ผู้เขียน หัวข้อ: “ผงหยาบ” VS “สารสกัด” ศึกชิงฟ้าทะลายโจร กับสงครามที่ยังไม่จบ  (อ่าน 634 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9759
    • ดูรายละเอียด
ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

วันนี้กระแสฟ้าทะลายโจรได้จุดติดจนขาดตลาดแล้ว โดยสมุนไพรตัวนี้มีพื้นฐานความน่าสนใจก่อนที่จะมีโควิด-19 สรุปได้ 5 ประการดังต่อไปนี้

ประการแรกสมุนไพรฟ้าทะลายโจรขึ้นทะเบียนเป็นบัญชียาหลักแห่งชาติและเป็นยาสามัญประจำบ้าน

ประการที่สองเป็นสมุนไพรที่บัญชียาหลักแห่งชาติได้ระบุข้อบ่งใช้ว่ารักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินหายใจบรรเทาอาการเจ็บคอบรรเทาอาการโรคหวัดเช่นเจ็บคอปวดเมื่อยกล้ามเนื้อลดไข้ซึ่งมีอาการหลายๆอย่างคล้ายโควิด-19

ประการที่สามจากงานวิจัยจำนวนมากทั่วโลกพบว่าฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ทางเภสัชคือลดไข้ต้านการอักเสบต้านไวรัสหลายชนิดกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

ประการที่สี่ข้อมูลสิทธิบัตรของจีน CN1454592Aและ CN1165302Cพบว่ามีฤทธิ์ต้านโคโรนาไวรัสคือโรคซาร์ส (เมื่อ 18ปีที่แล้ว)ซึ่งเป็นไวรัสตระกูลเดียวกันกับโควิด-19

ประการที่ห้าเป็นสมุนไพรที่มาจากจีนแต่ดันมีตัวยามากกว่าประเทศจีนเมื่อมาปลูกในประเทศไทยและเป็นพืชที่ขึ้นง่ายในประเทศไทยได้ด้วย

ในที่สุดด้วความพยายามของนักวิจัยไทยคณะหนึ่ง ก็ได้ทำฟ้าทะลายโจรของไทยก็ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมเภสัชในเรื่องโควิด-19 เป็นครั้งแรกขอโลก ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ

โดยเป็นการตีพิมพ์ใน วารสารทางวิชาการระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงของสมาคมเภสัชเวทแห่งอเมริกา ชื่อ Journal of Natural Products ซึ่งรายงานทางวิชาการของทีมนักวิจัยชาวไทยที่นำโดย คณิต เสงี่ยมสุนทร, อำภา สุขสาธุ, สุภาภรณ์ ปิติพร ฯลฯ ซึ่งในทีมมีนักวิจัยรวมทั้งสิ้น 18 คน

ซึ่งได้ทำวิจัยทดลองการใช้สารสกัดรวมของฟ้าทะลายโจร และสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของต้นฟ้าทะลายโจรต่อเซลล์เยื่อบุผิวปอดของมนุษย์ในหลอดทดลองที่ถูกทำลายจากเชื้อโควิด-19 โดยสามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสได้เป็นผลสำเร็จ เป็นครั้งแรกของโลก

ข้อสรุปของงานวิจัยนี้กล่าวว่า

“ในการทดลองได้ใช้ “สารสกัดรวมของฟ้าทะลายโจร”และ “สารแอนโดรกราโฟไลด์” บริสุทธิ์กับเซลล์เยื่อหุ้มปอดของมนุษย์ที่ติดเชื้อโควิดพบว่าสามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสไม่แตกต่างกัน”

และ

“....ฟ้าทะลายโจรมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นยาเดี่ยวหรือใช้ควบรวมกับสูตรยามาตรฐานในการรักษาผู้ที่ติดเชื้อโควิด ....”
ในงานวิจัยดังกล่าวยังระบุว่าฟ้าทะลายโจรปลอดภัยต่ออวัยวะสำคัญๆได้แก่ สมอง ปอด ตับ ไต ลำไส้อักเสบด้วย

