ผู้เขียน หัวข้อ: แพทย์จุฬาฯกังขา โม้วัคซีนปลอดภัยแต่คนตายพุ่ง 12% ชูสมุนไพรทางออกไม่ต้องพึ่งฝรั่ง  (อ่าน 279 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง เผยสถิติคนไทยตายปีที่แล้วเพิ่ม 12% ห้วงเวลาระดมฉีดวัคซีน 100 ล้านโดส ปีนี้เดือนต่อเดือนตายเพิ่มอีก พบแพทย์อัตราการตายสูงกว่าคนทั่วไป 10 เท่า ทั้งที่โม้ว่าวัคซีนกันตายได้ ท้าใครบอกปลอดภัยเปิดเวทีสาธารณะเอาข้อมูลมากาง เตือนบังคับให้ฉีดถูกฟ้องได้ แนะใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สมุนไพรดีๆ มีเยอะแยะ ไม่ต้องพึ่งต่างชาติ

วันนี้ (25 พ.ค.) อ.นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง แพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า ตนมีข้อมูลที่เป็นผลข้างเคียงของวัคซีนเยอะมาก ทั้งในต่างประเทศและประเทศไทย ข้อมูลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็มี ข้อมูลของคนไทยก็มี มีเรื่องหนึ่งซึ่งตนคิดว่าคนไทยไม่ทราบ คือ สถิติการตายของคนไทยในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 12% ประมาณ 6 หมื่นกว่าราย ในจำนวนนั้นเสียชีวิตจากโควิด-19 เพียง 1.7 หมื่นราย แปลว่าอีก 4 หมื่นกว่ารายตายจากอะไรไม่มีคำตอบ ในปีที่ผ่านมามีสิ่งเดียวที่มันเปลี่ยนไป คือ ระดมฉีดวัคซีนไปกว่า 100 ล้านโดส ถ้าอยู่ในปีที่ผ่านมาไม่เป็นไร แต่ในปีนี้เอง 4 เดือนที่ผ่านมา คนไทยตายเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เทียบกันเดือนต่อเดือน เพิ่ม 12% คนตายจากโควิด-19 ไม่กี่พันราย แต่ตายจากโรคเก่าที่เขาบอกเป็นโรคอื่นๆ เยอะแยะมากมาย ซึ่งหาคำตอบไม่ได้ ซึ่งมีข้อมูลฐานประชากร และข้อมูลสถิติของทางรัฐบาล

ที่น่าสนใจคือ ข้อมูลของกรมควบคุมโรค มีอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ของกลุ่มประชากรต่างๆ ซึ่งมีหลักฐานบนเว็บไซต์กรมควบคุมโรค พบว่าในกลุ่มประชากรที่ฉีดวัคซีนมากที่สุดในประเทศไทย คือ บุคลากรทางการแพทย์ มีอัตราตายจากโควิด-19 สูงที่สุด สูงกว่าประชาชนทั่วไป 10 เท่า คำถามคือ ในเมื่อไปโม้ว่าวัคซีนกันตายได้ ทำไมบุคลากรทางการแพทย์ถึงตายมากกว่าคนทั่วไป ที่น่าแปลกใจ ในกลุ่มประชากรที่เป็นผู้ต้องขังในเรือนจำ ซึ่งเราทราบว่าได้วัคซีนน้อย แต่เขาใช้สมุนไพร อัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าคนทั่วไป คำถามคือ ทำไมตัวเลขเหล่านี้ไม่มีการพูดคุย

