ผู้เขียน หัวข้อ: MOU 8 พรรคร่วมรัฐบาล “กัญชา” กลับเป็นยาเสพติด พร้อมหารือทำโรดแมป  (อ่าน 191 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
“ชูวิทย์” จี้ถาม “พิธา” กลางวงแถลง MOU พรรคร่วมรัฐบาล ขอ “กัญชา” กลับเป็นยาเสพติด และต้องปิดร้านขายกัญชาทั้งหมด ด้าน “พิธา” ตอบมีใน MOU เหตุที่ผ่านมามีสุญญากาศทางกฎหมาย ต้องหาทางออกร่วมกัน ส่วนเนื้อหาบันทึกข้อตกลงร่วม 23 ข้อ ประเด็นกัญชาอยู่ข้อ 16  ส่วนสุราก้าวหน้า อยู่ข้อ 10 ยกเลิกผูกขาด ส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ขณะที่พรรคประชาชาติ ขอสงวนสิทธิ์ไม่เห็นด้วยกรณีนี้

จี้ปิดร้านขายกัญชาทั้งหมด เหตุเมื่อเป็นทางการแพทย์และเป็นยาเสพติด ย่อมขายไม่ได้
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ที่ห้องแกรนด์ บอลลูม โรงแรมคอนราด กทม. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยหัวหน้าพรรค และแกนนำพรรคอีก 7 พรรค ได้ลงนามข้อตกลงร่วม (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งปรากฎว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์  ได้มาร่วมอยู่ในห้องแถลงข่าวครั้งนี้

โดยหลังจากนายพิธา อ่านบันทึกข้อตกลงร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนถามคำถามต่างๆ  ซึ่งคำถามท้าย นายชูวิทย์ ได้ยกมือขอสอบถามประเด็น “กัญชา” ว่า ท่านยังพูดไม่ชัดว่า กัญชา จะต้องกลับไปเป็นยาเสพติด นี่คือหลัการสำคัญ  และร้านกัญชาต่างๆ ต้องปิด ไม่ปิดไม่ได้ ต้องพูดให้ชัดว่า ต้องปิดให้หมด เพราะเมื่อกลับไปสู่ยาเสพติด และเป็นกัญชาทางการแพทย์ ก็ต้องให้แพทย์เป็นคนออก

“หากท่านทำไม่ได้ ผมก็จะประท้วงท่าน ผมพูดชัดๆ กัญชาต้องกลับไปเป็นยาเสพติด กัญชาต้องเป็นการแพทย์ ต้องให้แพทย์เป็นผู้ออกเท่านั้น ร้านกัญชาต้องปิดเท่านั้น” นายชูวิทย์ กล่าว

นายพิธา ตอบว่า เรื่องกัญชาก็ต้องพูดคุยกัน เพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น การมีสุญญากาศกฎหมายกัญชา เกิดผลลัพธ์มากมายพอสมควร เช่น มีร้านกัญชาอยู่ใกล้โรงเรียน อยู่พื้นที่สาธารณะ ต้องแก้ไขกัน แต่ต้องมีส่วนร่วมของประชาชนเข้ามาพูดคุย และหาโรดแมปกลับไป ส่วนที่บอกว่า กัญชาต้องกลับไปเป็นยาเสพติด ใน MOU ก็ระบุชัด เพราะเป็นเรื่องของสภาพบังคับ

“ผมยังจำได้ว่า มีอยู่วันหนึ่งถนนข้าวสาร คนที่ไปกลายเป็นอธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฯ เพราะสภาพบังคับไม่มี  ไม่รู้กฎหมายจะใช้ยังไง ก็ไปใช้พ.ร.บ.ของแพทย์แผนไทย แทนที่จะเป็นตำรวจ หรือคนที่เชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหา ซึ่งยืนยันจะทำให้ดีที่สุด และให้มีส่วนร่วม แต่ก็ต้องเข้าใจว่าช่วงที่ผ่านมา เป็นสุญญากาศ เป็นเสรีสุดโต่งไป เพราะปลดเป็นเสรีก่อนที่จะมีกฎหมายควบคุม” นายพิธา กล่าว