ยิ่งแสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการสกัดจากบริษัทยาขนาดใหญ่เลย เพราะแม้แต่การใช้ฟ้าทะลายโจรสกัดรวมออกมาก็ให้ผลดีไม่ต่างจากการสกัดสารแอนโดรกราโฟไลต์แบบบริสุทธิ์ออกมา และที่สำคัญคือไม่พบการทำลายเนื้อเยื่อในอวัยวะใดๆด้วย

ต่อมานายแพทย์กุลธนิต วนรัตน์ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้เคยรายงานต่ออธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเมื่อเดือนมกราคม 2564โดยอ้างถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งของดร.สุภาพรภูมิอมรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

ดร.สุภาพร ภูมิอมรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้วิจัยการทดสอบระหว่างผงหยาบของฟ้าทะลายโจร (หมายถึงเอาฟ้าทะลายโจรตากแห้งบดเป็นผง)กับสารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ซึ่งสกัดออกมาเป็นสารเดี่ยวจากฟ้าทะลายโจรที่ใช้กับเชื้อโควิด-19ในหลอดทดลองสรุปได้ว่า

1.การทดสอบการยับยั้งการติดเชื้อของเซลล์ (Cell protection test) ทั้งแอนโดรกราโฟไลด์ และผงหยาบฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ยับบั้นการติดเชื้อไวรัส

2.การทดสอบฤทธิ์ยับยั้นเชื้อไวรัส (Viral inactivation test) นั้นผงหยาบฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสโควิด-19 มากกว่าสารแอนโดรกราโฟไลด์ โดยค่า IC50 ของผงหยาบฟ้าทะลายโจรและสารแอนโดรกราโฟไลด์ มีค่าน้อยกว่า 1 และ 1.56 ไมโครกรัมต่อมิลลิตร ตามลำดับ

3.การทดสอบฤทธิ์ต้านการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส (Antiviral test) พบว่า ทั้งผงหยาบฟ้าทะลายโจรและสารแอนโดรกราโฟไลด์มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในเซลล์ (Viral replication) โดยค่า IC50 ของผงหยาบฟ้าทะลายโจร และแอนโดรกราโฟไลด์ เท่ากับ 3.02 และ 0.64 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ

โดยเฉพาะข้อที่ 2 นี้สำคัญมาก

เพราะเท่ากับว่าสำหรับการยับยั้งเชื้อไวรัสนั้น ผงหยาบฟ้าทะลายโจร ออกฤทธิ์ดีกว่าสารแอนโดรกราโฟไลด์ซึ่งสกัดมาจากฟ้าทะลายโจร

แปลว่าการใช้แบบชาวบ้าน หรือแพทย์แผนโบราณ ไม่ว่าจะใช้ใบสด หรือตากแห้งบดเป็นผงแบบง่ายๆนั้น ออกฤทธิ์ดีกว่าการสกัดสารสำคัญออกมาก็ได้ เพราะฟ้าทะลายโจรแบบสกัดรวม มีสารสำคัญหลายชนิดทำงานร่วมกัน ไม่ใช่สกัดสารสำคัญอย่างแอนโดรกราโฟไลด์เป็นสารเดี่ยวออกมา

บริษัทยาจึงไม่สามารถไปจดสิทธิบัตรสารแอนโดรกราโฟไลด์ยับยั้งเชื้อโควิด-19 ได้ เพราะเมื่อผงจากฟ้าทะลายโจรเป็นพืชตามธรรมชาติ จึงไม่สามารถจดสิทธิบัตรตามกฎหมายสิทธิบัตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เพราะถึงแม้จดสิทธิบัตรแอนโดรกราโฟไลด์ได้ แต่ก็ไม่สามารถนำไปขายในราคาแพงได้ เพราะผงฟ้าทะลายโจรซึ่งชาวบ้าน และหมอแผนโบราณพึ่งพาตัวเองได้มีราคาถูกกว่าและมีผลต่อการรักษาได้เหมือนกันและอาจจะดีกว่าด้วย

