารดังกล่าวไปสอบถามที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ก็ทำเหมือนไม่มีอะไร แจ้งแค่ว่าเอกสารผิดก่อนจะนำไปขยำทิ้ง แล้วปริ้นผลเลือดใบใหม่ที่เป็นชื่อของตนมาแนบกับสมุดบันทึกแม่และเด็ก ซึ่งเมื่อตนดูผลเลือดแล้วก็ไม่ได้ระบุว่าทารกมีความเสี่ยงดาวน์ซินโดรมแต่อย่างใด

น.ส.มล กล่าวอีกว่า กระทั่งวันที่ 6 ต.ค. ผลการตรวจ NIPS ก็แจ้งมาว่า โครโมโซมของทารกในครรภ์ปกติทุกอย่าง เมื่อรู้ความจริงแทบช็อก เพราะตนได้ถูกเจาะน้ำคร่ำไปแล้วหากเกิดอะไรขึ้นกับลูกจะทำอย่างไร เพราะหลังจากเจาะตรวจน้ำคร่ำเมื่อวันที่ 3 ต.ค. จนถึงวันที่ 6 ต.ค. ตนก็ยังมีน้ำคร่ำไหลออกมาเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลอีกแห่งแถวเจริญกรุง แพทย์ตรวจร่างกายพบว่า ถุงน้ำคร่ำรั่ว ซึ่งเกิดขึ้นได้กับคนที่เจาะน้ำคร่ำ 1 ใน 350 คน จึงให้นอนแอดมิตดูอาการ พร้อมให้ยาฆ่าเชื้อ และอัลตร้าซาวด์ดูเด็กในครรภ์

น.ส.มล กล่าวว่า ระหว่างนอนดูอาการ 3 วัน พบว่าเด็กในครรภ์อาการแย่ลงเรื่อย ๆ วันที่ 10 ต.ค. แพทย์จึงให้ตัดสินใจและทำการยุติการตั้งครรภ์ลง ในวันที่ 11 ต.ค. ตนจึงได้ออกจากโรงพยาบาลย่านเจริญกรุง กลับมาพักที่บ้าน แต่ยังทำใจไม่ได้ที่ต้องสูญเสียลูกไปเพราะความผิดพลาดจากเอกสารใบเดียว ถ้าหากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแห่งแรกมีความละเอียดรอบคอบคงไม่เอาผลเลือดคัดกรองดาวน์ซินโดรมที่มีความเสี่ยงของคนอื่นมาใส่เป็นของตน และตนคงไม่ต้องเจาะถุงน้ำคร่ำจนเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียลูกไป

น.ส.มล กล่าวอีกว่า ต่อมาวันที่ 12 ต.ค. ตนได้แจ้งเรื่องร้องเรียนไปที่โรงพยาบาล วันที่ 17 ต.ค. ทางโรงพยาบาลให้ตนไปพบเจ้าหน้าที่และนิติกร แต่ก็เป็นเพียงการสอบถามรายละเอียดเท่านั้น จนถึงตอนนี้ทางโรงพยาบาลก็ยังไม่มีคำขอโทษ หรือแจ้งว่าจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร ตนกับสามีจึงตัดสินใจเข้าร้องทุกข์ขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยให้ความเป็นธรรมด้วย

ด้าน นางปวีณา กล่าวว่า เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับโรงพยาบาลใหญ่ที่ได้ดำเนินการมาเป็นเวลานานแล้ว ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียลูกน้อยในครรภ์ของครอบครัวน.ส.มลด้วย ตามที่น.ส.มล เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อผิดพลาดของโรงพยาบาลน่าจะเกิดมาจากการที่ โรงพยาบาลมีนโยบายไม่เรียกชื่อคนไข้ เรียกแต่หมายเลข และทางโรงพยาบาลได้สลับหมายเลขคนไข้ ทำให้ใบตรวจเลือดคนไข้สลับกัน จึงเป็นสาเหตุทำให้น.ส.มลสูญเสียลูกน้อยในครรภ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เศร้าอย่างยิ่ง และต้องไม่ให้เกิดเหตุขึ้นกับครอบครัวใครอีกต่อไป

นางปวีณา กล่าวต่อว่า เนื่องจากโรงพยาบาลแห่งนี้สังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ตนจะประสานไปยังท่าน ผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โรงพยาบาลต้องรับผิดชอบกับครอบครัวคนไข้รายนี้ และปรับปรุงแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก โดยตนจะติดตามผลการดำเนินการร่วมกับกรุงเทพมหานครต่อไป

24 ต.ค.2566
ข่าวสด

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
จากกรณี คุณแม่ใจสลาย ร้องทุกข์กับมูลนิธิปวีณา ขอความเป็นธรรม หลังต้องยุติการตั้งครรภ์ เพราะพยาบาลสลับผลตรวจกับคนอื่น ทำให้วินิจฉัยผิดคน จนเธอต้องเสียลูก

ล่าสุด ความคืบหน้าวันนี้(26 ต.ค. 66) นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุล เพื่อเด็กและสตรี เผยว่า ได้นัดหารือกับทางโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ย่านพุทธมณฑล ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ถูกร้องเรียน ซึ่งตนได้เดินทางไปพร้อมกับ น.ส.เอ (นามสมมุติ) ผู้เสียหาย คุณแม่ที่สูญเสียลูก

หลังจากการเข้าหารือร่วมกัน นางปวีณา เผยว่า ทางโรงพยาบาลได้ขอโทษผู้เสียหาย และยอมรับผิด พร้อมทั้งเยียวยาจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 400,000 บาท และรับปากว่าหลังจากนี้จะมีการปรับปรุงระบบการเรียกคนไข้ จากเดิมที่เรียกจากเลขบัตรคิว จะแก้ไขใหม่ทั้งหมด ให้เป็นการเรียกทวนชื่อคนไข้ก่อนเข้าห้องตรวจและรักษา ซึ่งทางผู้เสียหายก็ยินดีรับเงินเยียวยาและรับคำขอโทษจากทางโรงพยาบาล

อีจัน
26 ต.ค. 66