ผู้เขียน หัวข้อ: รักษา "โควิด" กลุ่มไร้ภาวะเสี่ยงที่ "ร้านยา" ได้แล้ว 700 แห่งทั่วประเทศ ดูแลแบบ  (อ่าน 266 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด
สปสช.ร่วมสภาเภสัชฯ ดึง "ร้านยา" เป็นหน่วยบริการดูแลผู้ติดเชื้อโควิดสีเขียว ไม่มีภาวะเสี่ยง มารักษาแบบเจอ แจก จบ ลดแออัด รพ. เผยได้รับยา พร้อมคำแนะนำ ติดตามอาการ 48 ชั่วโมง หากอาการรุนแรงขึ้นจะส่งต่อเข้าระบบ มีร้านยาทั่วประเทศเข้าร่วมแล้ว 700 แห่ง ครอบคลุมสิทธิบัตรทอง ข้าราชการ ยกเว้นประกันสังคม

เมื่อวันที่ 6 เม.ย. นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวหรือมีอาการเล็กน้อย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปรับแนวทางรักษาเป็นแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน (OPSI) หรือ เจอ แจก จบ ในสถานพยาบาลต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้ารับบริการ โดยเฉพาะหน่วยบริการใกล้บ้าน สปสช.ได้ร่วมกับสภาเภสัชกรรม เชิญชวนร้านยาที่มีความพร้อมบริการเพื่อร่วมดูแลผู้ติดเชื้อโควิดที่ไม่มีภาวะเสี่ยงตามที่ สธ.กำหนดเป็นหน่วยบริการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 กลุ่มผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้รวดเร็ว

นพ.จเด็จกล่าวว่า ผู้ที่ตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีดติดเชื้อโควิดที่มีอาการเล็กน้อยและไม่มีภาวะเสี่ยงตามที่ สธ.กำหนด สามารถรับยาสำหรับดูแลอาการเบื้องต้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ โดยร้านยาจะรับค่าใช้จ่ายกรณีบริการทางเภสัชกรรมในการดูแลผู้ติดเชื้อโควิดตามหลักเกณฑ์ของ สปสช.ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. ที่ผ่านมา เป็นการจ่ายแบบเหมาจ่ายในอัตรา 700 บาทต่อราย ครอบคลุมบริการ ดังนี้ 1.บริการให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวในการแยกกักตัวที่บ้าน 2.ค่ายาฟ้าทะลายโจรและยาพื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด รวมค่าบริการจ่ายยากรณีที่แพทย์สั่งจ่ายเฉพาะในการดูแลผู้ติดเชื้อโควิดที่จำเป็นต้องได้รับตามมาตรฐานที่ สธ.กำหนด โดยรวมค่าจัดส่งยา 3.ค่าบริการให้คำปรึกษา แนะนำการใช้ยา และติดตามอาการผู้ติดเชื้อเมื่อครบ 48 ชั่วโมงแรก และ 4.การจัดระบบส่งต่อเมื่อผู้ติดเชื้อโควิดมีอาการเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องส่งต่อ

นอกจากนี้ ยังมีการจ่ายเพิ่มเติมแบบเหมาจ่ายในอัตรา 150 บาท สำหรับการให้คำปรึกษาหรือการดูแลรักษาเบื้องต้น เมื่อผู้ติดเชื้อมีอาการเปลี่ยนแปลงและผู้ติดเชื้อโควิดได้ติดต่อกลับร้านยา เพื่อขอรับคำปรึกษาหลังให้การดูแลครบ 48 ชั่วโมงแล้ว โดยก่อนให้บริการจะมีการพิสูจน์ตัวตนของผู้รับบริการเพื่อยืนยันการเข้ารับบริการ และบันทึกข้อมูลการให้บริการผ่านโปรแกรม AMED Telehealth ระบบบริการการแพทย์ทางไกล ปัจจุบันมีร้านยาทั่วประเทศเข้าร่วมแล้วกว่า 700 แห่ง ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการกับ สปสช.แล้ว 440 แห่ง ที่เหลืออยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียน สามารถตรวจสอบรายชื่อร้านยาได้ที่เว็บไซต์ สปสช. https://www.nhso.go.th/downloads/197

ภก.ปรีชา พันธุ์ติเวช อุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่ 2 กล่าวว่า ผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่แสดงอาการหรืออาการไม่รุนแรง หากเข้าไปรับบริการแบบผู้ป่วยนอกที่ รพ.อาจจะทำให้เกิดความแออัดได้ สภาเภสัชกรรมจึงร่วมกับ สปสช. จัดทำหลักเกณฑ์เพื่อให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มารับยาและคำแนะนำต่างๆ โดยเภสัชกรที่ร้านยาได้ โดยต้องเป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี ไม่ใช่หญิงตั้งครรภ์ ไม่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่มีโรคประจำตัว และมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดความรุนแรงของโรค เช่น มีภาวะอ้วน เป็นต้น หากไม่เข้าเกณฑ์เหล่านี้สามารถโทรติดต่อหรือมาที่ร้านยา สแกน QR code เพื่อยืนยันตัวตนตามระบบของ สปสช.แล้วรับยาฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ร้านยาจะจัดเซ็ตยาสำหรับรักษาตามอาการส่งให้ที่บ้าน เช่น ฟ้าทะลายโจร พาราเซตามอล ยาแก้ไอ ละลายเสมหะ ตลอดจนเกลือแร่สำหรับกรณีมีอาการท้องเสีย จากนั้นจะติดตามอาการไปอีก 48 ชั่วโมง และหากอาการรุนแรงมากขึ้นก็จะส่งต่อผู้ป่วยเข้าระบบเพื่อให้แพทย์รับช่วงดูแลต่อ

"ขณะนี้มีร้านยาเข้าร่วมให้บริการประมาณ 700 แห่งทั่วประเทศ ผู้ใช้สิทธิบัตรทองสามารถสังเกตสติกเกอร์ที่หน้าร้านยา จะมีข้อความว่า "สถานบริการเภสัชกรรมชุมชน" และบรรทัดล่างจะเขียนว่า "เครือข่ายเภสัชกรอาสาปรึกษาโควิดผ่านระบบเภสัชกรรมทางไกล" ขอให้มั่นใจว่าจะได้รับการบริการที่ได้มาตรฐาน เภสัชกรเป็นบุคลกรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องยา คุ้นเคยกับอาการของโรคอย่างมาก สามารถให้บริการผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงหรือไม่แสดงอาการได้เป็นอย่างดี" ภก.ปรีชา กล่าวและว่า ปัจจุบันร้านยาในโครงการสามารถให้บริการได้เฉพาะสิทธิบัตรทอง ข้าราชการ และพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยังไม่รวมผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ดังนั้น จึงขอเชิญชวนไปยังสำนักงานประกันสังคมอำนวยความสะดวกและเพิ่มการเข้าถึงบริการแก่ผู้ประกันตน สามารถติดต่อมาที่สภาเภสัชกรรมเพื่อหารือแนวทางการร่วมมือกันต่อไปได้

6 เม.ย. 2565  ผู้จัดการออนไลน์