สำหรับเนื้อหาใน MOU ฉบับพรรคร่วมรัฐบาล 9 พรรค นายพิธา ได้อ่านเนื้อหาในบันทึกข้อตกลงร่วมกัน ใจความว่า  ทุกพรรคเห็นร่วมกันว่าภารกิจของรัฐบาลที่จะผลักดันนั้น ไม่กระทบรูปแบบของรัฐ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดไม่ได้ขององค์พระมหากษัตริย์ ประกอบด้วย วาระร่วมดังต่อไปนี้

1.ฟื้นฟูประชาธิปไตย รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนให้เร็วที่สุด โดยมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

2.ยืนยันและผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อรับประกันสิทธิสมรสสำหรับคู่รักทุกเพศ โดยจะไม่บังคับประชาชนที่เห็นว่าขัดแย้งกับหลักการของศาสนาที่ตนเองนับถือ

3.ผลักดันการปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม ให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย โดยยึดหลักความโปร่งใส ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน

4.เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ เป็นระบบสมัครใจ ทั้งนี้ ยังคงไว้ซึ่งการเกณฑ์ทหารหากมีศึกสงคราม

5.ร่วมผลักดันกระบวนการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยคำนึงถึงหลักการด้านสิทธิมนุษยชน การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมถึงทบทวนภารกิจของหน่วยงานและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง

6.ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ เพื่อให้ท้องถิ่นตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ปราศจากทุจริต

7.แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นโดยการสร้างระบบและวัฒนธรรมรัฐโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลรัฐในทุกหน่วยงาน

8.ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยยึดหลักเพิ่มรายได้ประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม

9.ยกเครื่องกฎหมายเกี่ยวกับการทำมาหากิน และการดำรงชีวิตของประชาชน เช่น ตัด ลด หรือพักใช้ชั่วคราวซึ่งใบอนุมัติ อนุญาตที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคเพื่อปรับปรุงใหม่ ให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องทางด้านการเงินและสร้างแต้มต่อให้กับ SME พร้อมกับมุ่งเน้นการเติบโต GDP ของ SME สนับสนุนอุตสาหกรรม และสินค้าไทยให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้

10.ยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดย พรรคประชาชาติ ขอสงวนสิทธิ์ไม่เห็นด้วยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเหตุผลทางศาสนา

11.ปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ ด้วยการผลักดันกฎหมายปฏิรูปที่ดิน กระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมแก้ปัญหาแนวเขตป่าไม้และที่ดินของรัฐที่ทับซ้อนกับที่ดินของประชาชน รวมถึงการทบทวนคดีที่เป็นผลจากนโยบายทวงคืนผืนป่า

12.ปรับปรุงโครงสร้างการผลิตไฟฟ้า การคำนวณราคา และกำลังการผลิตที่เหมาะสม เพื่อลดค่าครองชีพประชาชนและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน

13.จัดทำงบประมาณแบบใหม่ โดยเน้นใช้วิธีการจัดงบประมาณฐานศูนย์ (zero-based budgeting)

14.สร้างระบบสวัสดิการดูแลประชาชนตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงวัย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและภาระทางการคลังระยะยาว

15.แก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเร่งด่วน

16.นำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษ ผ่านการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยมีกฎหมายควบคุมและรองรับการใช้ประโยชน์จากกัญชา

17.ส่งเสริมเกษตรและปศุสัตว์ปลอดภัย คุ้มครอง รักษาผลประโยชน์ของเกษตรกร ลดต้นทุนการผลิตส่งเสริมการตลาด ส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยี และแหล่งน้ำ ส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกร เพื่อวางแผนการผลิตและรักษาผลประโยชน์กษตรกร ส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ

18.แก้ไขกฎหมายประมง ขจัดอุปสรรค เยียวยา ฟื้นฟู และพัฒนาอาชีพประมงให้ยั่งยืน

19.ยกระดับสิทธิแรงงานทุกอาชีพให้มีสภาพการจ้างงานที่เป็นธรรม และได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมสอดคล้องกับค่าครองชีพและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

20.ยกระดับสาธารณสุขเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบสาธารณสุข

21.ปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

22.สร้างความร่วมมือและกลไกภายในและระหว่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) โดยเร็วที่สุด

23.ดำเนินการนโยบายการต่างประเทศ โดยการฟื้นฟูบทบาทผู้นำของไทยในอาเชียน และรักษาสมดุลการเมืองระหว่างประเทศของไทยกับประเทศมหาอำนาจ

