ผู้เขียน หัวข้อ: นั่งเฝ้าดูแม่ทรมานในรพ.40ชั่วโมง ก่อนสิ้นใจต่อหน้าแค้นหมอไม่ให้ย้าย..  (อ่าน 141 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9759
    • ดูรายละเอียด
สาววอนขอความเป็นธรรม แม่ขี่จยย.ล้มซี่โครงหักพูดคุยได้ตามปกติ ปวดท้องตลอดเวลา แจ้งหมอขอย้ายบอกเอาอยู่แค่ซี่โครงหัก อ้อนหลายครั้งไม่เป็นผล สุดท้ายสิ้นใจตายคาเตียง สุดท้ายหมอกลับลำบอกเป็นรพ.เล็กเครื่องมือไม่พร้อม

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านดงพลอง ต.ดงพลอง อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใน จ.บุรีรัมย์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาลอย่างทรมาน ตรวจสอบผู้ร้องคือ น.ส.นัญชิดา  อายุ 39 ปี ทำงานอยู่ในสำนักงาน อบต.แห่งหนึ่ง ในอ.แคนดง ได้นำเอกสารการเสียชีวิตของนางรวง  อายุ 58 ปี แม่ของตัวเอง ที่เสียชีวิตไปเมื่อกลางดึกของวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา มาร้องสื่อ โดยในเอกสารการเสียชีวิตของนางรวง หมอระบุกระดูกซี่โครงหักจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เวลา 02.46 วันที่ 10 มิ.ย.การเสียชีวิตดังกล่าวของนางรวง สร้างความกังขาให้กับ น.ส.นัญชิดา ลูกสาวเป็นอย่างมาก เพราะอาการของแม่ไม่ควรจะเสียชีวิต

น.ส.นัญชิดา เล่าว่า เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.เวลา 07.00 น.แม่ได้ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านเพื่อไปทำงานเป็นแม่บ้านในตัวอำเภอสตึก จ.บุรีรัมย์ ระยะทางห่างจากบ้านประมาณ 15 กม. เมื่อขับรถไปได้ประมาณ 5 กม.ได้เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มกลางถนน ซึ่งจากคำบอกเล่าของแม่ มีสุนัขมาวิ่งตัดหน้าจึงเบรกแล้วล้มลงทำให้รถจักรยานยนต์ล้มใส่ร่าง หลังจากนั้นหน่วยกู้ชีพ อบต.ดงพลอง ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลแคนดง ซึ่งหลังจากนั้นตัวเองเข้าไปดูแลแม่อย่างใกล้ชิด โดยอาการของแม่มีอาการปวดช่องท้องตลอดเวลา

จนกระทั่งหมอเอาตัวไปเอ็กซ์เรย์ พบว่ากระดูกซี่โครงด้านขวาหัก 3 ซี่ ไหปลาร้าขวาหัก หลังจากนั้นนอนรอหมอมาดูอาการเป็นระยะ แต่อาการปวดท้องของแม่ไม่ดีขึ้น แม่บอกตลอดเวลาว่า”ปวดท้องมาก”ให้หมอมาฉีดยาให้ด้วย

ช่วงบ่ายวันที่ 8 มิ.ย.จึงขอย้ายแม่ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ ได้รับคำตอบจากหมอว่า อาการแม่ไม่เป็นอะไรมาก ทางโรงพยาบาลรักษาได้ โรงพยาบาลบุรีรัมย์มีคนไข้แน่น ไม่ควรจะไปเพราะที่นี่”เอาอยู่”ขณะแม่ยังนอนร้องด้วยความเจ็บปวดตลอดเวลา

เวลา 21.00 น.วันที่ 8 มิ.ย.ไปร้องขอย้ายแม่ไปรักษาต่ออีกครั้ง ได้รับคำตอบจากหมอว่า เวลานี้หมอไม่ทำงานจะต้องรอรุ่งเช้าของวันถัดไปอยู่ดี ตนต้องนอนฟังเสียงแม่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดตลอดทั้งคืนจนไม่ได้นอน

