ผู้เขียน หัวข้อ: อธิบดีกรมอนามัย ขออย่าเพิ่งตัดสิน ปมข่าวพยาบาลศูนย์อนามัย “ตัดพ้อชีวิตราชการ”  (อ่าน 331 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
อธิบดีกรมอนามัย ขออย่าเพิ่งตัดสิน ปมข่าวพยาบาลศูนย์อนามัย ‘ตัดพ้อชีวิตราชการ’ ให้รอข้อเท็จจริงก่อน เผยทีมดูแลจิตใจให้การดูแลแล้ว ยืนยันมีหน่วยรับเรื่องร้องทุกข์

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ภายในงานเปิดตัว “77 สถานประกอบการ สาวไทยแก้มแดง” นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพยาบาลที่ศูนย์อนามัยแห่งหนึ่งเขียนจดหมาย พร้อมโพสต์เฟซบุ๊กสั่งเสียชีวิตข้าราชการ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมก่อนจะทำร้ายตัวเอง แต่สามารถช่วยเหลือได้ทัน ว่า ก่อนอื่นต้องขอเป็นกำลังใจ ส่วนการดูแลพยาบาลท่านนี้ ล่าสุดหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหน่วยงานจิตเวชในพื้นที่ได้ร่วมกันเข้าไปดูแลพยาบาล และครอบครัวแล้ว ซึ่งขณะนี้ปลอดภัย มีคนคอยดูแล สิ่งที่เกิดขึ้นต้องใช้เวลา จะมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่านเพื่อให้สภาพจิตใจดีขึ้น

นพ.สุวรรณชัยกล่าวอีกว่า อยากขอให้สื่อมวลชนช่วยกันสื่อสารเรื่องนี้อย่างเข้าใจ เพราะเมื่อเราใช้ชีวิตในสังคม ไม่ว่าจะในบ้าน หรือสังคมเราย่อมต้องเผชิญความเครียด ที่มากระทบกับเรา จึงต้องมีกลไกในการรับมือ ซึ่งทุกครั้งจะมีทางออก เราต้องส่งเสริมทางออกอย่างสร้างสรรค์ และช่วงนี้อย่าเพิ่งไปตัดสินหรือบอกว่า เหตุการณ์เป็นแบบไหน อย่างไร ขอให้รอกระบวนการผู้เชี่ยวชาญเข้าไปสอบถามก่อน เพื่อนำประเด็นที่เกิดขึ้นมาป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก สิ่งที่เป็นห่วงคือ พฤติกรรมการเลียนแบบ ขอให้สังคมอย่าไปตำหนิ (blame) ผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด

ผู้สื่อข่าวถามว่าปกติหน่วยบริการ หรือแม้แต่ศูนย์อนามัยจะมีจุดรับเรื่องร้องทุกข์ให้บุคลากรหรือไม่ นพ.สุวรรณชัยกล่าวว่า มีกลไกอยู่ทุกหน่วย ที่กรมก็มีเช่นกัน เป็นนโยบายของรัฐบาล ของกระทรวง และของกรมมีหมด โดยจะมีจุดรับเรื่องราวร้องทุกข์ ร้องเรียนต่างๆ รวมไปถึงเมื่อมีเรื่องราวเกิดขึ้นจะมีระบบราชการในการแก้ไขจัดการ แต่เรื่องนี้มีเรื่องคดีเข้ามา ดังนั้น ต้องให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการให้ครบถ้วน แต่รูปคดีอาจไม่ได้ซีเรียสมาก มีปัจจัยอื่นๆ ด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่าต้องมีการกำชับไม่ให้มีการบูลลี่หรือคุกคามใดๆ หรือไม่ นพ.สุวรรณชัยกล่าวว่า เรายังไม่ทราบว่า เรื่องนี้สรุปเป็นอย่างไร แต่หากพูดถึงปัญหาการบูลลี่ เป็นเรื่องกระทรวงสาธารณสุขมีการรณรงค์ตลอดว่า การบูลลี่ไม่ใช่ทุกคนจะรับได้ ดังนั้น ไม่ควรมีการทำลักษณะนี้ หลายคนอาจมองเป็นเรื่องปกติ แต่จริงๆ ไม่ใช่ ดังนั้น แต่ละคนแต่ละบริบทแตกต่างกันไป ขณะนี้ได้กำชับหน่วยงานในสังกัดให้ช่วยกันอยู่อย่างเข้าใจ แต่ขออย่าไปพูดว่าใครถูกใครผิด เพราะยังไม่ได้สรุป