ทุกพรรคเห็นพ้องบริหารประเทศ 5 ข้อหลัก
ทุกพรรคเห็นพ้องบริหารประเทศด้วยแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้

1.ทุกพรรคจะคุ้มครองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของประชาชนทุกคน
2.ทุกพรรคจะทำงานโดยซื่อสัตย์สุจริต หากมีบุคคลของพรรคใดมีพฤติกรรมทุจริต คอร์รัปชั่น ทุกพรรคจะยุติการดำรงตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ทันที
3.ทุกพรรคจะทำงานโดยให้เกียรติซึ่งกันและกัน จริงใจต่อกัน สนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง มากกว่าผลประโยชน์ของพรรคใดพรรคหนึ่ง
4.ทุกพรรคมีสิทธิในการผลักดันนโยบายอื่นเพิ่มเติม แต่ไม่ขัดแย้งจากนโยบายในบันทึกข้อตกลงร่วมฉบับนี้ โดยอาศัยอำนาจฝ่ายบริหารของรัฐมนตรีที่เป็นตัวแทนของแต่ละพรรคการเมือง
5.ทุกพรรคมีสิทธิในการผลักดันนโยบายอื่นเพิ่มเติม แต่ไม่ขัดแย้งจากนโยบายในบันทึกข้อตกลงร่วมฉบับนี้โดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติของผู้แทนราษฎรที่สังกัดแต่ละพรรคการเมือง

Monday, 22 May 2023
https://www.hfocus.org/content/2023/05/27683

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
หมอเดชา ลั่นไม่ยอม เอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด คนปลูก 40 ล้าน ท้าลองดูกับประชาชนก็ได้ คนไปเดินประท้วงแน่ เย้ยจะได้เป็นรัฐบาลไหม

วันที่ 25 พ.ค. 2566 ที่มูลนิธิข้าวขวัญ 13/1 ม.3 ถนนเทศบาลท่าเสด็จ 1 ซอย 6 ต.สระแก้ว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี หรือหมอเดชา ผู้ทำน้ำมันกัญชาสกัด น้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยถ้ารัฐบาลใหม่มีมติให้กัญชากลับเข้าไปเป็นบัญชียาเสพติดเหมือนเดิม เพราะตนใช้น้ำมันกัญชาอยู่ทุกวันเพราะรู้ว่ามันดี แล้วการใช้ทุกวันมันต้องทำเอง ไม่ใช่ต้องไปรอจากที่อื่น แต่การใช้เองมันต้องไม่ใช่ยาเสพติด

หมอเดชา กล่าวต่อว่า ถ้ามีข้อจำกัดเยอะ หมอจะไปช่วยใครได้ ถ้าทำใช้เองมันก็ง่าย แต่ถ้าทำใช้เองมันต้องไม่มีข้อจำกัดเป็นยาเสพติดก่อน และกัญชาไม่ใช่ยาเสพติดอยู่แล้ว ยาเสพติดคือเหล้า บุหรี่ คุณต้องจัดการเหล้า บุหรี่ ไม่ใช่มาจัดการกัญชา เพราะเหล้าบุหรี่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่โทษ ใช้แค่สันธนาการอย่างเดียว โรคก็เยอะ อุบัติเหตุ อาชญากรรมต่างๆ แต่ก็ปล่อยขายเสรี

หมอเดชา กล่าวอีกว่า ของดีๆ อย่างกัญชา ทำให้คนเลิกเหล้ากับบุหรี่ได้ คุณไปจำกัดทำไม ทั้งที่มีประโยชน์ ของดีดันไปกีดกัน ของไม่ดีกลับไปส่งเสริม ส่วนผลกระทบกับตัว ตนไม่มีผลกระทบอะไร แต่ว่าประชาชนจะมี เพราะต้องวิ่งมาหาหมออย่างเดียว มันต้องให้ประชาชนพึ่งตัวเองได้ คนป่วยต้องป้องกันตัวเองได้ก่อน และถ้าเป็นโรคก็นำเอามารักษาตัวเองได้
"ตำรับของผมมันไม่ผิดกฎหมาย แต่พอกัญชาผิดกฎหมาย คนก็ป้องกันตัวเองไม่ได้ ต้องวิ่งมาหาหมอ และหมอก็มีข้อจำกัดเยอะ มาแค่ระงับอาการ ไม่ได้รักษาให้หายขาด คนป่วยมาหาผมเยอะ 1 เดือน ผมเปิดให้คนไข้มาหาผมแค่ 2 วันเอง และมาจากที่ไกลๆ ทั้งนั้น กฎหมายจำกัดเยอะไม่รู้ว่าได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ได้ประโยชน์คือขายเหล้า บุหรี่ ยาบ้า ได้มากขึ้น ขายยาปัจจุบันได้มากขึ้น อาชญากรรม อุบัติเหตุมากขึ้น นี่คือข้อเท็จจริง"

