ผู้เขียน หัวข้อ: หมดกันจริงๆ!ลุงลักหลับล็อกดาวน์กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยิ่งตอกย้ำผู้นำไม่เคยพูดความจริง  (อ่าน 369 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9745
    • ดูรายละเอียด
ข่าวปนคน คนปนข่าว

**หมดกันจริงๆ! ลุงลักหลับกลับไปกลับมา ล็อกดาวน์กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยิ่งตอกย้ำผู้นำไม่เคยพูดความจริง-ฝากความหวังอะไรไม่ได้ แล้ว

คำสั่งล็อกดาวน์กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และ 4 จังหวัดภาคใต้ กลางดึกคืนก่อนโดยให้มีผล 28 มิ.ย.นี้ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาจากสังคมรุนแรงกว่าที่ผ่านมา เห็นได้จาก แฮชแท็ก #ประยุทธ์ออกไป กระหึ่มไปทั่วเน็ต

“แม็กซ์” ณัฐวุฒิ เจนมานะ นักร้องหนุ่ม เจ้าของเพลงดัง “วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า” โพสต์ทวิตเตอร์ว่า ไม่ได้โกรธที่ล็อกดาวน์ ไม่ได้หงุดหงิดที่ต้องปรับตัว แต่โมโหที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาไม่ชัดเจน ไม่รับรู้ถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหาของรัฐเลย ไม่รู้สึกปลอดภัย ไม่มีเหตุมีผล ไม่เห็นแผนใดๆ เหมือนเราเป็นแค่ฝุ่นผงในสายตาเขา ซึ่งชีวิตคนไม่ใช่ธุลี ไม่ใช่ตัวเลข แต่เหมือนพวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลย”

ขณะที่ “โปเต้” ปิยะพงษ์ เล็ก​ประยูร นักร้องหนุ่มขวัญใจวัยรุ่นจากวงมีน ก็โพสต์ว่า “โกรธที่ไม่เคยทำให้มีความหวัง เกลียดที่หากินกับวิกฤตแบบเห็นแก่ตัวไม่เห็นหัวผู้คน สำหรับคนที่ยังเชียร์อยู่ ไม่เดือดร้อนกันเลยหรือครับ มองไม่เห็นปัญหากันหรือยังไง #ล็อกดาวน์กรุงเทพ”

สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ หรือ “นิ้วกลม” นักเขียนชื่อดัง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “Roundfinger” ถามรัฐบาลว่า ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม?? เราต้องการผู้นำที่มีหัวจิตหัวใจมากกว่านี้ มีศักยภาพกว่านี้ ไม่งั้นเราจะตายกันหมดจริงๆ ไม่เฉพาะจากโรคระบาด แต่จากความท้อใจ สิ้นหวัง หมดแรง ที่จะต้องเผชิญความไม่แน่นอนซ้อนความไม่แน่นอนที่เกิดจากการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ

ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหมครับ หรือเสียงหัวเราะของคนรอบตัวของท่านมันดังกลบไปหมดแล้ว ???
ชีวิตประชาชนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าเราได้เห็นความจริงใจ ความพยายามในการหาวัคซีนที่หลากหลายตั้งแต่ต้น การคิดถึงประชาชนก่อนผลประโยชน์ของตัวเอง หรือคนได้เปรียบทั้งหลาย ความโปร่งใสในการแก้ปัญหา ความตรงไปตรงมา ในการแจ้งข้อมูลข่าวสาร รวมถึงศักยภาพและฝีมือในการรับมือรวมถึงสื่อสาร ต่อให้สถานการณ์เลวร้ายก็จะสู้ไปด้วยกัน แต่ที่ผ่านมา ทั้งหมดมันไม่ใช่เลย

ประชาชนทำเต็มที่แล้ว ท่านทำอะไรที่ดีกว่านี้เพื่อประชาชนบ้างหรือยัง ถ้าทำไม่ได้ ลาออกเถอะครับ ...ออกไปเถอะครับ
นี่แค่ตัวอย่างความรู้สึกของเหล่าคนดังที่ส่งผ่านโลกโซเชียลฯ