ชาวบ้าน หรือหมอแผนโบราณ ซึ่งผลิตแบบง่ายๆ จึงไม่ต้องพึ่งพาบริษัทยาขนาดใหญ่ในการสกัดสารสำคัญตัวใดตัวหนึ่งออกมา

ฟ้าทะลายโจรแบบบ้านๆ จึง“ต้นทุนถูกกว่า แต่กลับออกฤทธิ์ทางยาดีกว่า”ด้วย

ที่สำคัญคืองานวิจัยช้ินนี้จะทำให้ชาวบ้านร่ำรวยลืมตาอ้าปาก พึ่งพาตัวเองได้ ปลูกเป็นสมุนไพรในบ้านพึ่งพาตัวเองได้ เหลือใช้ส่งให้เพื่อนบ้าน เหลือมากกว่านั้นส่งให้อุตสาหกรรม หรือมากกว่านั้นคือส่งออกนอกประเทศได้

ผงฟ้าทะลายโจร จึงย่อมเป็นคู่แข่ง กับบริษัทยาขนาดใหญ่ที่หวังจะขายสารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ออกมาจากฟ้าทะลายโจร
นอกจากนั้น ผงฟ้าทะลายโจร โดยธรรมชาติแล้ว ย่อมเป็นคู่แข่งทางการค้าสารสกัดกระชายขาว ซึ่งต้องสกัดสารสำคัญออกมาเท่านั้นจึงจะใช้ได้ผล และ “สารสกัดกระชายขาว” สามารถจดสิทธิบัตรสร้างความร่ำรวยให้กับนักวิจัย ที่จะขายผลงานการผูกขาดให้บริษัทยาได้

เมื่อฟ้าทะลายโจรแบบบ้านๆ ยับยั้งเชื้อโควิด-19 ได้ ชาวบ้านย่อมพึ่งพาตัวเองได้ หรือลดอาการรุนแรงได้ และย่อมทำให้ยาต้านไวรัสหลายชนิดที่มีราคาแพงๆเร่ิมขายยากขึ้น

ผงฟ้าทะลายโจรแบบการพึ่งพาตัวเองของชาวบ้าน จึงมีศัตรูรอบด้านด้วยสถานภาพเป็นคู่แข่งกับผลประโยชน์กับผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกมากมาย

และที่สำคัญคือ หากประชาชนยังไม่แน่ใจในหลายเรื่องๆของวัคซีน (ที่ยังอยู่ในขั้นทดลองและนำมาใช้อย่างฉุกเฉิน) หรือแม้แต่การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างล่าช้า การมีสมุนไพรหนึ่งตัวที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ง่าย หรือรักษาให้หายได้โดยง่าย ย่อมทำให้ประชาชนก็คงมีทางเลือกทางอื่นในการรักษาตัวเองได้ในสถานการณ์สับสนเช่นนี้

ในขณะที่ยา“ฟาริพิราเวียร์”สามารถนำมาใช้ในผู้ป่วยโควิด-19ตั้งแต่ปี 2563ทั้งๆไม่เคยวิจัยมาก่อนเพราะโควิด-19เป็นโรคอุบัติใหม่แต่ประเทศไทยก็ยอมเอามาให้ใช้ได้ด้วยภาวะฉุกเฉิน และกลายเป็นยาหลักสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจนถึงขณะนี้

วัคซีน อยู่ในระดับวิจัยยังไม่เสร็จ ทุกคนในโลกนี้อยู่ในฐานะทดลองฉีดไป ทั้งๆที่ยังไม่มีความแน่ชัดถึงผลข้างเคียง ระยะเวลาที่ภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นอยู่นานเท่าไหร่ และสามารถรับมือกับการกลายพันธุ์ได้จริงหรือไม่ แต่ก็กลับเอาใช้ได้ด้วยเหตุว่าเกิดภาวะฉุกเฉิน

