ผู้เขียน หัวข้อ: หมอ-พยาบาลแห่ค้าน “นิรโทษกรรมวัคซีน” ระวัง! คนลุกฮือไล่ซ้ำรอย “นิรโทษกรรมสุดซอย”  (อ่าน 472 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
“หมอธีระวัฒน์” ชี้ไม่จำเป็นต้องออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม เอาเวลาไปช่วยชีวิตผู้ป่วยดีกว่านั่งประชุมออก กม. ด้าน “พ.ท.พญ.กมลพรรณ” ระบุ รัฐบาลควรนิรโทษกรรมด้วยการแก้ไขข้อผิดพลาด ขณะที่ “ผศ.วันวิชิต” เชื่อหากดึงดันออก กม. จะเจอสึนามิลูกใหญ่ เหตุคนไม่ยอมให้ญาติพี่น้องตายฟรี “รศ.ดร.เจษฎ์” เตือน ระวังประชาชนลุกฮือต้าน ซ้ำรอย “นิรโทษกรรมสุดซอย” สมัยยิ่งลักษณ์ ข้อมูลชี้ชัด “นายกฯ” กุมอำนาจบริหารวัคซีนเบ็ดเสร็จ ฟันธง “บิ๊กตู่” เละแน่!

ท่ามกลางตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นถึงวันละกว่า 20,000 คน ประเด็นที่ร้อนแรงไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือ กระแสคัดค้าน “พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” หรือที่เรียกกันว่า “พ.ร.ก.นิรโทษกรรมวัคซีน”

โดยนอกจากในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ คือ ภาคีเครือข่ายพยาบาล Nurses Connect จะประกาศจุดยืนคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมดังกล่าว โดยระบุว่า เป็นการนิรโทษกรรมที่จงใจให้ผลประโยชน์แก่บุคคลที่บริหารงานบ้านเมือง ทำให้ตัวเองปลอดมลทินโดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรจากการบริหารจนระบบสาธารณสุขที่ล้มเหลว อีกทั้งกฎหมายฉบับนี้มีลักษณะไม่ต่างจาก “นิรโทษกรรมสุดซอย” เมื่อครั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเป็นการนิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งมีส่วนที่ทำให้ประชาชนต้องตายกว่า 6,000 คน

ในส่วนของประชาชนก็มีการเคลื่อนไหวเช่นกัน โดยล่าสุด ได้มีผู้เสนอแคมเปญรณรงค์คัดค้านการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมวัคซีน โดยให้ประชาชนร่วมลงชื่อคัดค้านผ่าน Chang.org ภายใต้ชื่อแคมเปญ “คัดค้าน พ.ร.ก.นิรโทษกรรม แบบเหมาเข่งคนจัดหาวัคซีน” ซึ่งปรากฏว่าผ่านไปเพียงแค่วันเดียวได้มีผู้ร่วมลงชื่อแล้วเกือบ 20,000 คนแล้ว ขณะที่ในโลกโซเชียลก็มีการขึ้นรูปและข้อความ “คัดค้าน พ.ร.ก.นิรโทษกรรม เหมาเข่งคนจัดหาวัคซีน” อย่างแพร่หลาย อีกทั้งในฟากฝั่งนักวิชาการต่างก็ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านการออกกฎหมายดังกล่าวชนิดที่เรียกว่ากระหึ่มเลยทีเดียว

และเมื่อสดับรับฟังเสียงของบรรดาแพทย์ในระดับแถวหน้า รวมถึงนักรัฐศาสตร์และนักกฎหมาย ก็ล้วนมองไปในทิศทางเดียวกัน

หมอแถวหน้าร่วมค้าน

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า ในส่วนของบุคลากรด่านหน้า ไม่ว่าจะเป็น หมอ พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม. เขาก็ปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว และจริงๆ แล้วประชาชนและผู้ป่วยก็เข้าใจว่าบุคลากรเหล่านี้ทำงานเกินตัว เกินจำนวนคน เกินชั่วโมงที่ควรจะทำงาน และไม่ได้หยุด บุคลากรการแพทย์เหล่านี้ทำงานภายใต้สถานการณ์ที่วิกฤต อุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ มีจำกัด และอุปกรณ์บางอย่างขาดแคลน ดังนั้นหากมีการคุ้มครองบุคลากรส่วนนี้ก็เป็นที่เข้าใจได้