ทั้งนี้ ในต่างประเทศมีผลชัดเจนว่า ในหลายประเทศมีข้อมูลออกมาแล้วว่าอัตราการเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น มะเร็งเพิ่มขึ้น และโรคต่างๆ เพิ่มขึ้น ข้อมูลเหล่านั้นแพทย์เริ่มออกมาบอกแล้วว่าเป็นปัญหาจากวัคซีน แต่ประเทศไทย นอกจากไม่มีการพูดถึง ไม่มีการเอาข้อมูลออกมาดู ตนถามว่า สำนักงานประกันสังคม สปสช. กรมบัญชีกลาง หรือหน่วยงานใดๆ ที่มีข้อมูลสุขภาพของคนไทย ซึ่ง สปสช.ต้องรู้อยู่แล้วว่าแต่ละปีมีคนป่วยเป็นโรคต่างๆ เท่าไหร่ เอาตัวเลขเปิดให้มาดูกันว่าในปีที่ผ่านมาคนไทยเป็นมะเร็งกี่ราย ปีนี้ตัวเลขเปลี่ยนไปหรือไม่ ปีที่ผ่านมาคนเป็นโรคต่างๆ กี่ราย ปีนี้ตัวเลขเปลี่ยนไปไหม เพิ่มขึ้นหรือเปล่า

คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ควรจะต้องสงสัย เพราะมีข้อมูลและงานวิจัยที่พบว่าสไปค์โปรตีนสร้างปัญหา เข้าไปทำให้กลไกการซ่อมแซมดีเอ็นเอในนิวเคลียสของเซลล์ผิดปกติ และ mRNA สามารถเข้าไปเป็นดีเอ็นเอของเซลล์ได้ในหลอดทดลอง และเมื่อตรวจคนที่ฉีดวัคซีน mRNA พบว่า 2 เดือนหลังจากฉีดไปแล้ว พบสารพันธุกรรม mRNA ในต่อมน้ำเหลืองของคนที่รับยาไปแล้ว ซึ่งมีงานวิจัยรองรับ มีข้อมูลหลายที่รองรับ คำถามคือข้อมูลเหล่านี้ทำไมไม่มีการนำมาพิจารณา ที่แย่กว่านั้นคือ มีงานวิจัยชัดเจนว่าภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ หลังจากที่หายแล้ว ป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่าภูมิจากวัคซีน

และทุกคนทราบดีว่าเด็กที่ป่วยโควิดอาการน้อย เพราะมีภูมิคุ้มกันที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (Innate immunity) ซึ่งดีและแข็งแรง ภูมิแบบนี้สามารถทำให้แข็งแรงได้ โดยไม่ต้องพึ่งวัคซีน คำถามคือ ในเมื่อมีภูมิคุ้มกันที่ดีตามธรรมชาติ ทำไมเราไม่เลือกที่จะใช้เด็กมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่ดี มีวิธีการที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันเหล่านั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาทดลองที่ไม่รู้ว่าความปลอดภัยเป็นยังไง ข้อมูลสำคัญซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ทราบ ที่เราเรียกกันว่าวัคซีน อยู่ระหว่างการทดลอง การทดลองเรื่องความปลอดภัยจะสิ้นสุดในปี 2569 ถึงจะรู้ว่าปลอดภัยหรือไม่

"ขณะนี้ใครที่มายืนยันว่าปลอดภัย ผมท้าว่าช่วยนำผลวิจัยมายืนยัน และผลวิจัยที่ว่าปลอดภัย คนตายเท่าไหร่ 1-2 เดือนใช่ไหม จริงๆ แล้วงานวิจัยปกติในการตามไปดูเรื่องตายอย่างน้อย 5 ปี และงานวิจัยที่ดูตรงนี้จะเสร็จปี 2569 เพราะฉะนั้นคุณเอาอะไรมาพูด ที่สำคัญกว่านี้ ในงานวิจัยที่ทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีน ขอให้ไปดู เป็นงานวิจัยที่เขาเอาอาสาสมัครที่เป็นคนสุขภาพแข็งแรง แปลว่าคนที่บอกว่าคนที่เป็นโรคประจำตัว อ่อนแอปลอดภัย ทำได้ยังไง เพราะว่าไม่มีการทำการทดลองไว้ ไม่มีการทำวิจัยไว้ ถ้าคุณไม่ได้วิจัยจะมาอ้างว่ามันปลอดภัยได้ยังไง เพราะฉะนั้นกระบวนการเหล่านี้เป็นสิ่งที่คิดว่ามันต้องมีการทบทวน เราขอเรียกร้อง โดยทำหนังสือถึงนายกแพทยสภา เลขาธิการ อย. และผู้บริหารใน ศบค. ขอให้เอาข้อมูลเหล่านี้มาทบทวน และฝากถึงสื่อ ขอร้องว่าให้จัดเวทีสาธารณะ เอาข้อมูลมานั่งคุยกัน เรามาตรงนี้ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเลย เราหวังให้เกิดประโยชน์กับเด็กๆ กับประเทศไทย" อ.นพ.อรรถพลกล่าว

