ผู้เขียน หัวข้อ: สธ. รับจำนวนคนติดโควิด-19จริงสูงกว่าที่รายงาน กทม.เผยสถานการณ์ในกรุงเทพฯ "รุนแรง  (อ่าน 319 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด
กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปฏิเสธว่าไม่ได้ปิดบังยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายหลังมีการเปิดเผยเอกสารภายในของกรมควบคุมโรคที่ระบุข้อมูลวิชาการว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือผู้ป่วยสีเขียวต่ำกว่าความเป็นจริง 6 เท่า แต่ยอมรับว่า ตัวเลขการติดเชื้อจริงในไทยน่าจะสูงกว่าที่มีการรายงาน

การชี้แจงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีการเผยแพร่เอกสารภายในของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ผ่านเฟซบุ๊ก นพ. เดชา ปิยะวัฒน์กูล ชื่อเอกสาร "คาดการณ์สถานการณ์การระบาด COVID-19 ของประเทศไทย ระหว่าง ส.ค.- ธ.ค. 2564" ซึ่งมีการระบุว่าผู้ติดเชื้อกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยของวันที่ 25 ก.ค. มีจำนวน 67,501 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่คาดการณ์ว่าต่ำกว่าความจริงประมาณ 6 เท่า นั่นหมายถึงว่าอาจมีผู้ป่วยสีเขียวกว่า 405,000 รายทั่วประเทศ

เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่มีอาการหนักขึ้นเป็นระดับสีเหลืองและสีแดงที่เอกสารคาดการณ์ว่าตัวเลขที่รายงานต่ำกว่าความจริง 3 และ 1 เท่าตามลำดับ

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่เผยแพร่หนังสือภายในกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าผลการตรวจคัดกรองด้วยด้วยชุดตรวจแอนติเจน (antigen test kit -ATK) ไม่ต้องรายงานในระบบการรายงานโรคติดเชื้อ

นายกฯ ขอบคุณอังกฤษบริจาควัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าให้ไทย
เหตุใดปีนี้บราซิลมีผู้หญิงตั้งครรภ์เสียชีวิตไปกว่า 1,000 รายแล้ว
5 ชีวิตต่อ 1 ร่าง เบื้องหลังการทำงานของทีมเก็บศพมูลนิธิร่วมกตัญญูช่วงระบาด
นพ. รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษก สธ. ชี้แจงกับบีบีซีไทยถึงกรณีนี้ว่า สถานการณ์ขณะนี้อยู่ในช่วงวิกฤต ดังนั้นตัวเลขที่ สธ. ใช้ติดตามสถานการณ์การระบาดจะใช้ "ความเป็นตัวแทน" หรือ proxy indicator เท่านั้น เช่น ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นกับตัวเลขผู้ป่วยอาการหนัก

โฆษก สธ. กล่าวว่า การตรวจด้วยชุดตรวจแอนติเจน ทำให้ทราบจำนวน "ผู้ป่วยน่าจะเป็น" (probable case) ที่นำมาใช้ประเมินสถานการณ์จริงเพื่อการควบคุมโรค ซึ่งเป็นวิธีการมาตรฐานที่ทั่วโลกทำอยู่ไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักรหรือสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ได้ตรวจด้วยวิธีการ RT-PCR ทุกราย เนื่องจากวิธีนี้รู้ผลช้า แต่สิ่งสำคัญตอนนี้การตรวจด้วย ATK นำมาใช้เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชนต่าง ๆ เพื่อเข้าควบคุมโรค และต้องการค้นหาผู้ที่มีอาการหนักเพื่อให้ได้รับการรักษาให้เร็วที่สุด ซึ่งตอนนี้มีการนำระบบการรักษาตัวที่บ้าน (home isolation) มาใช้ โดยจ่ายยา เครื่องมือวัดออกซิเจน อุปกรณ์วัดไข้และการรักษาผ่านวิดีโอคอลเข้ามาใช้

"กระทรวงสาธารณสุขไม่มีเจตนาที่จะปิดบังตัวเลข หรือกดตัวเลขอยู่แล้ว เพราะทุกตัวเลขเราใช้หมด แม้กระทั่งนักวิชาการมาประเมินว่า 6 เท่า 10 เท่า อะไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ เราก็มาใช้ในการควบคุมโรค"

อย่างไรก็ตาม โฆษก สธ. กล่าวกับบีบีซีไทยว่า "ถึงแม้จะนับทั้งสองตัวเลข (การตรวจแบบ RT-PCR และตรวจด้วยชุดตรวจแอนติเจน) ตัวเลขก็น่าเชื่อว่ายังต่ำกว่าความเป็นจริงของการติดเชื้อ"

"เราเชื่อว่ามันเกินกว่านี้จริง ๆ เกินกว่าตัวเลขที่รายงานแต่ละวัน" นพ.รุ่งเรืองกล่าว