แต่การจะพ่วงข้อ 7 ในพระราชกำหนด ที่ระบุว่า ...การนิรโทษกรรมให้หมายรวมถึง บุคคล/คณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาหรือบริหารวัคซีน (ไม่ว่าจะเป็น ศบค. ที่ปรึกษา หรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้อง) ... นั้น ส่วนตัวมองว่าบุคคลในระดับผู้บริหารหรือผู้นำองค์กรนั้นถือเป็นความรับผิดชอบโดยตรงที่จะประเมินสถานการณ์ ซึ่งจริงๆ แล้วการแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดมาตั้งแต่ปี 2563 ถ้าดูสถานการณ์จากโดยรอบประเทศก็ต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีน อุปกรณ์การแพทย์ หรือยารักษาโรคต่างๆ สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ

“ผมคิดว่าการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม ไม่มีความจำเป็นเลย เพราะบุคลากรที่ทำงานอยู่แล้วเขาก็ทำงานตามปกติ ปฏิบัติตามหน้าที่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินและอุปกรณ์ที่จำกัด ขณะที่ผู้บริหารวัคซีนก็มีหน้าที่ที่จะช่วยทำให้ผู้ปฏิบัติงาน ผู้ป่วย และประชาชนคนไทยมีความปลอดภัยที่สุด การจะออก พ.ร.ก.ตัวนี้มาเหมือนกับว่ารับทราบถึงความผิดพลาด แต่แทนที่จะบรรเทาความผิดพลาด กลับออกกฎหมายเพื่อที่จะไม่ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่ผ่านมาอาจจะไม่ถูกมองว่าเป็นปัญหา หรือไม่ได้นำมาเป็นบทเรียนและแก้ไข ทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องปกติ เพราะนิรโทษกรรมไปเรียบร้อยแล้ว แทนที่จะมานั่งเสวนา ระดมความคิดจากบุคลากรทางการแพทย์เพื่อออกกฎหมายนี้ ผมว่าให้ทุกองค์กรเร่งทำงานเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยที่สุดดีกว่า” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ระบุ

ด้าน พ.ท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี แกนนำเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศไทย มองว่า การที่รัฐบาลจะพ้นผิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาดในการจัดการวัคซีนและความผิดผิดพลาดในการออกนโยบายแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น ไม่ใช่ด้วยวิธีออกกฎหมายนิรโทษกรรม แต่ควรปรับยุทธศาสตร์ในการรักษาผู้ป่วยวันนี้ เดี๋ยวนี้ ซึ่งจะเท่ากับรัฐบาลได้นิรโทษกรรมความผิดของตนเองที่จะไม่ทำลายชีวิตของประชาชนเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้รัฐบาลเดินผิดพลาดแต่ไม่แก้ไข แล้วยังจะทำผิดพลาดต่อด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อให้สามารถทำผิดต่อไป ทำลายชีวิตประชาชนต่อไปได้

“มันเกิดคำถามว่าความผิดพลาดที่นำไปสู่การสูญเสียชีวิตของประชาชนนั้นมันเกิดจากผลประโยชน์ทับซ้อนในการปฏิบัติหน้าที่หรือเปล่า เขาไม่ได้โง่ในการบริหารจัดการ แต่เขาอาจฉลาดในการแสวงหาผลประโยชน์ และทำเป็นโง่ในบางเรื่อง การจัดซื้อซิโนแวคก็มีข่าวแว่วว่ามีทุนยักษ์ใหญ่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล มันมีความผิดปกติหลายอย่าง ไทยซื้อซิโนแวคจากจีนในราคาโดสละ 513 บาท แล้วยังบวกภาษีมูลค่าเพิ่มอีก ทำให้ตกโดสละ 549 บาท ขณะที่อินโดนีเซียซื้อจากจีนแค่โดสละ 444 บาท อีกทั้งมีคำถามว่าทำไมไม่ซื้อซิโนฟาร์ม ทั้งที่คุณภาพดีกว่าแต่ราคาพอกัน” พ.ท.พญ.กมลพรรณ ตั้งข้อสังเกต