“เราควรสื่อสารแบบเข้าใจดีกว่า ที่สำคัญท่านนายกรัฐมนตรี ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ สธ.รับทราบเรื่องนี้ โดยมีความห่วงใย พร้อมทั้งกำชับให้ดูแลพยาบาลให้ดีที่สุด และให้ดูแลปัญหาอื่นๆ ที่ตามมา ที่สำคัญต้องดูแลอย่างเป็นธรรม” นพ.สุวรรชัยกล่าว

มติชน
22กพ2566

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
จากกรณีที่พยาบาลสาวประจำห้องคลอดของศูนย์อนามัยที่ 1โพสต์ตัดพ้อ ถูกเพื่อนร่วมงานกลั่นแกล้ง และไม่มีผู้ใหญ่ช่วย ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาใครแล้ว ยอมถอยขอจบชีวิต โดยได้เขียนจดหมาย ความยาวเต็มหน้ากระดาษ A4 ด้วยลายมือตัวเองตัดพ้อชีวิต ก่อนโพสต์ลงเฟซบุ๊ก
 
ซึ่งภายในกระดาษได้เขียนขอโทษพ่อและแม่ ที่ตัวเองไม่อาจจะตอบแทนพระคุณพ่อแม่ได้ พยายามเข้มแข็งที่สุดแล้ว ชาวเน็ตขอเร่งตามหาหวั่นไม่ทันกาลเพราะอ่านจากโพสต์แล้วน่าเป็นห่วงมาก ก่อนในเวลาต่อมาทราบข่าวว่ามีคนเข้ามาช่วยไว้ได้ทันเวลาและปลอดภัยแล้ว   

ล่าสุดได้มีผู้ใช้ TikTok บัญชีชื่อว่า herenoomhardman ได้ออกมาโพสต์คลิป ระบุว่า ความจริงเรื่องนางพยาบาลเชียงใหม่คิดฆ่าตัวตาย​ ep.01

โดยหนุ่มรายนี้ ได้บรรยายว่า

จากกรณีที่มีพยาบาลคนหนึ่งที่เชียงใหม่ คิดสั้นจะฆ่าตัวตาย คุณอยากรู้ไหมครับว่าเรื่องจริงคืออะไร ผมจะพูดเรื่องจริงทั้งหมดเลยว่าเรื่องนี้เป็นมายังไงครับ และไม่ต้องถามนะครับว่าผมกับนางพยาบาลคนนั้นเป็นอะไรกัน เอาเป็นว่าเราเป็นคนรู้จักกัน และพูดคุยกันได้ทุกเรื่องครับ

น้องพยาบาลคนนั้นมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานจริงครับ เพราะน้องไม่ได้ถูกกับหัวหน้าห้องลอด ทำไมหัวหน้าห้องคลอดไม่ยอมบอกล่ะครับว่าเขามีปัญหากับคุณ และนั่นก็เป็นปัญหาส่วนตัว เป็นเรื่องของก๊กทุกที่มันมีกันหมดแหละ ใครเด็กมึง มึงเด็กกู คนนั้นคนนี้ เอาเป็นว่าเรื่องระหว่างส่วนตัวของคุณผมจะไม่ยุ่งก็แล้วกัน แต่ให้รู้ว่ามีปัญหากันจริง

