ผู้เขียน หัวข้อ: พ่อแม่ใจสลายลูกปวดท้องเข้า รพ.แต่ต้องนอนรอหมอนานเพราะติดเที่ยงจนไส้ติ่งแตก  (อ่าน 419 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด
ศูนย์ข่าวศรีราชา - พ่อแม่ใจสลาย! ลูกปวดท้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลใน อ.พานทอง จ.ชลบุรี แต่กลับต้องนอนรอหมอนานเพราะติดเที่ยง ซ้ำวินิจฉัยโรคไม่ขาด สุดท้ายไส้ติ่งแตกตาย ประกาศร้องขอความเป็นธรรม

จากกรณีผู้ที่ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Yui Kusuma ได้โพสต์ภาพลูกชายวัย 12 ปี พร้อมระบุข้อความ “นอนรอหมอ ติดเที่ยงอีก ท้องก็ปวด ไม่อยากมาเลย” และจากนั้นอีกเพียง 1 วัน ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายดังกล่าวได้โพสต์ภาพลูกชายพร้อมข้อความสุดสะเทือนใจ “แม่ขอให้ไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้าไปสู่ภพภูมิที่ดีๆ ทำไมจากแม่ไปเร็วจังลูก ดวงใจน้อยๆ ของแม่ ขอบคุณที่เกิดมาเป็นลูกแม่ ขอบคุณที่ดูแลแม่ ขอบคุณที่ ผ่านอุปสรรคต่างๆ มากับแม่ หัวใจแม่สลาย ความหวังของแม่มันพังแล้วลูก”

โดยหลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ลงในโลกออนไลน์ ปรากฏว่า มีชาวเน็ตจำนวนมากต่างพากันเข้ามาแสดงความเห็นใจ และวิพากษ์วิจารณ์ถึงระบบสาธารณสุขไทยอย่างดุเดือดนั้น

วันนี้ (24 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังวัดแหลมแค อ.พานทอง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพ ด.ช.บุญวีร์ ใจเย็น อายุ 12 ปี โดยพบว่ามีบรรดาญาติพี่น้อง รวมทั้ง นายชัยเดช สว่างวงณ์ อายุ 41 ปี และ น.ส.กุสุมา ใจเย็น อายุ 33 ปี พ่อและแม่ที่ยังอยู่ในอาการเสียใจอยากหนัก

ขณะที่ นายชัยเดช และ น.ส.กุสุมา กล่าวว่าลูกชายได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในพื้นที่เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา จากอาการปวดท้อง แต่ในวันที่เดินทางไปถึงโรงพยาบาลเป็นช่วงพักเที่ยงจึงต้องนอนรอหมออยู่นาน ประกอบกับการวินิจฉัยโรคของหมอโรงพยาบาลดังกล่าวไม่ถูกต้อง จึงทำให้ลูกชายไส้ติ่งแตกตาย

โดยใบมรณบัตรที่ออกเมื่่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งแพทย์ประจำสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ที่ได้ทำการตรวจพิสูจน์ศพ ระบุว่า เสียชีวิตจากอาการไส้ติ่งอักเสบ และแตกทะลุ มีอาการอักเสบในช่องท้องอย่างรุนแรง

"รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่คิดว่าจะต้องมาเสียลูกชายจากการไส้ติ่งแตก จึงขอให้โรงพยาบาลออกมารับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากหลังลูกชายเสียชีวิตมีเพียงตัวแทนของโรงพยาบาลที่เอาพวงหรีดเป็นพัดลมมาแสดงความเสียใจในวันสวดศพคืนแรกเท่านั้น"

ทั้งนี้ ทางครอบครัวอยู่ระหว่างการปรึกษากันว่าจะดำเนินการต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร เพียงแต่ขอให้งานศพผ่านพ้นไปก่อน

24 ธ.ค. 2564  ผู้จัดการออนไลน์

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด
กรณีพ่อแม่ของเด็กชายบุณยวีร์ ใจเย็น หรือ น้องสตางค์ อายุ 12 ปี ร้องเรียนกับสื่อมวลชน สืบเนื่องจากวันที่ 21 ธันวาคม 64 เวลา 11.00 น. น้องสตางค์ มีอาการปวดช่องท้องจึงไปรักษาที่รพ.พานทอง จ.ชลบุรี แพทย์ระบุว่ามีอาการติดเชื้อ ระหว่างการรักษาน้องสตางค์เริ่มปวดท้องอย่างรุนแรง พยาบาลแจ้งว่าให้อดทนไว้ กระทั่งวันที่ 22 ธันวาคม 64 เวลา 12.40 น. น้องสตางค์เกิดอาการช็อกเสียชีวิต