นัก กม.เตือนมวลชนอาจลุกฮือ

ด้านฝั่งนักรัฐศาสตร์และนักกฎหมายต่างก็มีมุมมองไม่ต่างกัน โดย ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง รองคณบดีฝ่ายบริหาร สถาบันรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เห็นว่า ผลดีจากการออก พ.ร.ก.ดังกล่าวก็คือการคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ แต่ข้อเสียคือ ข้อ 7 ของ พ.ร.ก.ที่คุ้มครองคณะบุคคลต่างๆ นั้นครอบคลุมไปถึงผู้ออกนโยบายด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะฝ่ายการเมือง เพราะต้องยอมรับว่ากระแสสังคมได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงการบริหารงานที่ผิดพลาดในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการประเมินสถานการณ์ต่างๆ การล็อกดาวน์ การออกคำสั่งต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ประชาชนได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ หรือความไม่มีประสิทธิภาพในการกำหนดนโยบายของฝ่ายการเมือง ล้วนเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ และไม่ใช่แค่ฝ่ายการเมืองในกระทรวงสาธารณสุข แต่รวมถึงฝ่ายการเมืองใน ศบค.ด้วย

“สำหรับหมอและพยาบาลซึ่งเขาทำงานเต็มที่แล้ว เชื่อว่าประชาชนไม่เอาผิดหรอก แต่ฝ่ายการเมืองที่คลอดนโยบายต่างๆ ออกมาเนี่ยประชาชนเขาไม่เชื่อมั่น แต่ถ้าหากไม่ต้องมีใครรับผิดชอบเลยหลังจากที่ออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมฉบับนี้ ผมคิดว่าตรงนี้จะกลายเป็นสึนามิลูกใหญ่ทางการเมืองได้ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับปี 2557 การปลดล็อกให้นักการเมืองที่ได้ประโยชน์จากความเสียหายตรงนี้ แม้บางคนจะบอกว่าน้ำหนักของประเด็นไม่เหมือนกัน ปี 2557 ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมให้คนทุจริต แต่อย่าลืมว่าการนิรโทษกรรมครั้งนี้มันก็มีคนผิดพลาด ขาดวิสัยทัศน์ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายและการสูญเสียชีวิตของผู้คน ซึ่งการออกกฎหมายคุ้มครองคนเหล่านี้ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าต้องตายฟรีหรือเปล่า ซึ่งเขาคงไม่ยอมแน่ๆ” ผศ.วันวิชิต กล่าว

รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านกฎหมาย ระบุว่า หากรัฐบาลดึงดันที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมดังกล่าว ก็เชื่อว่าจะเกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน ซึ่งน่าจะเทียบเคียงได้กับการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมสุดซอย ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งครั้งนั้นถ้าเป็นการนิรโทษกรรมให้เฉพาะผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง ซึ่งไม่ได้เป็นแกนนำ ไม่ได้ทำผิดอะไร กฎหมายฉบับนั้นก็ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครไปทำอะไรนายกฯ ยิ่งลักษณ์ได้หรอก แต่มันไม่ใช่ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน สมมติว่าตั้งใจออกกฎหมายเพื่อปกปิดหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเขาสงสัยกันว่าอาจมีการทุจริตประพฤติมิชอบในการจัดหาวัคซีน มันก็จะเข้าข่ายเหมือนครั้งนิรโทษกรรมสุดซอยเพื่อปกปิดความผิดจากการรับจำนำข้าว ดังนั้น ถ้าออกกฎหมายฉบับนี้ต้องเกิดปัญหาแน่นอน

“มีความเป็นไปได้ที่อาจมีการเคลื่อนไหวต่อต้านเหมือนครั้งนิรโทษกรรมสุดซอย เพราะตอนนี้ประชาชนรู้สึกว่าท่านพยายามเอาสิ่งที่ซุกไว้ใต้พรมไปเผาทิ้งแล้วไม่ถือว่ามีความผิดอันใด ทั้งที่ประชาชนอยากให้ท่านเปิดพรม ถ้าเจอความผิดอะไรเขาก็จะจัดการ ท่านกลัวตรงนั้นไง ท่านกลัวความรับผิดชอบทางการเมือง กลัวว่าจะถูกประชาชนขับไล่ ยิ่งออกกฎหมายมาเพื่อให้พ้นผิดก็ยิ่งไปกันใหญ่ อาจเกิดกระแสความไม่พอใจและลุกฮือขึ้นขับไล่เหมือนเมื่อครั้งนิรโทษกรรมสุดซอย” รศ.ดร.เจษฎ์ แสดงความวิตก