วันที่ 9 มิ.ย.แม่ยังมีอาการเช่นเดิมคือปวดช่องท้องตลอดเวลาจึงไปแจ้งหมออีกว่าแม่ปวดหมอได้เอายามาฉีดเพื่อให้หายปวด แต่บรรเทาได้เพียง 4 ชม.แม่ก็กลับมาปวดอีก หลังจากนั้นแม่บอกว่าหายใจไม่ออก หมอจึงเอาออกซิเจนมาใส่ให้ แต่ไม่ได้ทำอะไรต่ออีก พยายามขอย้ายแม่ไปรักษาที่บุรีรัมย์ แต่ถูกปฏิเสธทุกครั้ง ส่วนตัวอยากจะพาแม่ไปเอง แต่ไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ จึงจำเป็นต้องรอให้แม่ดีขึ้นตามที่หมอแจ้ง


ตอนค่ำวันที่ 9 แม่ยังเหมือนเดิม ไปขอหมอให้ย้ายแม่อีกครั้ง ทำให้หมอไม่พอใจและได้รับคำตอบเดิมว่า”เวลานี้หมอออกเวรแล้ว”ต้องรอวันรุ่งขึ้น และเมื่อเวลาประมาณ 01.30 น.ของคืนเดียวกันแต่เป็นวันที่ 10 มิ.ย.แม่เกิดอาการตาค้างพยายามดึงสายออกซิเจนออก เหมือนต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แล้วนิ่งไป จึงวิ่งไปแจ้งหมอมาดู โดยรอบนี้หมอตื่นเต้นมากที่สุดหลังมาดูอาการของแม่ ต่างจากทุกครั้งที่ไปแจ้ง จากนั้นหมอหลายคนได้พยายามปั๊มหัวใจแม่นานกว่า 1 ชม.แม่ไม่ฟื้น แล้วหมอแจ้งว่า”หมอเสียใจด้วย”

น.ส.นัญชิดา กล่าวอีกว่า งานศพแม่โรงพยาบาลเอาพวงหรีดไปมอบให้ 1 พวง และช่วยงานมา 1,000 บาท หลังจากฌาปณกิจศพแม่เสร็จ หมอได้แจ้งกับตนว่า”โรงพยาบาลเราเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ไม่มีอุปกรณ์เพียงพอในการรักษา”จะให้โรงพยาบาลช่วยเยียวยาแบบไหน ยอมรับแปลกใจที่หมอเปลี่ยนคำพูดจากคำว่า”เราเอาอยู่เรารักษาได้ไม่หนัก” มาเป็นเครื่องมือไม่เพียงพอ

หลังจากตนแจ้งว่า”แม่มีหนี้สินหลายแสนบาท”หลังจากนั้นเป็นต้นมาโรงพยาบาล โดยเฉพาะ ผอ.โรงพยาบาล ได้ออกมาชี้แจงกับตนว่าแม่มีประกันสังคมควรจะไปเบิกเงินเยียวยาจากประกันสังคม ทางโรงพยาบาลจะช่วยวิ่งด้านเอกสารช่วย ทางโรงพยาบาลไม่มีเงินจะเยียวยาให้ ตนรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม และเชื่อว่าแม่เสียชีวิตเพราะความบกพร่องในการบริหารจัดการของโรงพยาบาล หากพาแม่ไปส่งรักษาต่อแล้วแม่เสียชีวิตตนไม่เสียใจ แต่ครั้งนี้พยายามร้องขอ เพราะแม่รู้สึกตัวตลอดเวลา พูดตอบโต้ได้แม่ไม่ควรตายแบบนี้เชื่อว่าแม่ต้องมีความผิดปกติบางอย่างในช่องท้อง แต่หมอไม่สนใจ สงสารแม่ที่เจ็บปวดทรมานยาวนานกว่า 40 ชม.แต่ใครช่วยไม่ได้จึงออกมาร้องผ่านสื่ออยากให้ผู้มีความรู้ด้านนี้มาชี้แนะ