หมอเดชา กล่าวต่อว่า คนที่ปลูก 40 กว่าล้านคน เขาไม่ยอมหรอก ตนก็ไม่ยอม เพราะคนไข้ตนเดือดร้อน ไม่งั้นก็จะไปเดินใหม่ แต่เดินคราวนี้คนจะเดินมากกว่าเก่าเยอะ เพราะคนเขารู้ว่ากัญชามันดี เขาปลูกแล้วใช้แล้ว และมาตัดสิทธิ์เขา เขาจะไม่ไปเดินหรือไง

หมอเดชา กล่าวอีกว่า คุณก็ลองดูกับประชาชนก็ได้ไม่ยากหรอก แต่ว่าคุณจะได้เป็นหรือเปล่า นโยบายแบบนี้คุณต้องได้เป็นรัฐบาลก่อน ตอนแถลงสภาโน่นเลย นี่มา MOU คุณยังไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง มาทำทำไม นี่มาลัดขั้นตอน และมาทำแบบนี้ประชาชนที่เขาเลือกคุณหรือไม่เลือก มาทำแบบนี้ เขาก็ไม่เอาคุณอยู่แล้ว ลองประชามติดูไหม ทำโพลดูก็ได้

ข่าวสด
25พค2566
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 พฤษภาคม 2023, 20:10:08 โดย story »

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
วันที่ 26 พฤษภาคม จากกรณีนโยบาย ผลักดัน “พืช กัญชา” นำกลับเข้าสู่ระบบบัญชีรายชื่อให้เป็นประเภทยาเสพติดอีกครั้งหนึ่ง

นายสุทธิณัฐฯ หรือเจมส์ กูรู ด้านกัญชาจากต่างประเทศ เจ้าของร้านชื่อ go grow cannabis หรือ(โก โกร แคนนะบิส) แปลเป็นไทย “ไปปลูกกัญชา” เปิดเผยว่า จริงๆ ตนก็เลือกกา ก้าวไกลเข้ามานะ แม้ได้ยินหนึ่งในแผนนโยบายหลักจะผลักดัน พืชกัญชา ให้กลับไปเป็นสิ่งผิดกฎหมายอีกครั้งก็ตาม แต่ผมยังมีความเชื่อ และความหวังว่า คนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาพัฒนาบริหารประเทศ สามารถจัดระเบียบให้มันถูกต้องและผลักดันให้ความรู้ด้านพืช กัญชา กันได้ “ซึ่งเห็นด้วยในการจัดระเบียบ แต่ไม่เห็นด้วยในการนำกลับไปเข้าระบบ ขึ้นทะเบียนเป็นยาเสพติด เพราะมันไม่ใช่ ยาเสพติดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

ก่อนหน้าเคยไปใช้ชีวิตอยู่แคนาดามากว่า 10 ปี ได้ศึกษาเรียนรู้ วิธีการปลูก ผสม แปรรูป การสร้างโรงเรือนเพาะ ทั้งระบบปิด และระบบเปิด จากต่างประเทศมาหลายประเทศ และมีความรู้เกี่ยวกับกัญชา เรียกได้ว่าเป็นกูรูได้คนหนึ่ง ตอนนี้ได้กลับมาทำธุรกิจ เกี่ยวกับร้านอาหาร ร้านขายกัญชา และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกัญชา อย่างเต็มตัว พึ่งเปิดร้านนี้มาได้ 5 เดือน ลงทุนทำธุรกิจไปกว่า 5 ล้านบาทแล้ว มีใบอนุญาตถูกต้องจากกระทรวงสาธารณสุขหมด ส่วนใหญ่สายพันธุ์ต้นกัญชาที่ดี มาจากประเทศอเมริกา แคนาดา และโซนยุโรปประเทศเนเธอร์แลนด์