นายกฯ กุมอำนาจบริหารวัคซีน

อย่างไรก็ดี สังคมมีการตั้งคำถามว่าใครคือผู้บริหารสูงสุดในการจัดการหาวัคซีน มีที่มาที่ไปอย่างไร และใครคือผู้ที่ควรรับผิดชอบ?

หากไล่เรียงดูจะพบว่า ก่อนที่วัคซีนโควิด-19 ล็อตแรกจะมาถึงไทยในเดือน ก.พ.2564 คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน ได้แต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19” ขึ้นมาดูแลเรื่องวัคซีน

แต่ต่อมา วันที่ 26 เม.ย.2564 รัฐบาลได้ตั้ง "ศูนย์บริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 แบบเบ็ดเสร็จ" โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ ผู้เป็น ผอ.ศบค. นั่งบัญชาการด้วยตนเองแบบ "Single Command" และมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในขณะนั้น ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการโควิด-19 (ศปก.ศบค.) เป็น "มือขวา" ของ ผอ.ศบค. ส่งผลให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งขึ้นต้องหมดบทบาทลง และเป็นเพียงผู้รับและปฏิบัติตามคำบัญชาของ ศบค. เท่านั้น

จากนั้นในวันที่ 5 พ.ค.2564 นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งแต่งตั้ง “คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19” ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการ 22 คน โดยมีเลขาธิการ สมช. เป็นประธานกรรมการ ส่วน รมว.สาธารณสุข และ รมช.สาธารณสุข มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษา

ทั้งนี้ ช่วงปลายเดือน พ.ค.2564 นายอนุทิน ได้ชี้แจงกับบรรดา ส.ส.ที่มาบ่นถึงปัญหาในการกระจายวัคซีน ว่า “การกระจายวัคซีนในขณะนี้ สธ. (กระทรวงสาธารณสุข) เป็นผู้กระจายตามการกำหนดและความเห็นชอบของ ศบค. ว่าจะให้ส่งไปที่ไหน เวลาใด จำนวนเท่าไร”

อีกทั้งนายอนุทิน ยังให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงการจัดสรรวัคซีนในทำนองเดียวกันว่า “ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่จัดส่งวัคซีน โดยรับออเดอร์ (คำสั่ง) มาจาก ศบค. ว่าจะให้กระทรวงส่งไปที่ไหน เท่าไหร่ เลขาธิการ สมช. เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินงาน ผมไม่ได้ไปประชุมร่วม ศบค. ผมมีหน้าที่รับออเดอร์จาก ศบค. ว่าให้จัดวัคซีนไปที่ไหนพอ เขาเอาเรื่องนโยบายไปกำกับที่ ศบค. แล้ว ผู้สื่อข่าวก็ต้องปล่อยผมหน่อยสิ ก็ต้องไปถามที่ ศบค. ตอนนี้ผมเป็นผู้ปฏิบัติคนหนึ่ง”

ซึ่งสรุปได้สั้นๆ ว่า กระทรวงสาธารณสุขไม่มีอำนาจในการจัดสรรวัคซีน ทำได้เพียงจัดส่งวัคซีนตามออเดอร์ของ “ศบค.” ที่มีนายกฯ เป็นผู้อำนวยการเท่านั้น

ผศ.วันวิชิต กล่าวว่า ในเมื่อปรากฏชัดว่าอำนาจสูงสุดในการบริหารจัดการวัคซีนอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดังนั้น หากสามารถออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมดังกล่าวได้สำเร็จ ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบก็คือ พล.อ.ประยุทธ์

“มีความเป็นไปได้สูงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะโดนเละ คือรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามามีอำนาจเพราะความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อการออกกฎหมายนิรโทษกรรมของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ แล้วคุณจะมาออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองเสียเอง มันก็จะเป็นกงกรรมกงเกวียน มีสัญญาณว่างานนี้คุณเจอหนักแน่” ผศ.วันวิชิต กล่าว