โดยแพทย์โรงพยาบาลดังกล่าว ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าเด็กติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งญาติติดใจสาเหตุการเสียชีวิต จึงส่งศพไปยังสถาบันนิตเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ตรวจพบว่าไส้ติ่งอักเสบและแตกทะลุ มีการอักเสบของช่องท้องอย่างรุนแรง ซึ่งหลังจากเสียชีวิต โรงพยาบาลที่รักษาติดต่อญาติเยียวยาส่งพวงหลีดพัดลมมาให้ 1 ตัวเท่านั้น

ล่าสุดวันที่ 24 ธ.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายังที่วัดแหลมแค ตำบลพานทอง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นสถานที่บำเพ็ญกุศลศพของเด็กชายบุณยวีร์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ซึ่งทางโรงพยาบาลที่รักษาได้นำพวงหรีดที่เป็นพัดลมมามอบให้ 1 ตัว

นางสาวกุสุมา ใจเย็น อายุ 33 ปี แม่ของเด็กชายบุณยวีร์ เล่าให้ฟังว่า ในวันที่ 21 ธันวาคม 64 ช่วงเช้าลูกชายบอกว่าปวดท้อง พร้อมกับมีอาการอาเจียนเป็นสีใส ๆ จึงบอกให้หยุดเรียน เพราะตนจะพาไปหาหมอ จากนั้นเวลา 11.00 น. เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกให้นอนรอก่อน ขณะนั้นน้องสตางค์ยังสามารถเดินไปไหนได้ ต่อมาเวลา 13.00 น. แพทย์ได้นำเลือดและปัสสาวะไปตรวจ จากนั้นในรอผลตรวจ ช่วงเวลาที่รอผลตรวจน้องสตางค์บอกตนว่าปวดท้องมาก ๆ ด้วยความที่เป็นแม่จึงพูดกับพยาบาลเพื่อขอลัดคิว แต่พยาบาลบอกว่าให้รอก่อน เหลือเพียง 2 คิวเท่านั้น

กระทั่งเวลา 160.00 น. ผลตรวจออกแพทย์ระบุว่ามีลักษณะอาการคล้ายกับไส้ติ่ง แต่ยังไม่ชัดเจน คาดว่าน่าจะติดเชื้อ ซึ่งตนขอให้น้องสตางค์นอนรอดูอาการที่โรงพยาบาล เนื่องจากตนอยากให้น้องสตางค์อยู่ในความดูแลของแพทย์ พยาบาลจึงบอกให้งดเข้างดน้ำ ก่อนที่ตนจะเดินไปส่งลูกที่เตียงนอน "ถ้ามีอะไรให้บอกแพทย์หรือพี่พยาบาลนะ"

ต่อมาเวลา 20.00 น. น้องสตางค์แชตมาบอกว่า "ปวดท้องมาก ๆ" ตนจึงบอกให้เดินไปหาพยาบาล ซึ่งลูกชายบอกว่าได้ไปหามาเรียบร้อยแล้ว พยาบาลบอกให้อดทน ตนจึงแนะนำน้องสตางค์ว่า หากเป็นอะไรบอกคนข้างเตียงเอาไว้ด้วย

