ผู้เขียน หัวข้อ: พ่อแม่ ด.ช.3ขวบ คาใจ รพ.ตรวจไม่ละเอียด จี้แจงเหตุลูกเสียชีวิต หลังแพทย์วินิจฉัย  (อ่าน 121 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9755
    • ดูรายละเอียด
แทบขาดใจ พ่อแม่พาลูก 3 ขวบไป รพ.เอกชน เริ่มจากอาการไข้หวัด สุดท้ายสิ้นใจ จี้ชี้แจง หลังแพทย์วินิจฉัยไม่เหมือนกัน
เมื่อวันที่ 31 มกราคม จากกรณีที่มีเพจเฟซบุ๊กชื่อ อยากดังเดี๋ยวจัดให้รีเทริน์ part 6 ได้โพสต์เรื่องราวร้องเรียนให้ตรวจสอบ เหตุครอบครัวหนึ่งในสระบุรีสูญเสียลูกชาย โดยผู้ปกครองยังคาใจว่า ต้องสูญเสียลูกไปเพราะตรวจไม่ละเอียดหรือไม่

หลัง “น้องไฮเทค” อายุ 3 ขวบ ป่วยเป็นไข้หวัด อาการหวัดหายไปแล้ว 2-3 วัน ต่อมามีอาการซึม มีไข้อ่อนๆ หายใจหอบ แม่จึงพาไปโรงพยาบาล หมอแจ้งว่า มีอาการหลอดลมอักเสบ พ่นยาแล้วกลับบ้าน (ได้ถามหมอแล้วว่า อาการปอดติดเชื้อ กับหลอดลมอักเสบเหมือนกันไหม หมอแจ้งว่า อาการคล้ายกัน น้องไม่เป็นไรมาก จึงไม่เอกซเรย์ปอด ต้องรอให้หนักก่อนถึงจะเอกซเรย์) ทว่าพอตกดึกน้องมีอาหารหอบหนักขึ้น นำส่ง รพ.อีกครั้ง ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยหมอแจ้งสาเหตุการเสียชีวิตว่าเป็นปอดอักเสบ ทำให้ผู้ปกครองคาใจว่าทำไมตอนเช้าไม่ให้แอดมิตหรือดูอาการ หมอแจงว่าไม่ทราบ เพราะคนละเวรกัน

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยัง วัดเขาน้อย หมู่ 6 ต.ห้วยขมิ้น อ.หนองแค จ.สระบุรี ซึ่งบรรยากาศภายในวัด มี ปู่ ย่า ตา ยายและลุงป้าน้า อา ร่วมทั้งญาติพี่น้อง ของ ว่าที่ ร.ต.ปริญญา บาศรี อายุ 27 ปี และ ว่าที่ ร.ต.หญิง พัชญาวีร์ ภู่สุข อายุ 25 ปี สองสามีภรรยา ต่างทยอยมาร่วมฟังพระสวดอภิธรรมเป็นคืนสุดท้าย ของน้องไฮเทค หรือ ด.ช.วรายุทธ บาศรี อายุ 3 ปี

โดยคุณตาของน้องไฮเทค ได้พูดคุยกับรูปภาพของหลานชายด้วยความเสียใจกับการจากไปของหลายชายอันเป็นที่รัก พร่ำบอกกับหลานว่า ขอให้หลานรับรู้ไว้ว่าพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ยังรักและคิดถึงอยู่เสมอ และยังมีลุงๆป้าๆมาหานะ รู้สึกใจหายกับการจากไปของหลานชายและหากชาติหน้ามีจริง ก็ขอให้เกิดมาเป็นตาหลานกันอีกนะ

นอกจากนี้ที่หน้าโต๊ะหมู่ ยังมีของเด็กเล่นของน้องไฮเทค เป็นตุ๊กตาสุนัข รถเด็กเล่นคันเล็กและรถเด็กเล่นคันใหญ่ ที่น้องไฮเทคชอบเล่นอยู่เป็นประจำ

ว่าที่ ร.ต.หญิง พัชญาวีร์ ภู่สุข และ ว่าที่ ร.ต.ปริญญา บาศรี แม่และพ่อของน้องไฮเทค ได้เล่าการรักษาของหมอโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี พร้อมกับนำขวดยาและใบมรณบัตร มาแสดงถึงข้อกังขาคาใจ ว่า ช่วงเช้ามืดวันที่ 29 น้องมีอาการตัวร้อนรุมๆ แล้วก็หายใจเหนื่อยหอบ มีอาการเซื่องซึม ก็เลยปรึกษากันกับสามีว่า เดี๋ยวประมาณสัก 08.00 น. จะพาลูกไปหาหมอกัน จะได้เจอแพทย์เฉพาะทาง ก็พาน้องไปช่วง 14.30 น. ไปหาหมอที่โรงพยาบาลเค้าบอกน้องมีอาการหอบ เขาก็วัดนู่นนี่นั่นของเค้า ก็คือให้น้องไปตรวจ ATK เพื่อที่จะได้พ่นยา น้องพ่นยาประมาณเที่ยงครึ่ง พอพ่นยาเสร็จแล้วเค้าก็นัดให้มาดู ว่าหลังจากพ่นยาแล้วเป็นไง เขาก็วินิจฉัยว่าน้องเป็นหลอดลมอักเสบ ก็เลยถามเขาว่าระหว่างหลอดลมอักเสบกับปอดติดเชื้ออาการคล้ายกันหรือเปล่าคะ เพราะหนูก็ไปศึกษามา