วันนี้ยังถือว่าประเทศเราพึ่งเริ่มต้นเริ่มเดินเรียนรู้เองในเรื่อง กัญชา การผลิตเพาะปลูกแยกสายพันธุ์ต่อ 1รอบมันต้องใช้เวลา 1 ปี เรายังไม่นิ่งเรื่องสายพันธุ์ เพราะพึ่งเปิดปลดล็อคให้มันถูกกฎหมาย เรากำลังพัฒนาเรียนรู้สายพันธุ์กัน กลับมาถูกบล็อกอีกถือเป็นการปิดโอกาสอย่างมาก แทนที่จะผลักดัน ส่งเสริมให้ความรู้ ดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกไปยังต่างประเทศเลยจะดีกว่า

หนึ่งในประเด็นหลักกระแสของ “กัญชา” ที่ทางสังคมพูดถึงกันอย่างกว้างขวางเป็น Talk of the town (ทอล์คออฟเดอะทาวน์) ที่ร้อนแรงมาคู่ขนานพร้อมกับการจัดตั้งรัฐบาล คงหนีไม่พ้นเรื่องของ กัญชา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดใหม่นี้ด้วย เพราะเป็นหนึ่งในนโยบายหลัก ของการที่จะนำพืช กัญชา กลับเข้าสู่ระบบบัญชี รายชื่อ ให้เป็นประเภทของยาเสพติดเหมือนเช่นเดิม

จากความคิดส่วนตัวของผมที่คลุกคลีมีความชำนาญด้านกัญชามานาน หากมองในมุมมองสากลของโลก จริงๆ มีหลายประเทศมากที่เขาทำกัน ทำให้ถูกต้องและจัดระเบียบกันได้ ซึ่งวันนี้มันเกิดสุญญกาศ ทางการเมืองอยู่เลยเกิดปัญหาต่างๆเยอะมาก มีข้อแนะนำฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ ให้ออกกฎข้อบังคับ จัดระเบียบเข้ามากันก่อน ทดลองสร้างระเบียบร่วมกัน สุดท้ายมันจะควบคุมให้เป็นระบบ และมีมาตรฐานเป็นระเบียบร่วมกันได้

อย่างที่บอก ผมมีความตั้งใจเปิดร้านทำธุรกิจด้าน กัญชานี้ขึ้นมา ก็ต้องอยากทำให้มันถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง ทุกขั้นตอนในระบบอยู่แล้ว ไม่อยากเป็นเหยื่อกับนโยบายที่ผิดพลาด ควรหันกลับมาทบทวนหาข้อดี ข้อเสีย มานั้งคุยกับผู้ประกอบการและชาวบ้านดู มาหาทางออกใหม่ร่วมกัน อย่าพึ่งดึงพืช กัญชา กลับไปเป็นยาเสพติดเหมือนเดิมเลย

กัญชา วีธีใช้ที่ปลอดภัยสุด คือ การสูบ ไม่ใช่การนำไปกิน การกินเป็นอะไรที่อันตรายมาก เพราะใช้เวลาในการออกฤทธิ์ค่อนข้างนานและเสี่ยง การใช้สูบ 5-10 นาที ออกฤทธิ์เลย ร่างกายจะเป็นตัวบอกผลแสดงออกให้พอเอง แต่การกินกว่าจะออกฤทธิ์ เป็นชั่วโมง คนส่วนใหญ่ที่จะโอเวอร์โดส (overdose )(คือการใช้เกินขีดจำกัดของร่างกาย) มาจากการกิน เพราะไม่รู้ว่าร่างกายพอหรือยัง ก็จะกินเข้าไปเรื่อยๆ พอถึงเวลามันออกฤทธิ์มา จึงเกิดโอเวอร์โดส (overdose) มากเกินไป อย่างบางประเทศ เขาจะระบุผลิตภัณฑ์ปริมาณสาร กัญชา เอาไว้เลยอย่างชัดเจน มีระดับความแรงอยู่ที่ 1 ถึง 5 ดาว เข้าใจกัน แค่เราออกกฎหมายจัดระเบียบ ควบคุมให้ชัดเจน ว่าใครใช้ได้ ใครขายได้ ใครใช้ได้แค่ไหน แม้จะใช้สันทนาการ ผมมองว่ามันก็คือการรักษาด้วย