เวลา 21.00 น. น้องสตางค์ทักแชตมาบอกว่า ให้ไปรับที่โรงพยาบาล ตนจึงขอพูดคุยกับพยาบาล พร้อมกับขออนุญาตเข้าไปเฝ้าไข้ เมื่อไปถึงพบว่าน้องสตางค์เริ่มตัวร้อน มีไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส ตนจึงไปบอกกับเจ้าหน้าที่ แต่พยาบาลบอกว่ายังไม่สามารถให้ทานยาได้ สักพักน้องสตางค์อาเจียนปนเลือด ตนรีบไปหาพยาบาลอีกครั้ง พยาบาลได้ถ่ายรูปแล้วส่งไปให้แพทย์ดู ก่อนจะเดินมาบอกว่าน่าจะเป็นเสมหะของเดิมที่ติดคอ ซึ่งที่ผ่านมาน้องสตางค์ไม่เคยป่วยมาก่อน ร่างกายแข็งแรง ตนก็งง ๆ
เวลา 22.00 - 23.00 น. น้องสตางค์เริ่มมีอาการเพ้อคล้ายกับเล่นอยู่กับเพื่อน ตนเดินไปบอกพยาบาลให้เดินมาดู จากนั้นพยาบาลได้รายงานไปที่แพทย์ แพทย์บอกว่าอาการเพ้อดังกล่าวเป็นผลข้างเคียงมาจากการเป็นไข้ ไม่นานน้องสตางค์ก็เริ่มมีอาการเพ้อมากยิ่งขึ้น และไม่สามารถจำได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร พยาบาลอ้างว่าน้องสตางค์เสพสารเสพติดมาหรือไม่ พร้อมกับขอตรวจปัสสาวะ

ที่ผ่านมาน้องสตางค์ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างแน่นอน เพราะเป็นเด็กวัยเพียง 12 ปีเท่านั้น เมื่อผลตรวจออกมาไม่พบสารเสพติด เวลา 00.00 น. ชีพจรต่ำ เกร็ง คลุ้มคลั่ง ต้องใช้ผ้ามัดมือมัดเท้า พยาบาลได้ใช้เครื่องออกซิเจน และถ่ายภาพให้กับแพทย์ แต่แพทย์ไม่ลงมาตรวจ ตนได้สอบถามถึงสาเหตุของอาการข้างต้น พยาบาลบอกว่าน้องสตางค์ติดเชื้อ 72 % แต่ติดเชื้อจากอะไรไม่สามารถให้คำตอบได้ ตลอดทั้งคื ตนได้เพียงเช็ดตัวให้กับน้องสตางค์ กระทั่งช่วงเช้าวันที่ 22 ธันวาคม 64 แพทย์มาตรวจได้แจ้งว่าจะย้ายให้น้องสตางค์ไปรักษาที่รพ.ชลบุรี แต่ต้องรอการตอบรับ

ขณะเดียวกันแพทย์เด็กมาถึง พบว่าน้องสตางค์อยู่ในอาการชักเกร็ง ชีพจรต่ำ หัวใจเต้นเร็ว จึงช่วยกันปฐมพยาบาล พร้อมกับปั๊มหัวใจ จากนั้นสักพักก็ได้ส่งตัวน้องสตางค์ไปยังรพ.ชลบุรี ขณะที่น้องสตางค์อยู่บนรถพบว่าตัวเย็น พยาบาลได้เช็กชีพจรพบว่าน้องชีพจรต่ำอีกครั้ง จึงมีการปั๊มหัวใจ ก่อนจะนำตัวลงมาที่ห้องฉุกเฉินพร้อมกับ ช่วยกันปั๊มหัวใจ จากนั้นแพทย์บอกให้ตนพยายามทำใจ เพราะลูกชายด้วยเสียแล้ว ตนสอบถามสาเหตุการเสียชีวิต แพทย์อ้างว่าติดเชื้อแต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากอะไร

"แม่ยอมรับว่าขณะนั้นมึนงงและติดใจ จึงได้นำร่างของน้องสตางค์ไปส่งพิสูจน์ที่โรงพยาบาลตำรวจ เสียค่าใช้จ่ายเอง 10,000 กว่าบาท พบว่าน้องสตางค์เสียชีวิตจากไส้ติ่งอักเสบ กระทั่งแตกรุนแรง จึงอยากให้น้องได้รับความยุติธรรม เขาเป็นเด็กน่ารัก เป็นเด็กเรียนเก่งได้ที่หนึ่งตลอด ทำให้แม่เป็นแม่ดีเด่น ถือว่าเป็นความหวัง เพราะเมื่อ 2 วันก่อนที่น้องจะเสีย น้องบอกว่าจบป.6 กำลังขึ้นชั้นมัธยม หากเรียนจบก็จะดูแลพ่อแม่" แม่ของน้องสตางค์ กล่าว