ขณะที่ รศ.ดร.เจษฎ์ มองว่า หากกฎหมายดังกล่าวออกมาบังคับใช้ นอกจากคนจะพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว ผู้ที่เสนอกฎหมาย รวมถึง รมว.สาธารณสุข ซึ่งเป็นคนรับเรื่องนี้มาดำเนินการต่อ ก็ต้องถูกกระแสสังคมเล่นงานเช่นกัน เพียงแต่ พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะโดนหนักกว่าคนอื่น

11 ส.ค. 2564 ผู้จัดการออนไลน์

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
นายกสมาคมทนายลั่น ออกพรก.จำกัดความรับผิดบุคลากร มีวาระซ่อนเร้น เเฝงนัยยะไม่สุจริต เอาบุคลากรเเพทย์บังหน้าปกป้องคณะจัดหาวัคซีนล้มเหลว

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม  นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ความว่าแม้เจตจำนงของร่างพระราชกำหนดจำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 จะเป็นไปเพื่อปกป้องคุ้มครองบุคลากรสาธารณสุขและสถานพยาบาลมิให้ต้องรับผิดตามกฎหมายทั้งความรับผิดทางแพ่ง ทางอาญา ทางวินัยและทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ อันมีข้อยกเว้น หากการกระทำดังกล่าวเป็นไปโดยไม่สุจริต การกระทำนั้นประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงและการกระทำนั้นเกิดหรือมูลเหตุมาจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลตามที่บัญญัติไว้ในในรัฐธรรมนูญเห็นว่า หากแต่ความคุ้มครองส่วนบุคคลในสาระสำคัญมิได้แตกต่างไปจากพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548ตามมาตรา 17 พนักงานเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดนี้ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย หากเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ประกอบกับพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.2551มาตรา 29(1) และตามประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินเรื่อง ประเภท ระดับ อำนาจหน้าที่ ขอบเขตความรับผิดชอบและข้อจำกัดของหน่วยปฏิบัติการ พ.ศ. 2562ข้อ 5(9) ดำเนินการให้ผู้ปฏิบัติการเป็นเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่เพื่อให้ผู้ปฏิบัติการนั้นได้รับความคุ้มครองรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่ผู้ปฏิบัติการของหน่วยปฏิบัติการนั้นได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการให้ความคุ้มครองผู้ปฏิบัติการต่อผู้เสียหายในผลแห่งความละเมิด

นายนรินท์พงศ์  แถลงว่าจากเหตุดังกล่าวข้างต้น ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายที่มีสภาพบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันจึงเพียงพอต่อการให้ความคุ้มครอง ปกป้องให้บุคลากรทางสาธารณสุขที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต มีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอยู่แล้วปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมั่นใจแต่ในสาระสำคัญของความครอบคลุมของบุคคลที่ได้รับประโยชน์ตามข้อ 7 พ.ร.ก.ฉุกเฉินดังกล่าว “บุคคล/คณะบุคคล ที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาหรือบริการวัคซีน” หาควรรวมไปถึงการกระทำของรัฐบาลหรือบุคคล/คณะบุคคล ที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายที่ได้กระทำการบริหารทางสาธารณสุขผิดพลาด ล้มเหลว ละเลย จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และความเจ็บป่วย ล้มตายของประชาชนในชาติ

สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย มีความเห็นว่า การออกพ.ร.ก.ดังกล่าว หากสามารถทำให้เกิดความคุ้มครองบุคคลตามข้อ 7 โดยไม่ต้องรับผิดได้ด้วยแล้ว ก็น่าจะเป็นการออกพ.ร.ก.ที่ขัดกับเจตนารมณ์ที่แท้จริง เนื่องจากมิได้มีเจตนาออกมาเพื่อคุ้มครองบุคคลทางการแพทย์ หรือบุคลากรหน้าด่านที่ปฏิบัติหน้าที่เพียงอย่างเดียว แต่กลับเป็นการออกพ.ร.ก.ที่มีการแอบแฝงที่มีนัยยะไม่สุจริต มีวาระซ่อนเร้น ปกปิดโดยเอาบุคลากรทางการแพทย์ฯ เป็นข้ออ้างบังหน้าเพื่อหวัง ปกป้องเพื่อคุ้มครองบุคคลตามข้อ 7 ให้ได้รับประโยชน์จากร่างพ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่