เรื่องบูลลี่นี่มันเป็นเรื่องในอดีต ปัจจุบันไม่มีแล้ว แต่มันเป็นเรื่องปมในใจ ที่น้องโดนล้อว่าไม่ลืมตาหรืออะไรอย่างงี้ อันนี้คือเรื่องจริง  พอมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานมากเข้า ไม่กินเส้นกัน หลังจากนั้นมันก็มีเรื่องที่ มีคนคนนึงที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาล ตำแหน่งพัสดุ น่าจะหัวหน้าพัสดุก็แล้วกัน เค้าให้แฟนเค้า ซึ่งในโรงบาลก็รู้อยู่แล้วนะว่าเป็นตัวจี๊ด เป็นหัวโจก คนในโรงบาลรู้ดี ว่าผู้ชายคนนี้เวลามีอาการมึนเมา ชอบทำเสียงดังโวยวายประหนึ่งแบบผู้มีอำนาจนะครับ เดี๋ยวคุณกับผมเจอกันหน่อย

หัวหน้าพัสดุ วันดีคืนดีก็ให้แฟนเขาคนนี้ ไปขนรถ จยย. ของน้องแป้งนะครับ  โดยพัสดุคนนี้อ้างว่าจะเอารถไปตรวจสอบเพราะจอดมานานแล้ว และแฟนคนนี้ก็ทำงานอยู่ที่ สรรพสามิตเชียงใหม่ ก็มีการพูดคุยกันอยู่นานกว่าจะได้เรื่อง วงจรปิดที่เอาไปแจ้งความกับตำรวจ โรงพยาบาลไม่ได้ออกให้เลยแม้แต่รูปเดียว กลับไปได้กล้องวงจรปิดจากบ้านพักพนักงานในโรงพยาบาลแทน น้องไปขอกล้องก็ว่าหาย กู้ไม่ได้

หลังจากนั้นที่แป้งบอกเธอโดนข่มขู่เนี่ย ก็เป็นเรื่องจริง โดยมีรถซึ่งเราดูทะเบียนและน่ะมันใช่เลย  แต่เราไม่พูดตรงนี้ก็แล้วกันนะครับว่าเป็นรถของใคร คอยขับมาประกบ แล้วก็ผู้หญิงตัวคนเดียวคุณก็ลองคิดดูก็แล้วกัน  หลังจากนั้นครับโรงพยาบาลก็ช่วยเหลือน้องแป้งพอสมควร โดยให้ขึ้นเวรเช้าเท่านั้น แล้วก็ให้เป็นที่พักพิเศษ

แต่ที่พักพิเศษมันก็อยู่ในโรงบาล มันจะไปปลอดภัยได้ไงอะ แต่ให้เวรแค่เดือนกว่าๆ ตอนนี้เค้ากลับมาให้น้องแป้งขึ้นเวรกลางคืนอีกแล้วครับ แล้วน้องแป้งรู้สึกไม่ปลอดภัย เค้าเป็นคนที่คิดเยอะนะครับ สุดท้ายน้องคิดมาก ก็เลยคิดอยากจะปลิดชีวิตตัวเองครับ

Thainewsonline
22กพ2566

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
ผอ.ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ ชี้แจงอีกมุม หลังมีดราม่าพยาบาลสาวโดนบูลลี่ เขียนจดหมายระบาย พยายามทำร้ายตัวเอง แต่เพื่อนช่วยทัน

วันที่ 21 ก.พ. 2566 จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งเป็นพยาบาลประจำห้องคลอดของศูนย์อนามัยที่ 1 ได้มีการเขียนจดหมาย ความยาวเต็มหน้ากระดาษ A4 ด้วยลายมือตัวเองก่อนโพสต์จดหมายตัดพ้อลงเฟซบุ๊ก โดยภายในกระดาษได้เขียนขอโทษพ่อและแม่ ที่ตัวเองไม่อาจจะตอบแทนพระคุณพ่อแม่ได้ พยายามเข้มแข็งที่สุดแล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมายในชีวิตลูก พยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น แต่ปัญหาครั้งนี้มันหนักหนาจริงๆ ทั้งปัญหาเรื่องรถ และปัญหากับผู้ใหญ่ในหน่วยงาน

ความคืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ ซึ่งทางแพทย์หญิง นงนุช ภัทรอนันตนพ ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่และหัวหน้างานของพยาบาลสาวคนดังกล่าว ได้แถลงชี้แจงว่า จดหมายและข่าวที่เผยแพร่ออกไปนั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยเหตุการณ์ที่พยาบาลสาววัย 32 ปีจะกระโดดชั้น 2 ตึกคลอดของโรงพยาบาล เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.30 น. วานนี้ (20 ก.พ.) ซึ่งเพื่อนร่วมงานเห็นก่อน จึงเข้าไปช่วยห้ามและปลอบโยนจนมีสติ ก่อนจะมีการส่งต่อไปรักษาอาการที่โรงพยาบาลสวนปรุง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางเรานั้นไม่ได้นิ่งนอนใจ ที่ผ่านมากรณีรถจักรยานยนต์น้องหายนั้น หลังพยาบาลสาวไปแจ้งความที่ สภ.เมือง ทางเราก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนคู่กรณี และให้คู่กรณีย้ายออกจากที่พักไปอยู่ด้านนอกโรงพยาบาลแล้ว เพราะพยาบาลสาวมีความกังวลความปลอดภัยและถูกคุกคาม

พร้อมกันนี้ก็ได้มีการย้ายเวรจากเดิมที่เคยเข้าเวรดึก ก็ได้เปลี่ยนเวรให้มาเข้าเวรลอยเช้าแทน เพื่อความสบายใจ ส่วนเรื่องที่พยาบาลสาวโพสต์ว่ามีปัญหากับผู้หลักผู้ใหญ่และถูกเพื่อนร่วมงานบูลลี่นั้น ตนได้สอบถามเจ้าหน้าที่ทุกคนแล้วว่าไม่มีใครบูลลี่พยาบาลสาวเลย ทุกคนทำงานร่วมกันได้ ส่วนการทำเรื่องขอย้ายนั้น ทางเราก็ได้ทำเรื่องให้ อยู่ระหว่างการพิจารณาและหาแผนกให้กับพยาบาลสาวคนดังกล่าว แต่ก็มาเกิดเรื่องนี้ก่อน

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทางเราได้นำตัวพยาบาลสาวคนนี้ไปรักษาอาการทางจิตใจของตัวเองและดูแลครอบครัวของพยาบาลสาวก่อน หลังจากที่สภาพจิตใจดีขึ้นคงจะมาพูดคุยหาทางออกกันอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุ

ด้าน นางประดับ สังข์ผลิพันธ์ พยาบาลหัวหน้าห้องคลอด ของศูนย์อนามัยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้างานของพยาบาล เปิดเผยว่า พยาบาลคนนี้มาทำงานที่นี่ 3 ปีแล้ว ปกติเธอเป็นคนทำงานดี ไม่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานคนไหน กระทั่งเกิดปัญหาเรื่องรถจักรยานยนต์หาย ก็เริ่มมีอาการเครียด และไม่ค่อยพูด มีปัญหาอะไรก็จะลงไปกับการทำงาน กระทั่งเมื่อวานนี้ หลังจากออกเวร 08.00 น. เกิดเรื่องขึ้น แต่ช่วยเอาไว้ได้ ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน แต่จดหมายที่ถูกนำไปโพสต์ในโซเชียลนั้น ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คิดว่าพยาบาลคนนี้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งตอนนี้ปลอดภัยดี และทางศูนย์อนามัยที่ 1 ดูแลอยู่รวมถึงครอบครัวด้วย.

ไทยรัฐ
21กพ2566

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในขณะนี้ จากกรณีของ พยาบาลประจำห้องคลอดของศูนย์อนามัยที่ 1 ที่ได้เขียนจดหมาย ความยาวเต็มหน้ากระดาษ A4 ด้วยลายมือตัวเองก่อนโพสต์จดหมายตัดพ้อชีวิตลงเฟซบุ๊ก ซึ่งภายในกระดาษได้เขียนขอโทษพ่อและแม่ ที่ตัวเองไม่อาจจะตอบแทนพระคุณพ่อแม่ได้ พยายามเข้มแข็งที่สุดแล้ว 