นายชัยเดช สว่างวงณ์ อายุ 41 ปี พ่อของเด็กคนดังกล่าว เปิดเผยว่า ช่วงเช้าวันที่ 21 ธันวาคม 64 ลูกชายเดินมาบอกกับภรรยาของตนว่า "ปวดท้อง ๆ" พร้อมกับมีอาการอาเจียน ตนจึงบอกให้ภรรยาพาลูกชายไปหาหมอ กระทั่งทราบว่าลูกชายต้องนอนโรงพยาบาล ตนก็ทักไปหาถามว่าหากต้องการอะไร หรือเจ็บปวดมากให้เรียกพยาบาล ต่อมากลางดึกลูกชายทักมาบอกว่า "ปวดท้อง ๆ" แต่พยาบาลบอกให้อดทน

ผ่านไปครูหนึ่ง พยาบาลโทรศัพท์มาแจ้งว่าลูกชายขอกลับบ้าน ภรรยาจึงขอไปเฝ้าไข้ลูกชายเอง ตนพร้อมด้วยภรรยาและลูกชายคนที่ 2 อายุ 7 ปี จึงเดินทางไปที่โรงพยาบาล ซึ่งภรรยาของตนได้ขึ้นไปดูอาการและเฝ้าไข้ ส่วนตนและลูกชายคนที่ 2 ได้รออยู่ที่รถ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 โรงพยาบาลไม่อนุญาตให้มีญาติเข้าไปเยี่ยมหรือเฝ้าไข้

โดยตลอดทั้งคืนภรรยาก็จะอัปเดตอาการของลูกชาย ตนก็ทราบว่าลูกชายไม่สามารถที่จะคุมสติได้ มีอาการคลุ้มคลั่ง ตนคาดว่าลูกชายน่าจะทรมานเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาลูกชายไม่มีโรคประจำตัว กระทั่งรุ่งเช้าตนทราบว่าลูกชายจะต้องย้ายไปอยู่ที่รพ.ชลบุรี ยอมรับว่าขณะนั้นยังคงมีความหวัง แต่พอคลื่อนย้ายออกไปลูกชายเกิดอาการชีพจรต่ำ พยาบาลได้ปั๊มหัวใจและนำลูกชายเคลื่อนย้ายไปที่ห้องฉุกเฉินจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตนสอบถามถึงสาเหตุการเสียชีวิต แพทย์บอกเพียงว่าติดเชื้อ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเชื้ออะไรและมาจากไหน

"ผมยอมรับว่าทั้งครอบครัวติดใจการเสียชีวิต อยากทราบว่าลูกชายเสียชีวิตเพราะอะไรกันแน่ จึงขอให้นำร่างไปผ่าชันสูตรศพที่รพ.ตำรวจ กระทั่งพบว่าลูกชายไส้ติ่งอักเสบจนทะลุอย่างรุนแรง ผลชันสูตรจึงไม่สอดคล้องกับโรงพยาบาลพานทอง" นายชัยเดช กล่าว

อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่ได้พูดคุยกับทางโรงพยาบาล แม้ว่าตนจะมีลูกชาย 2 คน แต่น้องสตางค์เป็นลูกชายคนแรก ภรรยาของตนรักเขามาก ๆ เพราะเป็นเด็กเรียนเก่งสอบได้ที่ 1 ทุกปี โรงเรียนได้มอบใบประกาศณียบัตร เป็นแม่ดีเด่นและลูกชายของตนยังเป็นความหวังของครอบครัว ทั้งนี้ ตนอยากฝากบอกโรงพยาบาลดังกล่าวว่าควรดูแลคนไข้ให้ดีกว่านี้ และตนยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถให้อภัยโรงพยาบาลดังกล่าวได้หรือไม่ ขณะนี้ยังคิดอะไรไม่ออก ขอให้เสร็จพิธีฌาปนกิจศพจึงจะพร้อมพูดคุยกับทางโรงพยาบาล และหลังจากนี้ครอบครัวก็คงจะไม่ไปใช้บริการที่โรงพยาบาลดังกล่าว เหตุการณ์ครั้งนี้จึงถือว่าเป็นบทเรียน