12 สิงหาคม 2564
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2881714

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
อัยการชี้ ไม่เข้าเงื่อนไขรธน. ค้านออก พรก.นิรโทษวัคซีน ชี้มีพรบ.รับผิดละเมิดคุ้มครองจนท.อยู่แล้ว ระวังกระทบสิทธิ์ผู้ป่วย

อัยการ ชี้พ.ร.ก.นิรโทษวัคซีน ขัดรธน.- นายธนกฤต วรธนัชชากุล ผอ.สำนักงานประสานงานกระบวนการยุติธรรม สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด โพสต์เฟซบุ๊กให้ความเห็นเรื่อง พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดฯว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งต้องให้ความคุ้มครองบุคลากรสาธารณสุขด่านหน้า แต่ขอให้ข้อสังเกตที่เป็นความเห็นส่วนตัวทางวิชาการในประเด็นข้อกฎหมาย

1. รัฐธรรมนูญ มาตรา 172 กำหนดถึงเหตุความจำเป็นการออกพ.ร.ก. ต้องเป็นกรณีเพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ และกระทำได้เมื่อครม.เห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่จำเป็นรีบด่วนมิอาจหลีกเลี่ยงได้ การออกพ.ร.ก.ดังกล่าว น่าจะยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ

2. พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง และมาตรา 8 วรรคหนึ่ง ให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตไว้แล้ว กรณีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานของรัฐต้องเป็นผู้รับผิดต่อผู้เสียหาย จะฟ้องเจ้าหน้าที่ที่กระทำละเมิดไม่ได้

และหากเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดไปโดยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานรัฐไม่มีสิทธิจะเรียกให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคืนรัฐได้ ดังนั้น เจ้าหน้าที่บุคลากรสาธารณสุขย่อมได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.นี้

ตามประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน เรื่อง ประเภท ระดับ อำนาจหน้าที่ ขอบเขตความรับผิดชอบและข้อจำกัดของหน่วยปฏิบัติการ พ.ศ.2562 ข้อ 5 (9) กำหนดให้ต้องดำเนินการให้ผู้ปฏิบัติการในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉิน เป็นเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

3.ประกาศกระทรวงสาธารณสุข 3 มี.ค.2563 กำหนดให้ผู้ป่วยโควิด 19 เป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน ต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินจากสถานพยาบาล และตามพ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.2551 มาตรา 28 กำหนดหลักการคุ้มครองความปลอดภัยผู้ป่วยฉุกเฉินไว้

อีกทั้งมีประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน เรื่อง ประเภท ระดับ อำนาจหน้าที่ ขอบเขตความรับผิดชอบ และข้อจำกัดของหน่วยปฏิบัติการ พ.ศ.2562 ออกโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉินฯ มาตรา 29 (1) คุ้มครองความปลอดภัยผู้ป่วยฉุกเฉิน ให้เป็นไปตามหลักการคุ้มครองในมาตรา 28 ดังนั้น หากจะออกพ.ร.ก.ควรพิจารณาว่า จะมีผลกระทบต่อหลักการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ป่วยฉุกเฉินดังที่กล่าวไปหรือไม่

4.หากมีกรณีที่เกิดข้อจำกัดทางด้านบุคลากร ทรัพยากร เวชภัณฑ์ วัคซีนหรือเรื่องอื่นใด ที่ทำให้เป็นข้อจำกัดหรือเป็นอุปสรรคในการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินจากโควิด 19

การปรับปรุงแก้ไขประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินฯ 2562 หรือการออกประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน เรื่องการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด 19 เป็นการเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องสถานการณ์โดยไม่ส่งผลกระทบต่อหลักการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ป่วยฉุกเฉินตาม พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน ฯ มาตรา 28 ก็อาจเป็นเรื่องที่ควรมาพิจารณาด้วย

12 ส.ค. 2564
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6560295