ถามว่า ทำไมคำสั่ง Single command ครานี้สังคมถึงไม่ยอมรับ และผิดหวังอย่างที่สุด นั่นเพราะ นอกจากคำสั่งที่ออกมาแบบไม่ให้ตั้งตัว กลับไปกลับมา วันก่อนบอกไม่ล็อก ยังไม่ทันข้ามคืนก็ออกคำสั่งมา ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และไม่รู้ว่าจะได้ประโยชน์ที่จะคาดหวังผลได้แค่ไหน โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารของคนตัวเล็กๆ ครั้งนี้ไม่รู้จะอยู่รอดแค่ไหน สั่งของมาทำมาค้าขาย เจอแบบนี้บางคนถึงกับบอกว่า “เหมือนฟ้าผ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ทุกข์ทรมานกันแค่ไหนคงไม่ต้องบอก แต่วันก่อน พล.อ.ประยุทธ์ กลับงัดมุก ร้านอาหารก็ยังดีอยู่ ที่มีบริการ “Take home” และยังต่อสร้อยให้ขำขัน เป็นเพลง take me home county road ไปนู่น ท่ามกลางบรรยากาศที่ประชาชนเครียดจากโควิด ไม่มีใครจะขำไปกับผู้นำได้แน่ๆ

สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำว่า “รัฐบาลลุง” ไม่เคยจะยอมรับความจริง ไม่เคยพูดความจริง ตั้งแต่การแพร่ระบาดระลอกที่สาม ที่เสียชีวิตไปเป็นพัน ติดเชื้อสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์เลวร้ายลงทุกวัน ขณะที่วัคซีนบริหารจัดการไป แต่ไม่เพียงพอ ก็ไม่เคยที่จะบอกความจริงกับประชาชน ว่า แท้จริงปัญหาอยู่ตรงไหน จนกลายเป็นการรอคอยแบบเหนื่อยหน่าย ท้อแท้ กับการบริหารของรัฐบาล
เมื่อรัฐบาลโดยเฉพาะ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ไม่พูดความจริง เอาแต่ชูสองนิ้ว ทางหนึ่งประโคมโอ่ว่าเป็นสองนิ้วนี้เป็นตัววี

“Vaccine” และ “V-Victory” แต่ ใครชนะ นาทีนี้แทบจะมองไม่เห็นแสงสว่าง ตรงกันข้าม ความไม่จริงใจ จะเปิดเผยปัญหาและบอกข้อมูลที่จำเป็น ต่อประชาชน ทำให้ทุกคนทุกธุรกิจไม่รู้จะวางแผนรับมือยังไง มิหนำซ้ำยังขาดมาตรการเยียวยารองรับ เพื่อจะได้ปรับตัวกันก็เงื้อง่าราคาแพง

อารมณ์ของสังคมเวลานี้ก็ต้องบอกว่า หดหู่ พูดไม่ออก จุกอก

ดูโพลล่าสุดก็ออกมาว่า ประชาชนไม่เชื่อว่า การบริหารจัดการของรัฐบาลแบบนี้จะเปิดประเทศได้ใน 120 วัน

งานนี้ ประชาชนเขาทนไม่ไหวจริงๆ พอกันที หมดกัน หมดศรัทธาลุง และคงจะฝากความหวังอะไรไว้กับรัฐบาลไม่ได้แล้ว!!

**ตัวอย่างเรือนจำก็มีแล้ว “ฟ้าทะลายโจร” ช่วยได้ ยามคับขัน “รสนา” ร้องรัฐบาลใช้กับแคมป์คนงานทันที

กรณี “ล็อกดาวน์” กรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยเฉพาะการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง เป็นประเด็นที่มีความห่วงกันว่าจะยิ่งเพิ่มความเลวร้ายของการแพร่ระบาดของโควิดหนักขึ้น เพราะทันทีที่รัฐบาลออกคำสั่ง ความจริงที่ตามมาก็คือ แรงงานมีการเคลื่อนย้ายกันระนาว บ้างก็ถูกนายจ้างขนไปทิ้งไว้ตามแนวชายแดน

เรื่องนี้ “รสนา โตสิตระกูล” นักรณรงค์ด้านสุขภาพและสิทธิผู้บริโภค โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก “อย่าปฏิบัติกับแคมป์คนงานเหมือนนักโทษ” ระบุว่า การจัดการคุมเข้มป้องกันการระบาดโควิด เป็นเรื่องจำเป็นพอๆ กับการคิดถึงการดำรงชีวิตของคนงานด้วย เมื่อปิดแคมป์แล้ว การกินการอยู่ของคนงานจำนวนมากจะเป็นอย่างไร มีเงินช่วยเหลือเยียวยาเขาจริงๆ ตามที่ประกาศหรือไม่ ต้องคิดให้รอบด้าน ไม่ใช่จัดการราวกับคนงานเหล่านี้เป็นเหมือนนักโทษ

ภาวะวิกฤตเช่นนี้ การมองแค่มุมสาธารณสุขแบบกระแสหลักอย่างเดียว จะไม่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้จริง สิ่งที่รัฐบาลควรทำโดยรีบด่วนคือ กำหนดมาตรการขอความร่วมมือ การเข้าไปเยียวยาชดเชย และให้ความช่วยเหลือ ในระหว่างที่มีมาตรการกักตัว