เวลา 14.40 น. ที่รพ.พานทอง ตัวแทนเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี (สสจ.) ได้เดินทางมาสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ให้ข้อมูลว่า ภายหลังจากที่ทราบข่าว หน่วยงานไม่ได้นิ่งนอนใจ วันนี้จะขอพูดคุยสอบถามแพทย์และพยาบาลในวันที่เกิดเหตุ ซึ่งยังไม่ถึงขั้นตั้งคณะกรรมกรรมการตรวจสอบ แต่เบื้องต้นแพทย์ที่เข้าเวรในวันที่เกิดเหตุยังไม่พบตัว เนื่องจากออกเวรไปแล้ว นอกจากนี้ ยังต้องเดินทางไปพูดคุยกับญาติของเด็กที่ผู้เสียชีวิต จากนั้นจะนำข้อมูลทั้ง 2 ฝ่ายมารวบรวมแล้วหาข้อสรุปต่อไป

24 ธ.ค. 64
https://www.amarintv.com/news/detail/113816

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด
ตั้ง กก.สอบปมรพ.ปล่อยเด็ก 12 ปี รอจนไส้ติ่งแตกตาย
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2021, 02:44:49 »
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ตั้งกรรมการสอบปมโรงพยาบาลในพื้นที่ ปล่อยเด็ก 12 ปี ที่ปวดท้องรอนาน สุดท้ายไส้ติ่งแตกจนเสียชีวิตขณะที่ครอบครัว ยืนยันว่าอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และตอนนี้ก็ยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียที่เกิดขึ้น

ย้อนไปดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นกันก่อนผู้ที่ใช้เฟซบุ๊ก ที่ใช้ชื่อว่า “Yui Kusuma” ได้โพสต์ภาพลูกชายวัย 12 ปี และข้อความระบุว่า นอนรอหมอติดเที่ยงอีก ท้องก็ปวด ไม่อยากมาเลย และอีก 1 วันก็ได้โพสต์ภาพลูกชายอีกครั้ง ระบุว่าลูกชายได้เสียชีวิตแล้ว ขณะนี้ ตั้งศพอยู่ที่วัดแหลมแค ต.พานทอง อ.พานทอง จ.ชลบุรี เมื่อผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ พบญาติๆ ที่อยู่ในอาการเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของน้อง

นายชัยเดช สว่างวงณ์ และ น.ส.กุสุมา ใจเย็น พ่อและแม่ เล่าว่า เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. เวลา 11.00 น. ลูกชายอายุ 12 ปี  มีอาการปวดช่องท้อง จึงพาไปรักษาอาการที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี

โดยแพทย์ระบุว่า มีอาการติดเชื้อ แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร จนช่วงกลางดึกแพทย์ก็นำเลือดน้องไปตรวจแล้วพบว่ามีอาการติดเชื้อถึง 72% ระหว่างการรักษาก็ให้น้องนอนรอดูอาการอย่างเดียว มีการให้ยาฆ่าเชื้อ จนน้องทนไม่ไหว และได้ส่งข้อความไลน์ไปหาพ่อ บอกว่าหมอบอกให้อดทนเอา จนวันที่ 22 ธ.ค. เวลา 12.40 น. ลูกเกิดอาการช็อก หัวใจหยุดเต้น พยาบาลปั๊มหัวใจเพื่อยื้อชีวิตถึง 2 ครั้ง เกือบ 30 นาที จนลูกเสียชีวิต โดยที่แพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตของลูกชายว่าติดเชื้อในกระแสเลือด

ทางญาติติดใจสาเหตุการเสียชีวิต เลยดำเนินการส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวชฯ โรงพยาบาลตำรวจ โดยออกค่าใช้จ่ายออกเองทั้งหมด ซึ่งมีการระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากไส้ติ่งอักเสบและแตกทะลุ มีการอักเสบช่องท้องอย่างรุนแรงจึงอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง และตอนนี้ก็ยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียที่เกิดขึ้น

ด้าน นพ.อภิรัต กตัญญุตานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ให้ข้อมูลกับทีมข่าวพีพีทีวี เบื้องต้นว่า ขณะนี้ทราบเรื่องและ อยู่ระหว่างการตรวจสอบเบื้องต้น จะมีการตั้งกรรมการสอบ เจ้าหน้าที่ และ โรงพยาบาลที่เกิดเหตุ ซึ่งหากพบว่า มีความผิดพลาดจากทางโรงพยาบาลจริง ก็จะดำเนินการตามระเบียบสาธารณสุข

นอกจากนี้ ทางสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ยังได้เข้าพูดคุยกับ พ่อแม่ของเด็กที่เสียชีวิตแล้ว ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย

25 ธ.ค. 2564
https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/163270