ผู้เขียน หัวข้อ: ปัญหาสารพัด! พบปีที่แล้วผู้คนในสหรัฐฯ ฆ่าตัวตายสูงสุดเป็นประวัติการณ์  (อ่าน 52 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
มีผู้คนเกือบ 49,500 รายที่ปลิดชีพตนในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นตัวเลขสูงสุดเท่าที่เคยมีมา จากข้อมูลใหม่ของรัฐบาลที่เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (10 ส.ค.)

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ โพสต์ตัวเลขดังกล่าว ซึ่งยังไม่คำนวณอัตราการฆ่าตัวตายของปีที่แล้ว แต่ข้อมูลที่มีบ่งชี้ว่าการปลิดชีพตนเองกลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปมากขึ้นในสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเวลาไหนๆ นับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2

"มีบางอย่างผิดพลาด จำนวนไม่ควรพุ่งสูงเช่นนี้" คริสตินา วิลเบอร์ หญิงชาวฟลอริดา วัย 45 ปี ซึ่งลูกชายลั่นไกปืนปลิดชีพตนเองเมื่อปีที่แล้ว แสดงความเห็น "ลูกของฉันไม่ควรต้องมาตาย ฉันรู้ว่ามันซับซ้อน แต่เราจำเป็นต้องทำบางอย่าง บางอย่างที่เราไม่ทำ เพราะว่าอะไรก็ตามที่เราทำในตอนนี้นั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย"

บรรดาพวกผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการฆ่าตัวตายเป็นอะไรที่ซับซ้อน และตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้อาจมีแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยหลายอย่าง ในนั้นรวมถึงอัตราผู้ป่วยภาวะซึมเศร้า และการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตอย่างจำกัด

อย่างไรก็ตาม ทาง จิล ฮาร์คาวี-ฟรีดแมน รองประธานอาวุโสฝ่ายวิจัยของมูลนิธิป้องกันการฆ่าตัวตายแห่งอเมริกา ระบุว่าปัจจัยหลักคือการเข้าถึงอาวุธปืนได้ง่ายขึ้น

จากข้อมูลพบว่าความพยายามฆ่าตัวตายด้วยอาวุธปืนจบลงด้วยความตายบ่อยครั้งกว่าวิธีการอื่นๆ เป็นอย่างมาก และด้วยยอดขายอาวุธปืนที่เฟื่องฟู ทำให้มีอาวุธปืนอยู่ตามบ้านเรือนต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

การวิเคราะห์ของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปกินส์ เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ใช้ข้อมูลเบื้องต้นของปี 2022 ในการคำนวณพบว่าอัตราการฆ่าตัวตายด้วยอาวุธปืนโดยรวมของประเทศเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้ว และถือเป็นครั้งแรกที่อัตราการฆ่าตัวตายด้วยอาวุธปืนในหมู่วัยรุ่นผิวสี มีจำนวนมากกว่าอัตราการฆ่าตัวตายด้วยอาวุธปืนในหมู่วัยรุ่นผิวขาว

เหตุฆ่าตัวตายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงต้นของยุคทศวรรษ 2000 และจนกระทั่งปี 2018 อัตราการฆ่าตัวตายทั่วประเทศพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1941 โดยในปีนั้นพบเห็นการฆ่าตัวตายราว 48,300 ราย หรือ 14.2 คนต่อชาวอเมริกันทุก 100,000 คน

อัตราการฆ่าตัวตายลดลงเล็กน้อยในปี 2019 และลดลงอีกครั้งในปี 2020 หรือระหว่างปีแรกของโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนชี้ว่าปรากฏการณ์ลักษณะนี้ มักพบเห็นในช่วงต้นของสงครามหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ครั้งที่ผู้คนยืนหยัดเคียงข้างกันและสนับสนุนกันและกัน

แต่ในปี 2021 อัตราฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 4% และปีที่แล้ว อ้างอิงจากข้อมูลใหม่ จำนวนการฆ่าตัวตายพุ่งขึ้นมากกว่า 1,000 ราย เป็น 49,449 คน หรือเพิ่มขึ้น 3% จากหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ข้อมูลเบื้องต้นนี้มาจากใบมรณบัตรในสหรัฐฯ และถูกมองว่าเกือบจะสมบูรณ์แล้ว แต่มันอาจเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เนื่องจากจะมีการทบทวนข้อมูลการเสียชีวิตในอีกหลายเดือนข้างหน้า

ประชากรวัยผู้ใหญ่เป็นวัยที่มีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นเกือบ 7% ในคนอายุระหว่าง 45 ปี ถึง 64 ปี และเพิ่มขึ้นมากกว่า 8% ในคนอายุ 65 ปีขึ้นไป ในขณะที่ข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ ยังพบด้วยว่าผู้ชายผิวขาวเป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงมาก

ดอคเตอร์เดบรา โฮรี หัวหน้าเจ้าหน้าที่แพทย์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า คนวัยกลางคนและคนชราจำนวนมากประสบปัญหาต่างๆ อย่างเช่นตกงานหรือสูญเสียคู่ครอง และเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องลดรอยด่างพร้อยและอุปสรรคขัดขวางอื่นๆ จากการนำพาพวกเขาเข้าสู่ความช่วยเหลือ

การฆ่าตัวตายในประชากรผู้ใหญ่อายุระหว่าง 25 ปีถึง 44 ปี เพิ่มขึ้นราว 1% และข้อมูลใหม่บ่งชี้ว่าการฆ่าตัวตายกลายเป็นสาเหตุหลักอันดับ 2 ของการเสียชีวิตในกลุ่มคนอายุดังกล่าวในปี 2022 จากเดิมที่เป็นสาเหตุหลักอันดับ 4 ในปี 2021

แม้ข้อมูลออกมาน่าเศร้า แต่บางส่วนบอกว่ายังพอมีเหตุผลที่จะมองในแง่บวก ด้วยมีการเปิดสายด่วนวิกฤตระดับชาติเมื่อ 1 ปีก่อน นั่นหมายความว่าทุกคนในสหรัฐฯ สามารถต่อสาย 988 เพื่อขอความช่วยเหลือจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ ยังได้ยกระดับโครงการสกัดการฆ่าตัวตาย จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับงานป้องกันการฆ่าตัวตายในชุมชนต่างๆ และเพิ่มความตระหนักรู้ในประเด็นดังกล่าวมากขึ้น

จากข้อมูลพบว่าผู้คนในวัย 10 ขวบจนถึง 24 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายลดลงมากกว่า 8% บ่งชี้ว่ามันอาจเป็นผลจากการให้ความใส่ใจกับปัญหาสุขภาพจิตของคนวัยเยาว์และหนุ่มสาวมากขึ้น เช่นเดียวกับความพยายามผลักดันให้โรงเรียนและสถาบันอื่นๆ ให้ความสำคัญกับปัญหานี้

(ที่มา : เอพี)

11 ส.ค. 2566 ผู้จัดการออนไลน์