ผู้เขียน หัวข้อ: เด็กไทยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ากว่า 1.5 ล้านคน สถิติการฆ่าตัวตาย น่าเป็นห่วง  (อ่าน 24 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
ในปัจจุบันเราตื่นขึ้นมาท่ามกลางโลกที่มีแต่ความเครียด ทั้งเรื่องปัญหามลภาวะทางอากาศอย่าง PM 2.5 ปัญหาสุขภาพโรคระบาดอย่าง โควิด-19 ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ข้าวของอาหารแพง จากสงครามต่างๆ นี่ยังไม่รวมปัญหาส่วนตัวในเรื่องของครอบครัว การงาน และความสัมพันธ์
นอกจากการรักษาร่างกายให้แข็งแรง เพื่อเตรียมให้มีแรงสู้ในแต่ละวันแล้ว สุขภาพจิตมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะจิตใจจะส่งผลต่อความคิด ความรู้สึก รวมถึงการรับมือกับความเครียดและปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต

เมื่อปัญหาทางจิต โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า กลายเป็นหนึ่งในโรคที่คนทั่วโลกต้องเผชิญเยอะสุดลำดับ 2 เป็นรองแค่เพียงโรคหลอดเลือดหัวใจ

องค์การอนามัยโลก ได้กำหนดให้วันที่ 10 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันสุขภาพจิตโลก (World Mental Health Day : WMHDAY) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ รณรงค์ให้ประชากรทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพจิต และปัญหาการเจ็บป่วยทางจิต

SPOTLIGHT พาทุกคนมารู้จักกับปัญหาสุขภาพจิต โรคที่หลายคนมองข้ามแต่เป็นโรคที่ส่งผลในการใช้ชีวิตมากที่สุดในสังคมปัจจุบัน

สุขภาพจิตในสังคมไทย
คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปป่วยเป็นโรคซึมเศร้ากว่า 1.5 ล้านคน
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการรายงานว่า ปัญหาสุขภาพจิตในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จำนวนผู้ป่วยทางจิตเวชเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า จาก 1.3 ล้านคนในปี 2558 เป็น 2.3 ล้านคน ในปี 2564 ขณะที่คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าถึง 1.5 ล้านคน

โรคซึมเศร้า ปัญหาใหญ่ที่ทำให้คนฆ่าตัวตาย
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้ามีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น

ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในปี 2563 มีอยู่ 355,537 คน มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 5 - 6 รายต่อประชากรแสนคน
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในปี 2564 เพิ่มเป็น 358,267 คน มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 7.38 รายต่อประชากรแสนคน

สถิติการฆ่าตัวตายของคนไทย 
องค์กร UNICEF ได้มีการรายงานผ่าน “การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ระบบและบริการสนับสนุนทางจิตใจ และจิตสังคมสำหรับเด็กและวัยรุ่นในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ฉบับประเทศไทย ปี 2565” ถึงอัตราการฆ่าตัวตายของเด็กไทย

 การฆ่าตัวตายของคนไทยน่าเป็นห่วงมาตั้งแต่ปี 2563 เนื่องจาก อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จทั้งประเทศพุ่งขึ้นถึง 7.8 ต่อแสนประชากร
ภูมิภาคที่มีการฆ่าตัวตายสูงที่สุด คือ ภาคเหนือ 10.9 ต่อแสนประชากร รองลงมา คือ ภาคอีสาน 8.5 ต่อแสนประชากร
ช่วงอายุ 13 – 17 ปี มีความคิดที่จะฆ่าตัวตายกว่า 17.6 %จากสถิติในปี 64

อัตราการฆ่าตัวตายของเด็กไทย ในปี 2565
กลุ่มอายุ 5-9 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตาย ประมาณ 1 ใน 14 คน
กลุ่มอายุ10-19 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตาย ประมาณ 1 ใน 7 คน

โควิด-19 ตัวกระตุ้นความเครียด
สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ได้มีการรายงานว่า การระบาดของโควิดนับว่าเป็นในแนวโน้มสำคัญ ที่กระทบต่อปัญหาสุขภาพจิตของคนไทย (สถิติสูงเทียบเท่ากับวิกฤตต้มยำกุ้ง)

ช่วงก่อนโควิด-19 อัตราการทำร้ายตัวเองอยู่ที่ 6 - 6.3 ต่อประชากร 1 แสนคน
ช่วงการระบาดของโควิด ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 7.3-7.4 ต่อประชากร 1 แสนคน
โดยปัจจัยหลัก คือ ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดหรือคนในครอบครัว โดยเฉพาะสถานที่ทำงาน โรงเรียน รวมทั้งอาการสุขภาพกายและใจป่วยเรื้อรัง จากการใช้สุราและสารเสพติด รวมถึงภาวะเครียดจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ

เมื่อการป่วยทางจิต ไม่มีแผลให้เราสังเกตเห็นเหมือนการเจ็บป่วยทางร่างกาย เราเลยจำเป็นต้องสังเกตตัวเอง และเช็คตัวเองอยู่เสมอ

เช็กการนอนหลับ
 มีพฤติกรรมการนอนที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น นอนไม่หลับ นอนหลับยาก หรือนอนหลับมากเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานาน

เช็กอารมณ์ความรู้สึก
มีอารมณ์และนิสัยที่ต่างไปจากเดิมจนสังเกตได้ เช่น มีอารมณ์เศร้าง่าย หรือรู้สึกหงุดหงิดง่ายกว่าปกติจนส่งผลต่อชีวิตประจำวัน

เช็กความคิด
มีความคิดเชิงลบว่าตัวเองไร้ค่าหรือไม่ควรมีชีวิตอยู่ จากที่ไม่เคยระแวงอะไรมาก่อน ก็คิดว่าจะมีคนมาปองร้าย หรือทำร้าย

เช็กการทำงานของสมอง
ความจำเปลี่ยนแปลงไป ความสามารถในการคิดอ่านและการตัดสินใจลดลง เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งของโรคทางจิตเวช

เช็กพฤติกรรม
จากเมื่อก่อนไม่ชอบออกไปข้างนอก ตอนนี้กลับออกไปข้างนอกตลอด ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแบบไม่คิด หุนหันพลันแล่น ชอบทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยง หรือจากที่เคยเป็นคนชอบเข้าสังคมอยู่ ๆ ก็กลายเป็นคนเก็บตัว

ที่มา Unicef

 

อมรินทร์ทีวี
10ตค2566