 "ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมายในชีวิตลูก พยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น แต่ปัญหาครั้งนี้มันหนักหนาจริงๆ ทั้งปัญหาเรื่องรถ และปัญหากับผู้ใหญ่ในหน่วยงาน" ทั้งยังบอกอีกว่า "ให้มันจบที่... ความอยุติธรรมทั้งหลายให้มันจบแค่นี้" ก่อนจะทราบข่าวว่าอยากจากโลกนี้ไปอย่างตั้งใจ แต่ยังถือว่าโชคดีที่มีคนเข้ามาช่วยไว้ได้ทันเวลา   

จากปรประเด็นดังกล่าว ล่าสุดมีรายงานว่า แพทย์หญิง นงนุช ภัทรอนันตนพ ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่และหัวหน้างานของพยาบาลสาวคนดังกล่าว ได้แถลงชี้แจงว่า จดหมายและข่าวที่เผยแพร่ออกไปนั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งเหตุการณ์ที่พยาบาลสาววัย 32 ปีจะกระโดดชั้น 2 ตึกคลอดของโรงพยาบาล เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.30 น. ของวันที่ 20 ก.พ.66 ซึ่งเพื่อนร่วมงานเห็นก่อน จึงเข้าไปช่วยห้ามและปลอบโยนจนมีสติ ก่อนจะมีการส่งต่อไปรักษาอาการที่โรงพยาบาลสวนปรุง

แพทย์หญิง นงนุช เผยต่อว่า "ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางเรานั้นไม่ได้นิ่งนอนใจ ที่ผ่านมากรณีรถจักรยานยนต์น้องหายนั้น หลังพยาบาลสาวไปแจ้งความที่ สภ.เมือง ทางเราก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนคู่กรณี และให้คู่กรณีย้ายออกจากที่พักไปอยู่ด้านนอกโรงพยาบาลแล้ว เพราะพยาบาลสาวมีความกังวลความปลอดภัยและถูกคุกคาม"

 
 และยังได้ระบุต่อไปอีกว่า พร้อมกันนี้ก็ได้มีการย้ายเวรจากเดิมที่เคยเข้าเวรดึก ก็ได้เปลี่ยนเวรให้มาเข้าเวรลอยเช้าแทน เพื่อความสบายใจ ส่วนเรื่องที่พยาบาลสาวโพสต์ว่ามีปัญหากับผู้หลักผู้ใหญ่และถูกเพื่อนร่วมงานบูลลี่นั้น ตนได้สอบถามเจ้าหน้าที่ทุกคนแล้วว่าไม่มีใครบูลลี่พยาบาลสาวเลย ทุกคนทำงานร่วมกันได้ ส่วนการทำเรื่องขอย้ายนั้น ทางเราก็ได้ทำเรื่องให้ อยู่ระหว่างการพิจารณาและหาแผนกให้กับพยาบาลสาวคนดังกล่าว แต่ก็มาเกิดเรื่องนี้ก่อน

 
เบื้องต้นทางเราได้นำตัวพยาบาลสาวคนนี้ไปรักษาอาการทางจิตใจของตัวเองและดูแลครอบครัวของพยาบาลสาวก่อน หลังจากที่สภาพจิตใจดีขึ้นคงจะมาพูดคุยหาทางออกกันอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุ

ขณะเดียวกัน นางประดับ สังข์ผลิพันธ์ พยาบาลหัวหน้าห้องคลอด ของศูนย์อนามัยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้างานของพยาบาล เล่าว่า พยาบาลคนนี้มาทำงานที่นี่ 3 ปีแล้ว ปกติเธอเป็นคนทำงานดี ไม่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานคนไหน กระทั่งเกิดปัญหาเรื่องรถจักรยานยนต์หาย ก็เริ่มมีอาการเครียด และไม่ค่อยพูด มีปัญหาอะไรก็จะลงไปกับการทำงาน

 
กระทั่งหลังจากออกเวร 08.00 น. เกิดเรื่องขึ้น แต่ช่วยเอาไว้ได้ ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน แต่จดหมายที่ถูกนำไปโพสต์ในโซเชียลนั้น ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คิดว่าพยาบาลคนนี้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งตอนนี้ปลอดภัยดี และทางศูนย์อนามัยที่ 1 ดูแลอยู่รวมถึงครอบครัวของพยาบาลสาวด้วย

เรื่องราวโดย Thainewsonline
22 กพ 2566