25 มิถุนายน 2566
https://www.dailynews.co.th/news/2472507/

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9759
    • ดูรายละเอียด
สสจ.บุรีรัมย์ เปิดแถลง กรณีสาว 39 ปีร้องสื่อ โรงพยาบาลแคนดง ไม่ยอมส่งตัวแม่ไปรักษาต่อ ทำให้แม่ "เจ็บปวดทรมานนานกว่า 40 ชั่วโมงก่อนเสียชีวิต" ยอมรับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ส่วนการเยียวยาจะให้ระบบประกันสังคมเป็นผู้ดูแล ขณะลูกสาวบอก "ไม่เกี่ยวกัน"

วันที่ 26 มิ.ย.66 ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี น.ส.นัญชิดา ชมชัยภูมิ อายุ 39 ปี เจ้าหน้าที่สำนักงาน อบต.ดงพลอง อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ ร้องสื่อว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากโรงพยาบาล และอยากจะให้เป็นกรณีศึกษาอีกเคสหนึ่ง หลังจาก นางรวง สิทธิวงศ์ อายุ 58 ปี แม่ของตัวเอง เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้ม ได้รับบาดเจ็บกระดูกซี่โครงหัก 3 ซี่ ไหปลาร้าหัก ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแคนดง อ.แคนดง ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. เวลาประมาณ 08.00 น. และเสียชีวิตเมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา

เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความกังขาให้กับ น.ส.นัญชิดา และครอบครัวเป็นอย่างมาก เพราะไม่พอใจการบริหารจัดการด้านการรักษาของโรงพยาบาลแคนดง โดยเฉพาะญาติร้องขอให้ย้ายแม่ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์หลายครั้ง เนื่องจากแม่มีอาการปวดช่องท้องตลอดเวลาตั้งแต่เข้าทำการรักษา แต่โรงพยาบาลไม่อนุญาต อ้างว่ารักษาได้ อาการไม่หนัก ต้องนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดนานกว่า 40 ชั่วโมง จนเสียชีวิตในที่สุด

ล่าสุด นายแพทย์พิเชษฐ พืดขุนทด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ ได้เปิดโต๊ะแถลงถึงกรณีดังกล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตอย่างสุดซึ้ง เบื้องต้นจากการสอบถามข้อมูลจากโรงพยาบาลแคนดง ทราบว่า ญาติได้ร้องขอให้ย้ายจริง แต่จากการวิเคราะห์ของแพทย์แล้วไม่มีอาการหนัก แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นได้ โดยหลังจากนี้จะกำชับให้โรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัด ตรวจสอบและวิเคราะห์ให้ละเอียดถี่ถ้วน โดยเฉพาะการส่งต่อผู้ป่วยจะต้องทันท่วงที ไม่ให้เกิดกรณีในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก

สำหรับการเยียวยา เบื้องต้นทราบว่าผู้เสียชีวิตอยู่ในระบบประกันสังคม จึงกำชับให้โรงพยาบาลแคนดง ดูแลเรื่องเอกสารของประกันสังคม เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาได้อย่างสะดวก ส่วนกรณีอื่นๆ สาธารณสุขจะประชุมหารืออีกครั้ง

ขณะที่ น.ส.นัญชิดา ลูกสาวผู้ตาย หลังทราบว่าสาธารณสุขให้ไปใช้ระบบประกันสังคม แทนการเยียวยาของกระทรวงสาธารณสุข น.ส.นัญชิดา กล่าวว่า จริงแล้วระบบประกันสังคมเป็นการออมของแรงงาน เป็นสิทธิ์พึงมีพึงได้ของผู้เอาประกันตนอยู่แล้ว กรณีที่ตนร้องไปนั้น ต้องการให้กระทรวงสาธารณสุขออกมารับผิดชอบกับการบริหารจัดการที่ผิดพลาดมากกว่า มันเป็นคนละส่วนกัน จะมาผลักภาระให้หน่วยงานอื่นตนว่าไม่ถูกต้อง

26 มิ.ย. 2566
ไทยรัฐออนไลน์