ปัญหาหลักเรื่องของ กัญชา จริงๆแล้วมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ผู้ประกอบการหรือร้านขาย เพราะเขาถูกควบคุมโดยหน่วยงานรัฐอยู่แล้ว ส่วนปัญหาทางสังคมจริงๆ คือ เด็กและเยาวชน เข้าถึงกัญชาได้ง่าย พอมันถูกดึงนำออกจากประเภทบัญชีของยาเสพติดแล้ว กลายเป็นว่าทุกคนสามารถครอบครองได้ จะเกิดมุมไหนส่วนไหน ขึ้นมาก็ได้ของประเทศ นี้คือจุดที่ต้องโฟกัสควบคุมเข้มให้ถูกจุดกันมากกว่า

ประเทศไทยก็มีรายได้หลักส่วนหนึ่งเข้ามาจากการท่องเที่ยว และขึ้นชื่อเป็นประเทศของการเกษตร เมื่อเราได้คนรุ่นใหม่มาเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมคนรุ่นใหม่มองเห็นโลก มองเห็นนวัตกรรมอะไรใหม่ๆก็ดี คิดว่าน่าจะมีทางออกร่วมกันที่ดีทุกฝ่าย ทั้งผู้ประกอบการ และเกษตรกรด้วย เราสามารถผลักดันพืช กัญชา ให้เป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกได้เป็นอย่างดี คนไทยเป็นคนเก่ง มีความสามารถด้านการเกษตรสามารถพัฒนาสายพันธุ์ต่อยอด ช่อ ดอก สู้ตลาดโลกของต่างประเทศได้อยู่แล้ว แต่เราโดนปิดกั้นเรื่องข้อกฎหมายมานานจึงทำอะไรมากไม่ได้

วันนี้หากพืช กัญชา จะกลับเข้าระบบเป็นประเภทของยาเสพติดอีกครั้ง ก็จะมีคำถามมากมายกลับมา ใครจะได้ประโยชน์ ใครเสียผลประโยชน์กัน อันที่จริงพืช กัญชา ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยหายากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะถูกหรือผิดกฎหมายมันหาได้ง่ายมาตลอด ซึ่งการที่หยิบเอามันขึ้นมาให้ถูกกฎหมาย ผมมองว่ามันสามารถจัดระเบียบ ควบคุม ออกข้อบังคับทำได้อย่างถูกกฎหมาย ดีกว่าให้มันผิดกฎหมายหมดทุกด้าน

อยากได้ความชัดเจนของรัฐบาลชุดใหม่ ทั้งเรื่องของกฎหมายและการควบคุมให้เข้มถูกจุด จัดระเบียบให้ดี ซึ่งพื้นฐานของกฎหมายที่มีอยู่แล้ว มันก็ดีอยู่แล้ว แค่ออกกฎให้เพิ่มความเข้มขึ้น การครอบครอง ปริมาณ และการใช้ ต้องให้ความรู้มากขึ้น เราสามารถจัดระเบียบได้ การใช้กัญชา ถือเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งด้วย ซึ่งต้องใช้ปริมาณขนาด ให้ถูกของแต่ละช่วงวัยตามความเหมาะสม

มติชน
26พค2566

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
นครราชสีมา ผู้ประกอบธุรกิจกัญชา หวั่นได้รับผลกระทบ MOU พรรคร่วม ดันกัญชาคัมแบ็กบัญชียาเสพติด วอนรัฐบาลใหม่เห็นใจ ลงทุกนับล้าน หากเลี่ยงไม่ได้ช่วยเยียวยาด้วย

26 พ.ค. 66 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกล ได้มีการทำ MOU ลงนามข้อตกลงร่วมกัน ในการขับเคลื่อนนโยบายบริหารประเทศ มีทั้งหมด 23 ข้อ

และ 1 ใน 23 ข้อ มีนโยบายนำกัญชากลับไปเป็นสิ่งเสพติด ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคก้าวไกล ซึ่งหลังจาก MOU ถูกประกาศออกมา ทำให้บรรดาผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับกัญชารู้สึกเป็นกังวล ว่าจะได้รับผลกระทบกับนโยบายข้อนี้

เพราะตั้งแต่มีการปลดล็อกกัญชาออกมา เจ้าของธุรกิจหลายรายได้ลงทุนประกอบกิจการไปเป็นจำนวนมาก ทั้งเรื่องการจัดซื้อจัดหาเมล็ดพันธุ์ ไปถึงเรื่องโรงเรือนสำหรับปลูกกัญชา