“รสนา” มีข้อเสนอต่อรัฐบาล และ ศบค. ดังนี้

1. เมื่อปิดแคมป์ และคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อโควิด ให้กระจายฟ้าทะลายโจรลงไปในคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อทันที กินฟ้าทะลายโจรเป็นเวลา 5 วัน วันละ 4 ครั้งๆ ละ 3-4 แคปซูล ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยรักษาผู้ติดเชื้อได้รวดเร็วที่สุด

จากการเก็บข้อมูลของ “นพ.อเนก มุ่งอ้อมกลาง” ผอ.สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 สระบุรี ที่ทดสอบการใช้ยาฟ้าทะลายโจร ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พบว่า ผู้ต้องขังที่ติดโควิดเมื่อได้รับยาฟ้าทะลายโจร เป็นเวลา 5 วันแล้ว ตรวจไม่พบเชื้อโควิดภายในเวลา 8 วัน

2. เมื่อครบเวลา 8 วัน ให้มีการตรวจเชื้อโควิดแบบ swab rapid test ถ้าพบว่าผู้เคยติดเชื้อมีเชื้อเป็นลบ ให้แคมป์นั้นสามารถเปิดทำการได้โดยไม่ต้องถูกปิดถึง 1 เดือน ด้วยมาตรการเช่นนี้ จะได้รับความร่วมมือจากแรงงานและเจ้าของแคมป์และคลัสเตอร์

3. ระหว่างการปิดแคมป์หรือคลัสเตอร์ให้มีการชดเชย ช่วยเหลือการกินอยู่ และเงินค่าแรงที่เคยได้ ตามจำนวนวันเสมือนยังทำงานอยู่ จะช่วยไม่ให้แรงงานหนีกลับบ้านของตน เพราะกลัวขาดที่พึ่งพาการกินการอยู่ ยิ่งถ้ารู้ว่ามาตรการปิดคลัสเตอร์และแคมป์เป็นไปในระยะสั้น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และจะให้เปิดได้ในระยะเวลาอันสั้น ย่อมได้รับความร่วมมือง่ายขึ้น

หากการใช้ “ฟ้าทะลายโจร” สามารถหยุดการแพร่ระบาดได้ในแคมป์คนงาน ก็สามารถนำโมเดลนี้ไปใช้กับคลัสเตอร์อื่น และกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ซึ่งก็จะสามารถเปิดกิจการได้ในเวลาที่เหมาะสมต่อไป

“รสนา” ยังบอกว่า ขณะนี้ได้กระจายฟ้าทะลายโจรไปให้กับแคมป์คนงาน 2แห่งใน กทม.และนนทบุรี รวมทั้งคลัสเตอร์ของพี่น้องใน อ.เบตง จ.ยะลา ผ่านนายอำเภอเบตง จ.ยะลา ซึ่งจะมีการติดตามผลสัมฤทธิ์ต่อไป

จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการกระจาย “ยาฟ้าทะลายโจร” ลงในคลัสเตอร์และกลุ่มเสี่ยงต่างๆ อย่างทั่วถึง และรวดเร็วที่สุด ตามที่นายกรัฐมนตรี พล.อ ประยุทธ์ ได้ประกาศเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 64 ให้ใช้ยาฟ้าทะลายโจร ในการรักษาผู้ป่วยโควิด และคณะกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติได้เพิ่มสรรพคุณยาฟ้าทะลายโจร ในการใช้กับผู้ป่วยโควิดเพื่อป้องกันอาการรุนแรงขึ้น ซึ่งได้ประกาศในราชกิจาจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 64

ดังนั้น ในขณะนี้รัฐบาลจึงควรเร่งใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการบำบัดรักษาโควิดไม่เฉพาะแต่ในโรงพยาบาล เท่านั้น แต่ต้องกระจายการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในคลัสเตอร์ ชุมชนครอบครัว กลุ่มเสี่ยงต่างๆ เพื่อยับยั้งความรุนแรงของโรคโควิดตามที่ ศบค.เคยยืนยัน เพียงแต่ทุกภาคส่วนต้องร่วมด้วยช่วยกันปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร่งด่วนเพื่อสร้างทางรอดที่ปลายอุโมงค์ให้เป็นจริงได้

นี่ต้องยอมรับว่า มาตรการคุมเข้มแคมป์คนงานครั้งนี้ มีกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างแน่นอน แต่ทางออกก็ยังพอมี ถ้าจัดการดีๆ โดยเฉพาะกับการใช้ ฟ้าทะลายโจร สมุนไพรไทย ก็ต้องรอดูว่า รัฐบาลลุงตู่จะตอบรับเรื่องนี้แค่ไหน

28 มิ.ย. 2564  ผู้จัดการออนไลน์