ผู้เขียน หัวข้อ: จูบ อย่าคิดว่าไม่สำคัญ..ช่วยลดความดัน ป้องกันฟันผุ เสริมภูมิคุ้มกัน!  (อ่าน 277 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด
จูบ คุณคิดว่าไม่สำคัญ
แต่เมื่อคุณจูบฉัน ทำไมฉันสั่นไปถึงหัวใจ
คุณเป็นคนจูบ คุณรู้ บ้างไหม
ฉันหนาวฉันร้อน เหมือนดังเป็นไข้ ทุกที ทุกที

หลายคนคงจำเพลงฮิตในอดีตเพลงนี้ได้ มีนักร้องหลายคนหลายรุ่นร้องไว้ และใครร้องก็ดังทุกที เพราะคำร้องและทำนองที่แต่งโดย สุรพล โทณะวณิก ได้บรรยายอิทธิฤทธิ์ของการจูบได้อย่างลึกซึ้ง แค่ท่อนแรกนี้ก็เห็นภาพ

การจูบเป็นวัฒนธรรมที่แพร่ไปทั่วโลก เป็นภาษากายที่ไม่เฉพาะแต่แสดงความรัก ความใคร่ เท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งความรู้สึกดีๆต่อกันระหว่างเพื่อน คนในครอบครัว หรือแม่กับลูก ตามลีลาและความรุนแรงของการจูบ เชื่อกันว่าการจูบพัฒนามาจากการป้อนอาหารของแม่ให้ลูกด้วยปาก

แต่รู้กันหรือไม่ว่า การจูบไม่ใช่เป็นแค่แสดงถึงความรู้สึกที่มีต่อกันเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อสุขภาพของร่างกายอีกด้วย เช่น
“จูบ ทำให้หลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข”

การจูบกัน ๒๐ วินาทีหรือมากกว่านั้น แรงสัมผัสที่ริมฝีปากจะผ่านเส้นประสาทกว่า ๑๐,๐๐๐ เส้น ส่งผลให้ผู้ที่จูบและถูกจูบหลั่งฮอร์โมนออกมาหลายชนิด ทั้งเอนดอร์ฟิน หรือฮอร์โมนแห่งความสุข อ็อกซิโตซิน ฮอร์โมนแห่งความรัก โดพามีนและเซโรโทนิน ซึ่งกระตุ้นความพึงพอใจของสมอง ทั้งยังลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียด ช่วยลดความวิตกกังวล

“จูบ ทำให้หัวใจแข็งแรง ลดความดันโลหิต”

การจูบจะช่วยขยายหลอดเลือด จึงเป็นการลดความดันโลหิต และระหว่างจูบจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ทำให้คลอเรสเตอรอลและไขมันไม่ดีในหลอดเลือดลดลง ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น การจูบอย่างดูดดื่มถึง ๑ นาทีจะช่วยเผาผลาญพลังงานได้ถึง ๒๖ แคลอรี ไม่ต้องไปออกกำลังวิ่ง

“จูบ ช่วยป้องกันฟันผุ”
การจูบจะกระตุ้นให้ผลิตน้ำลายออกมา ซึ่งจะไปชะล้างคราบต่างๆที่เกาะติดฟัน ช่วยป้องกันฟันผุได้

“จูบ แก้ปวดหัวก็ได้”
การจูบทำให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดสูบฉีดมากขึ้น ความดันโลหิตลดลง จึงช่วยบำบัดอาการปวดหัวได้

“จูบ ช่วยป้องกันรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า”
ในขณะที่จูบนั้น กล้ามเนื้อ ๓๐ มัดบนใบหน้าจะถูกกระตุ้นให้ทำงาน การจูบเป็นประจำจึงทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ออกกำลังทุกวัน เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์อยู่เสมอ

“จูบ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันเหมือนฉีดวัคซีน”

การจูบทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนแบคทีเรียกัน เมื่อร่างกายได้รับแบคทีเรียใหม่ ก็เหมือนได้วัคซีน ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันขึ้นในร่างกายป้องกันโรคนั้นได้ แต่ทว่าหากรับมากไปก็จะทำให้เกิดโรคได้เหมือนกัน

“จูบ ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ได้”
โรคภูมิแพ้ที่เป็นกันมาก ทั้งเกิดจากกรรมพันธุ์และสภาพแวดล้อม หากเกิดความเครียดหรือร่างกายอ่อนแอก็จะมีอาการหนักขึ้น การรักษาก็มักใช้ยาคุม แต่การจูบจะช่วยลดความเครียดได้มาก จึงเกิดมีการทดลองขึ้นที่ญี่ปุ่น ให้คนที่มีอาการลมพิษและแพ้ฝุ่นละอองจูบกันในห้องส่วนตัว พร้อมเปิดเพลงคลอเบาๆ ปรากฏว่าอาการภูมิแพ้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ช่วงเวลาที่ควรงดจูบ”
แม้การจูบจะมีข้อดีหลายอย่างจนน่าจะจูบกันทุกวันแล้ว แต่ข้อเสียก็มี หากฝ่ายหนึ่งมีโรคก็จะถ่ายทอดโรคให้กับอีกฝ่ายได้ โรคที่เกิดจากการจูบก็คือ โรคหวัด โรคไวรัสตับอักเสบบี โรคเริม โรคหูด แม้แต่โควิด ๑๙ ก็ติดกันจากการจูบได้ ฉะนั้นจึงควรอย่างยิ่งที่จะงดจูบโดยเด็ดขาดในขณะที่ป่วย เพื่อไม่แพร่เชื้อไปสู่คนที่เรารัก

จูบมีความสำคัญอย่างมาก ด้วยเหตุนี้องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น. จึงได้กำหนดให้วันที่ ๖ กรกฎาคมเป็น “วันจูบโลก” World Kissing Day มาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๔ จะกระชับริมฝีปากกัน ส่งความรู้สึกดีๆต่อกัน หรือจะหอมแก้มกันตามสไตล์ไทย ก็จะเป็นโอกาสดีอีกครั้งในวันนี้ แล้วอ้างได้เลยว่าทำตามมติของสหประชาชาติ

6 ก.ค. 2565 โรม บุนนาค