2 เดือน ชี้วัดผลล็อกดาวน์ ระดมฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง
โฆษก สธ. บอกว่า มาตการควบคุมโรคที่ใช้อยู่ในขณะนี้ "เน้นลดการตาย ลดป่วยหนัก" ด้วยการล็อกดาวน์ใน 13 จังหวัด จำกัดการเดินทาง ให้ทำงานที่บ้าน 100% ประกอบกับการเร่งฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยง และมาตรการการรักษาตัวที่บ้าน หากดำเนินมาตรการเหล่านี้อย่างเคร่งครัด จะเห็นทิศทางตัวเลขที่ดีขึ้นในช่วง 2 เดือนข้างหน้า และจะรักษาระบบสาธารณสุขสำหรับการดูแลผู้ป่วยหนักที่อาจจะเสียชีวิตได้ดีขึ้น

"(หากควบคุมตามมาตรการขั้นสูงสุด) สถานการณ์หลังจาก 2 เดือนข้างหน้าก็จะดีขึ้น แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็จะทรงตัวหรือลดลง แต่ลดลงไม่มาก"

โฆษก สธ. ไม่ระบุว่าจะมีการยกระดับมาตรการหรือไม่ แต่ย้ำว่าขึ้นอยู่กับการปฏฺิบัติตามมาตรการได้อย่างเต็มที่หรือไม่

"จริง ๆ มาตรการที่กำหนดมาดีแล้ว ถูกหลักวิชาการ ถูกมาตรฐานการควบคุมโรคเลย แต่วันนี้ประเด็นอยู่ที่ความเข้มข้นของมาตรการที่ทำ" นพ. รุ่งเรืองกล่าว

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานว่าในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 17,669 ราย เสียชีวิต 165 ราย ซึ่งเป็นสถิติที่สูงสุดอีกครั้ง

สถานการณ์ใน กทม. "รุนแรงคงที่"
เวลา 11.00 น. วันนี้ ร.ต.อ. พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วยผู้อำนวยการสำนักการแพทย์และสำนักอนามัยของ กทม. แถลงข่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกรุงเทพฯ โดยยอมรับว่าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นเห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อในกรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2 วันที่ผ่านมา

ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงเทพฯ 3,396 ราย ซึ่งโฆษก กทม. อธิบายว่าเป็นการนับจากผลการตรวจแบบ RT-PCR เท่านั้น ส่วนผู้ที่ตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจนแบบรู้ผลเร็ว (ATK) และผลเป็นบวกจะยังไม่นับ รายงานไปที่ สธ. เพราะถือว่ายังเป็น "ผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ"

"เราไม่ได้เป็นศัตรูกัน ศัตรูที่แท้จริงของเราคือโควิด-19" ร.ต.อ. พงศกรกล่าว

ประเด็นอื่น ๆ ที่ กทม. รายงานในการแถลงข่าวมีดังนี้

จำนวนวัคซีนที่ได้รับจัดสรร
ร.ต.อ.พงศกรกล่าวว่า กทม. ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าทั้งหมด 1,220,000 โดส ผ่านระบบหมอพร้อม เกือบทั้งหมดให้บริการฉีดร่วมกับ สธ. ส่วนที่เหลืออีก 30,000 โดสนำไปให้บริการผู้ป่วยติดเตียงและการฉีดเชิงรุก

กทม. ตั้งเป้าว่าจะต้องฉีดวัคซีนให้ได้ 70% ของประชากรในกรุงเทพฯ เน้นผู้ที่มีความเสี่ยงอาการรุนแรง และผู้สูงอายุ ซึ่ง กทม. ได้ดำเนินการตามเป้าหมายนี้มาโดยตลอด

ทั้งนี้ศูนย์ฉีดวัคซีนของ กทม. ทั้ง 15 แห่งมีศักยภาพฉีดได้ 70,000-80,000 โดสต่อวัน และมีการฉีดใน รพ.อีก 30,000 โดสต่อวัน แต่จำนวนนี้ฉีดได้จริงนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่ได้รับจัดสรรมา

เขายอมรับว่าขณะนี้ศูนย์ฉีดวัคซีนหลายแห่งปิดให้บริการชั่วคราวอยู่

"ในอนาคตถ้าเกิดมีวัคซีนมา สมมติว่าได้เยอะเราก็พร้อมที่จะเพิ่มศักยภาพอีก...เราก็พร้อมที่จะดำเนินการตามที่วัคซีนที่ได้รับมา" โฆษก กทม. กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุใดจึงไม่กระจายวัคซีนของศูนย์บางซื่อมายังศูนย์ฉีดของ กทม. เพื่อลดความแออัดของการฉีดที่ศูนย์บางซื่อ ร.ต.อ.พงศกรตอบว่า กทม. ได้แจ้งไปหลายครั้งว่าพร้อมที่จะช่วยแบ่งเบาความแออัดของศูนย์ฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อ แต่อำนาจการบริหารไม่ได้ขึ้นอยู่กับ กทม. แต่ สธ.เป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุดในการจัดการเพื่อควบคุมโรค