“คุณหมอบอกว่าน้องไม่ได้เป็นมาก เป็นมากถึงจะให้เอกซเรย์ ก็เลยให้ยามากิน ให้ดูอาการ แล้วน้องก็กลับบ้าน เพราะคุณหมอบอกน้องไม่ได้เป็นอะไรมาก พอน้อง กลับมาดูอาการที่บ้านน้องก็กินยาตามที่คุณหมอสั่งมา น้องก็นอน กินข้าว กินน้ำ ตั้งแต่กลับมา อาการน้องทรงตัวมาจากโรงพยาบาล ตั้งแต่กลับมาก็คอยสังเกตลูกอยู่ตลอด แต่เราก็เห็นคุณหมอยังไม่ให้นอน ดูอาการก็คิดว่าคงยังไม่เป็นอะไร”

ต่อมาช่วงตี 1 น้องเกิดอาการหายใจหอบ แบบหอบมาก ก็เลยปลุกพ่อเค้าเพื่อไปโรงพยาบาล พอไปโรงพยาบาลหนูเลยอุ้มลูกเข้าห้องฉุกเฉิน คุณหมอถามว่าน้องเคยมีอาการแบบนี้มาก่อนไหม ก็บอกน้องไม่เคยมีอาการอะไรเลยค่ะ น้องไม่เคยเป็นโรคหอบ แล้วคุณหมอถามว่าทำไมปล่อยให้อาการน้องหนักขนาดนี้ มาหาหมอคืออาการหนักมาก

ก็เลยบอกว่าหนูมาแต่เช้าแล้ว แต่คุณหมอเฉพาะทางให้กลับบ้าน บอกน้องไม่ได้เป็นเยอะ ถ้าเป็นเยอะค่อยมาใหม่อีกรอบ ถ้าเป็นเยอะเค้าถึงเอกซเรย์ปอดให้ รอบแรกให้พ่นยา และให้ยาตามอาการ รอบสองพ่นยาและให้ออกซิเจน แล้วก็ให้ญาติออกมารอข้างนอก แล้วคุณหมอก็เดินมาบอกว่าหัวใจน้องหยุดเต้น

แม่น้องไฮเทคเล่าต่อว่า คุณหมอพูดว่าโอกาสสูงมากที่น้องจะเสียชีวิต เพราะน้องมาถึง น้องก็ออกซิเจนในเลือดต่ำ แล้วคุณหมอก็เดินเข้าห้องไป ตอนนั้นช็อกมาก ทำใจไม่ได้ที่เขาพูดมา เพราะว่าก่อนที่จะออกมาจากห้องฉุกเฉิน ลูกยังลืมตาดูเราอยู่เลย เราก็บอกกับลูกว่าเดี๋ยวแม่มารับนะ น้องก็มองเหมือนเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย ก็คือเราออกมารอแล้วคุณหมอก็เรียกเข้าไป อีกรอบหนึ่ง ก็คือน้องไม่ตอบสนองแล้ว ปั๊มหัวใจไม่ขึ้นแล้ว ตาลอย ก็คือทำใจไม่ได้เห็นลูกในสภาพนั้น ไม่กล้ามองลูกเลย สุดท้ายน้องก็เสียชีวิต จากการวินิจฉัยของแพทย์ก็คือน้องเป็นปอดอักเสบ

ซึ่งในความเป็นจริงคุณหมอควรให้น้องแอดมิตนอนดูอาการ น่าที่จะแนะนำให้ดีกว่านี้ น่าจะดูว่าลูกเรามันหนักแล้ว เพราะการวินิจฉัยแพทย์ตั้งแต่เช้า กับตอนอีกรอบหนึ่งมันคือแตกต่างกันเลยและอาการน้องก็ทรุด

ตอนนี้ทางโรงพยาบาลยังไม่มีการเข้ามาพูดคุย แค่ลงสาเหตุการตายว่าปอดอักเสบแค่นั้น อยากให้เขาออกมารับผิดชอบ อยากให้ออกมาชี้แจงว่าทำไมอาการตอนที่ไปรอบแรกและรอบที่สองแตกต่างกัน สำหรับศพน้องจะยังคงเก็บไว้ เพราะทำใจไม่ได้ และเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม


1 กุมภาพันธ์ 2566
มติชนออนไลน์ฺ