อ.นพ.อรรถพลกล่าวว่า เราออกมาเตือนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เพราะว่าในโลกนี้มีแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่ออกมาพูด และไม่ได้พูดโดยความคิดเห็น แต่เอาข้อมูลมาแสดง ข้อมูลงานวิจัย ข้อมูลการตรวจชันสูตรศพ ข้อมูลสารพัดอย่าง มีงานวิจัยจำนวนมาก แต่ถูกปิดบัง ถูกเซ็นเซอร์ ถูกปกปิด คำถามคือทำไม ถ้าเป็นของดีจริง ตรงไปตรงมา ของดียิ่งเปิดเผยข้อมูล ยิ่งทำให้คนเชื่อถือ เพราะฉะนั้นการเปิดเผยข้อมูลมีข้อเสียตรงไหน ถ้ามันเป็นของดี มันมีอย่างเดียวที่อธิบายได้ คือ เพราะเขารู้ว่าเขาไม่ใช่ของดีจริง เขาถึงต้องปกปิดข้อมูล หรือตั้งคำถามง่ายๆ เราไปซื้อสินค้าชนิดหนึ่ง ซื้ออะไรก็ได้ สินค้าถ้ามีประสิทธิภาพไม่ดี มีผลเสีย เราฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ขายตามสิทธิของผู้บริโภคได้ แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่าในกรณีของวัคซีน เราฟ้องบริษัทยาไม่ได้ ที่น่าตลกคือ คนที่จ่ายค่าเสียหายแทนคือ สปสช. ซึ่งไม่ใช่เงิน สปสช. แต่มาจากเงินภาษีประชาชน ซึ่งเอาไปพัฒนากระบวนการรักษาหรือเอาไปทำวิจัยเรื่องสมุนไพรดีๆ ไม่ดีกว่าหรือ ทำไมต้องเอามาจ่ายค่าเสียหายเหล่านี้ ทำไมรัฐบาลถึงไปยอมตกลงกับบริษัทยา ให้บริษัทยาพ้นผิดได้ โดยที่รัฐต้องจ่ายเอง

"สุดท้าย ฝากไปถึงผู้มีอำนาจในหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ถูกฟ้องได้ถ้าไปบังคับคนอื่นให้ฉีดวัคซีน ต่อให้มีกฎหมายใดๆ ก็ตามที่นิรโทษกรรม ในความเป็นจริง ถ้าไปดูดีๆ กฎหมายเหล่านั้นเขียนว่า ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและเหตุผลที่ดี ถ้าเป็นการกระทำที่ประมาทเลินเล่อ ยกตัวอย่างเช่น เลขาธิการ อย. มีข้อมูลชัดเจนในสื่อสาธารณะบอกว่า ข้อมูลของไฟเซอร์เพิ่งออกมา ถ้าไม่ทบทวน ไม่พิจารณาการอนุมัติฉุกเฉิน แปลว่าประมาทเลินเล่อในการทำงาน ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดได้ เพราะฉะนั้นผมเตือนด้วยความหวังดี จะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ผู้อำนวยการโรงเรียนทั้งหลาย ท่านไปบังคับให้เขารับยาพิษ โดยที่เขาไม่เต็มใจ สุดท้ายพวกท่านจะต้องรับผิดชอบการกระทำเหล่านั้น ไม่มีกฎหมายอันใดที่ปกป้องท่านได้ ขณะนี้ในหลายประเทศ กระบวนการฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหายจากคนเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว คิดว่าในบ้านเราเร็วๆ นี้คงได้เห็นกัน แล้วหลังจากนั้นจะพบว่ามีผู้ป่วย ผู้เสียหายจำนวนมากที่ออกมาเรียกร้อง" อ.นพ.อรรถพลกล่าว

