ผู้เขียน หัวข้อ: หมอธีระวัฒน์ ชี้ ยาแก้ไอรักษาสมองเสื่อมได้  (อ่าน 57 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
ทุกคน ใครหลงๆ ลืมๆ บ้าง รีบเช็กตัวเองด่วน และรีบป้องกันเลยนะ ถ้าไม่อยากแก่ไปแล้วสมองเสื่อมจนจำหน้าหวานใจไม่ได้ ซึ่งวิธีป้องกันนั้นง่ายนิดเดียว ยาแก้ไอที่เรารู้จักกันดีก็สมารถช่วยลดสมองเสื่อมได้นะ และยิ่งรู้ตัวเร็ว ก็ยิ่งป้องกันและรักษาได้ดีเลยล่ะ

วันนี้ (18 ก.ย.66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ออกมาโพสต์ถึงประเด็นดังกล่าว ผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ระบุว่า

พิชิตสมองเสื่อมด้วยยาแก้ไอ เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องโกหก เกิดขึ้นแล้วและถือว่าเป็นข่าวดีในปี 2566 โดยต้องรู้เร็วตั้งแต่ยังไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย จะสามารถป้องกัน ชะลอ และรักษาให้ย้อนกลับมาเป็นปกติหรือเกือบปกติได้

ซึ่งสมองเสื่อมเกิดจากโปรตีนพิษบิดเกลียว (misfolded protein) ที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ อย่าง โรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ และสมองเสื่อม วิธีการที่จะป้องกันไม่ให้อาการของสมองเสื่อมโผล่ขึ้น แม้ว่าจะมีโปรตีนพิษเหล่านี้อยู่ในสมองแล้วก็ตามนั้น เราสามารถตรวจจากเลือดได้แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเจาะน้ำไขสันหลัง หรือไปทำคอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็กเอ็มอาร์ไอร่วมกับการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์เพ็ทสแกน

และอีกวิธีหนึ่งคือ การควบคุมอาหาร กินมังสวิรัติ งดแป้ง งดเนื้อสัตว์บก หันมากินปลาและถั่ว ออกกำลังกาย การตากแดด และกิจกรรมทำให้สมองขยันตลอด ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงแต่เล่นเกม แต่ต้องเป็นกิจกรรมที่มีการโต้ตอบใช้ความคิด มีการวางแผน เช่น เล่นไพ่กินเงิน หรือเต้นรำกับคู่เต้น ร้องเพลงใหม่ให้ไม่คร่อมจังหวะและเสียงไม่หลง

นอกจากนี้ ยังสามารถควบคู่ได้กับยาพื้นๆ อย่าง ยาแก้ไอ หรือยาละลายเสมหะได้อีกด้วย ซึ่งยาดังกล่าว ชื่อ Ambroxol มีการใช้มาตั้งแต่ปี 2513 โดยที่มีการประกาศความสำเร็จในการใช้กับโรคสมอง จากการศึกษาตั้งแต่หลอดทดลอง สัตว์ทดลองและการวิจัยในมนุษย์ ตั้งแต่ในระยะที่หนึ่ง และที่สองและขณะนี้เริ่มการศึกษาในมนุษย์เป็นระยะที่สาม โดยคณะทำงานจาก Queen Square สถาบันทางประสาทวิทยา University College of London นำโดยศาสตราจารย์ Schapira

ทั้งนี้ การศึกษาทางคลินิก ในระยะที่สองได้มีการตีพิมพ์ในวารสาร สมาคมแพทย์อเมริกัน (JAMA) ตั้งแต่ปี 2563 ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน โดยระบุว่า ยาแก้ไอดังกล่าวสามารถที่จะซึมผ่านเข้าสมองและเพิ่มปริมาณการทำงานของโปรตีนที่ชื่อว่า GCase (glu cocerebrosidase) ในสมองได้ ซึ่งช่วยให้เซลล์มีการกำจัดขยะโปรตีนทั้งหลายออก และในกรณีของโรคพาร์กินสันก็คือกำจัดโปรตีน alpha synuclein ออก

แม้ว่าขนาดของยาที่ใช้จะมีปริมาณสูงมากกว่าที่ใช้ในการละลายเสมหะตามปกติ แต่จากการศึกษาทางคลินิกในระยะที่หนึ่งและระยะที่สอง พบว่ามีความปลอดภัย โดยที่ผลข้างเคียงอาจมีบ้าง คืออาการกวนกระเพาะ คลื่นไส้ อาจจะมีพะอืดพะอม แต่ก็น้อย และหายไปเอง ส่วนขนาดยามีการปรับระดับเพิ่มขึ้นทุกห้าวัน หลังจากที่ครบ 10 วันแล้วก็จะเป็นขนาดปริมาณคงที่ไปตลอด

การศึกษาในระยะที่สามนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค. 60 จนถึง 25 เม.ย. 61 จากผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน 330 ราย มีและไม่มียีนเฉพาะ ในศูนย์ทางคลินิก 12 แห่งในสหราชอาณาจักร โดยการใช้ยาหลอกด้วยเป็นเวลาสองปี พบว่าตัวยา Ambroxol สามารถผ่านผนังกั้นระหว่างเส้นเลือดกับสมองได้ และทำให้สามารถออกฤทธิ์ในสมอง 

นอกจากนั้น ยาดังกล่าวจะไปจับกับ เอ็นไซม์ เบตา glucocerebrosidase และทำให้มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งระดับและการทำงานของโปรตีน รวมถึงระดับของ alpha synuclein โดยที่ระดับในน้ำไขสันหลังสูงขึ้น ซึ่งแสดงว่ามีการทำงานเพิ่มขึ้นในเซลล์สมองและผลักโปรตีนพิษออกจากสมองเข้าสู่น้ำไขสันหลัง

กลไกการจัดการของยา Ambroxol ต่อโปรตีนพิษ ยาจะไปเพิ่มการทำงานของ GCase ในเซลล์ และกระตุ้น lysosomal exocytosis ช่วยแก้ความผิดปกติของ posttran slational folding ในคนที่มียีนผิดปกติ และทำให้ระบบกู้ภัยคลี่เกลียวของโปรตีนพิษ และการกำจัดขยะโปรตีนพิษเหล่านี้ ออกไปทิ้งได้หมดจด

จะเห็นได้ว่าการแก้โรคสมองเสื่อมไม่ใช่เป็นเรื่องยากเลยค่ะทุกคน ยาแก้ไอที่เราเห็นอยู่บ่อยๆ นี้ ก็สามารถช่วยได้ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมหมั่นบริหารสมอง กินอาหารที่มีประโยชน์ร่วมด้วยนะคะ 

ข้อมูลจาก: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha

แพทตี้ อีจัน
18 ก.ย.66