"เราพร้อมและสถานที่เรามีการบริหารจัดการที่ไม่ให้เกิดความแออัดได้ครับ"

ประชาชนจำนวนมาก เดินทางมาตรวจคัดกรองโรคโควิด 19 ด้วยวิธีตรวจแอนติเจน (Rapid Antigen Test) โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งสามารถรู้ผลได้ใน 30 นาที ที่ บริเวณลานจอดรถชั้น 1 อาคารบี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถ.แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ เมื่อ 27 ก.ค. 2564

สำหรับการใช้งบประมาณเพื่อซื้อวัคซีนเองของ กทม. นั้น ร.ต.อ. พงศกรกล่าวว่าที่ผ่านมา กทม. ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่สามารถจัดซื้อวัคซีนตัวเลือกได้ ได้ซื้อวัคซีนซิโนฟาร์มมาฉีดให้ผู้ป่วยติดเตียงไปบ้างแล้ว แต่ได้รับการจัดสรรมาไม่มากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหน่วยงานที่นำเข้าต้องการกระจายไปยังพื้นทื่อื่นที่มีความจำเป็นเช่นกัน และกทม. เป็นพื้นที่ที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนหลักเป็นจำนวนมากจากรัฐอยู่แล้ว

กทม. เตียงเต็ม
นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์กล่าวว่าขณะนี้เตียงโรงพยาบาลสำหรับรองรับผู้ป่วยระดับสีแดงและเหลืองมีการครองเตียงเกินศักยภาพแล้ว ทำให้โรงพยาบาลต้องปรับเปลี่ยนหอผู้ป่วยอื่น ๆ เพื่อรองรับตามความจำเป็น

นพ. สุขสันต์กล่าวว่า รพ. สังกัด กทม. 11 แห่งกำลังดำเนินการ "เบ่งเตียง" สำหรับผู้ป่วยสีเหลืองเพิ่มให้ได้อีก 188 เตียง รวมเป็น 2,942 เตียง และเพิ่มเตียงผู้ป่วยสีแดงอีก 37 เตียง

จำนวนเตียงสำหรับผู้ป่วยสีเขียวในฮอสปิเทลก็ใกล้เต็มแล้วเช่นกัน แต่มีนโยบายจะเพิ่มให้ได้อีก 10%

ขณะนี้ใน รพ.สนามทั้งหมดของ กทม. ซึ่งมีทั้งหมด 1,165 เตียง ได้เปลี่ยนสถานะไปรองรับผู้ป่วยสีเหลืองแล้ว โดยการเพิ่มเครื่องผลิตออกซิเจนและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ดูแล และยังได้พัฒนาศูนย์พักคอยขึ้นมาเป็น รพ.สนามแล้วจำนวน 7 แห่ง ทำให้มีเตียงรองรับผู้ป่วยสีเหลืองได้เพิ่มขึ้นมาอีก 986 เตียง

นพ.สุขสันต์ให้ข้อมูลว่า ณ วันที่ 29 ก.ค. ในกรุงเทพฯ มีผู้ป่วยรอเตียง 1,258 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยสีเหลือง 338 เตียง สีเขียว 143 เตียง และยังมีผู้ป่วยอีก 777 รายที่ยังรอการคัดกรอง

สำหรับผู้ป่วยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่เข้าสู่ระบบการรักษาที่บ้าน (home isolation) แล้วมีประมาณ 6,000 ราย

แคมป์คนงานกลับมาเปิดแล้ว
พญ. ป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย รายงานความคืบหน้าเรื่องมาตรการการปิดแคมป์คนงานและไซต์งานก่อสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นเวลา 30 วัน ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 27 ก.ค. ทำให้ขณะนี้กลับมาทำงานได้แล้ว แต่ ศบค. ยังคงให้ใช้มาตรการ "บับเบิลแอนด์ซีล" ต่อไป คือให้คนงานเดินทางเฉพาะระหว่างที่พักและไซต์งาน เพื่อลดการสัมผัสในชุมชน แต่หากพบการระบาดเพิ่มอีก ก็จะต้องหารือกับ ศบค. ต่อไป

พญ. ป่านฤดีกล่าวว่าช่วงที่ผ่านมาได้มีการฉีดวัคซีนให้คนงานในแคมป์ก่อสร้าง และมีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ให้คำแนะนำเรื่องสุขอนามัยและมาตรการด้านสุขาภิบาล เพื่อรองรับการกลับมาเปิดกิจการ และขณะนี้การระบาดที่พบในแคมป์คนงาน 27 แห่งจากทั้งหมด 588 แห่งในกรุงเทพฯ เริ่มทรงตัวแล้ว

29กค2564
https://www.bbc.com/thai/thailand-58009764