ในตอนท้าย อ.นพ.อรรถพลกล่าวว่า ฝากไปที่ผู้เสียหาย เชื่อว่าขณะนี้มีพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนที่ต้องสูญเสียบุตรหลานไป โดยที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีน แล้วหมอบอกว่าไม่เกี่ยว หรือว่าเป็นโรคเรื้อรัง เป็นโรครุนแรง ตัวอย่างที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่ทดลองแล้วพบผู้เสียชีวิต 1 ใน 300 ราย ถือว่าเยอะ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาสบายดี จริงๆ แล้วกรณีแบบนั้นมีอีกเยอะแยะ แต่ถูกบอกว่าไม่เกี่ยวกับวัคซีน จริงๆ แล้วปัญหาที่เกิดจากวัคซีนเกิดได้หลากหลายมาก ถ้าท่านเข้าใจในสิทธิของท่านเอง สามารถฟ้องร้องเอาผิดผู้ที่มาหลอกเซ็นใบยินยอมที่ไม่พูดความจริง มาบังคับให้ท่านรับวัคซีนได้ ของเหล่านี้สามารถทำได้ เป็นสิทธิโดยชอบธรรม ขอเรียนว่ามาช่วยกัน เราต้องการปกป้องลูกหลานของเราให้ปลอดภัย เรามีวิธีเยอะแยะ กระบวนการที่ใช้ทางธรรมชาติ มีสมุนไพรไทยดีๆ เยอะแยะเลย เราไม่จำเป็นต้องไปพึ่งต่างชาติ

"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือคำตอบเสมอ เราพูดกันมาตลอดว่าเรารักพระองค์ท่าน ตอนนี้ในขณะที่ประเทศไทยมีวิกฤต ผมขอเรียกร้องให้ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตั้งต้นด้วยใช้สติปัญญา ใช้ข้อมูลความรู้ เสร็จแล้วช่วยตนเองสร้างภูมิคุ้มกัน เรามีสมุนไพรดี เรามีของดีทุกอย่างเยอะแยะมากมาย เรามีอาหารเป็นยา เราทำอย่างนั้นได้ ทำให้เราปลอดภัย ถ้าโรคนี้รักษาได้ง่าย คนไม่ตายเพราะสมุนไพรดีๆ เราไม่จำเป็นต้องกลัว เราไม่จำเป็นต้องปิดประเทศ ที่ดีกว่านั้นอีก สุดท้ายถ้าเอาสมุนไพรเหล่านี้ส่งออกไปประเทศต่างๆ เราจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศส่งออกทั้งอาหารและยาสมุนไพรที่ดี เราจะช่วยคนส่วนใหญ่ในโลกได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเรารักพ่อ เราทำตามพระองค์ท่าน เรายึดถือปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกันดีไหม เลิกที่จะเชื่อฝรั่งสักที ฝรั่งหลอกเรามานานแล้ว เราถูกหลอกมานานแล้ว ถึงเวลาที่เราจะเอาของดีเมืองไทย เอาสติปัญญา ภูมิปัญญาของคนไทยมาแก้ปัญหา" อ.นพ.อรรถพลกล่าว

25 พ.ค. 2565  ผู้จัดการออนไลน์