นายอนันต์ ไตรรงค์ อายุ 38 ปี ผู้จัดการร้าน “สโตนเนอร์” เลขที่ 420 ถ.เดชอุดม ซ.6 ต.หนองไผ่ล้อม อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ตนเปิดร้านมากว่า 10 เดือนแล้ว ตั้งแต่มีการปลดล็อกกัญชา และปลดล็อกมาตรการป้องกันโควิด-19 ทางร้านมีการจดทะเบียนกับทางสาธารณสุขฯ ไว้อย่างถูกตามกฎหมายทุกขั้นตอน

แต่นโยบายที่จะนำกัญชากลับเข้าไปเป็นสิ่งเสพติดตาม MOU พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้มีการประกาศออกมา ตนรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก เพราะลงทุนไปกับร้านไปเป็นจำนวนมาก ทั้งเมล็ดพันธุ์กัญชา โรงเรือนที่ใช้ปลูกกัญชา และการตกแต่งร้าน รวมมูลค่าเกือบ 1 ล้านบาท

โดยส่วนตัวแล้ว ไม่เห็นด้วยกับการนำกัญชากลับไปเป็นสิ่งเสพติด หรือจะมีการสั่งยกเลิกธุรกิจเกี่ยวกับกัญชา จึงอยากเสนอไปยัง ว่าที่รัฐบาลใหม่ ให้เน้นไปที่เรื่องข้อกฎหมายหรือข้อบังคับที่จะนำมาใช้ควบคุมกิจการกัญชาจะดีกว่า เพื่อจะได้ไม่ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการธุรกิจกัญชาที่ลงทุนไปแล้ว

แต่หากมีความจำเป็นหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะต้องนำกัญชากลับไปเป็นสิ่งเสพติดผิดกฎหมายจริงๆ ก็อยากให้รัฐบาลใหม่หามาตรการการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวด้วย

ซึ่งตนคิดว่าทางที่ดีที่สุด ก็คือภาครัฐและผู้ประกอบการควรหารือแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพราะรัฐบาลเคยทำให้กัญชาถูกฎหมายมาแล้ว แล้วอยู่ดีๆจะดึงกลับไปผิดกฎหมายเหมือนเดิม ตนไม่เห็นด้วย” นายอนันต์ฯ กล่าว

ข่าวสด
26 พ.ค.66

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. นายเดชา ศิริภัทร ผู้ก่อตั้งมูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี ปราชญ์ชาวนา หมอพื้นบ้าน เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา ได้โพสต์ข้อความระบุว่า วันนี้​นักข่าวจากมติชน​ เดินทางมาสัมภาษณ์​ผม​ ในฐานะหมอพื้นบ้านที่ใช้กัญชา เขาถามว่าถ้ารัฐบาล​ชุด​ใหม่​เอากัญชาเข้าบัญชี​ยาเสพติดอีก​ จะทำอย่างไร ผมเล่าให้เขาฟังว่าเมื่อปี​ 2562​ กัญ​ชา​ยัง อยู่​ในบัญชี​ยาเสพติด​ ผมเดินรณรงค์​ 20​ วัน

เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล​เอากัญชา​ออกจากบัญชี​ยาเสพติด​ มีผู้มาร่วมเดินด้วยมากมาย จำได้ว่าคุณ​ พิธา ลิ้ม​เจริญ​รัตน์​ ก็มาร่วมเดินรณรงค์​กับผม และได้ปราศรัย​กับผู้ร่วมเดิน ว่าเป็นหนี้บุญคุณ​กัญ​ชาที่ทำให้หายจากโรคลมชัก​ จึงเห็นด้วยในการเดิน​รณรงค์​รั้งนี้

แต่ถ้าปีนี้คุณ​ พิธา​ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี​ แล้วเอากัญชากลับเข้าบัญชี​ยาเสพติด​อีก ผมก็จะเดินรณรงค์​ เพื่อเอากัญชาออกจากบัญชี​ยาเสพติด​อีกครั้ง และผมเชื่อว่า​ ครั้ง​นี้คุณ​ พิธา​ คงไม่มาร่วมเดินกับผมอีกอย่างแน่นอน

แต่ประชาชนคนไทยที่จะมาเดินกับผม​ คงมีมากกว่าปี​ 2562​ หลายเท่า​ ผมเชื่ออย่างนั้น

เดลินิวส์
26 พ.ค.2566