แต่พอฟ้าทะลายโจรแบบบ้านๆ หรือหมอแผนไทย จะเข้าไปมีส่วนช่วยกับการระบาดโรคโควิด-19 กลับถูกโจมตีว่า“ไม่มีงานวิจัยในมนุษย์มาก่อน”ตรรกะนี้ดูจะมีความแปลกประหลาดอยู่มากจริงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ก็ได้ใช้ฟ้าทะลายโจรทดสอบไปแล้วในผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาการน้อยถึงปานกลาง ผลปรากฏว่าทุกคนหายป่วยกลับบ้านได้ทั้งหมด และอาการดีขึ้นตั้งแต่ 3 วันแรกนับตั้งแต่ได้รับฟ้าทะลายโจร

โดยฟ้าทะลายโจรที่ใช้กันมาก่อนหน้านี้ เขาใช้กันประมาณ 16 เม็ดต่อวัน ครั้งละ 4 เม็ด จำนวน 4 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน รวมได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ไม่ต่ำกว่า 60 มิลลิกรัมต่อวัน

แต่พอมาเป็นโควิด-19 นักวิจัยก็ได้กำหนดให้สารสำคัญแอนโดรกราโฟไลด์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะไม่ทำลายตับ จึงกำหนดให้เป็น 180 มิลลิกรัมต่อวัน (คูณ 3 เท่า) ซึ่งจะต้องกินปริมาณมากถึง 48 เม็ด (ในกรณีที่เป็นฟ้าทะลายโจรผ่านเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ) จึงทำให้น่ากลัวเพราะต้องกินฟ้าทะลายโจรจำนวนมาก

แต่ในความเป็นจริงเมื่อผู้เขียนทดลองตัวอย่างฟ้าทะลายโจรที่ปลูกได้มาตรฐาน “ดี” (เมล็ดพันธุ์ดี ฤดูกาลดี ดินน้ำเหมาะสม ปุ๋ยดี และเก็บเกี่ยวดีถูกจังหวะ) โดยมีอายุ 4 เดือนเศษ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 แล้วพบว่า

หากใช้ส่วน“ลำต้นเหนือดิน”ขึ้นไปจะต้องใช้ประมาณ 18เม็ดต่อวันสำหรับแคปซูล 400มิลลิกรัม (ครั้งละ 5-6เม็ด 4ครั้งต่อวัน)เพื่อให้ได้สารสำคัญแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 180มิลลิกรัมต่อวัน

แต่หากใช้เแต่“ใบ”ฟ้าทะลายโจรตากแห้งบดผงหยาบก็จะต้องบริโภคประมาณ 12-13เม็ดต่อวัน (ครั้งละ 4เม็ดต่อครั้ง 3ครั้งต่อวัน)

นั่นหมายความว่า“ต้นน้ำ”มีความสำคัญที่สุดรัฐบาลจะต้องเร่งให้ความรู้ประชาชนในเรื่ององค์ความรู้ในเรื่องการปลูกฟ้าทะลายโจรทั้งสายพันธุ์การปลูกการเก็บเกี่ยวให้ได้ตัวยามากที่สุดเพราะผงฟ้าทะลายโจรจะมีคุณภาพหรือไม่จะต้องขึ้นอยู่กับต้นไม้คือการปลูก

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนักวิจัยจะต้องคำนึงถึงเรื่องยุทธศาสตร์ให้ดีกับเรื่องความสำเร็จในงานวิจัยฟ้าทะลายโจรกับการรักษาโควิด-19 ด้วย

เราจึงไม่ควรวิจัยแต่“สารสกัด”แอนโดรกราโฟไลด์ที่ 180มิลลิกรัมต่อวันแต่เพียงอย่างเดียวเพราะจะมีจุดจบตรงที่ว่าฟ้าทะลายโจรต้องใช้แต่สารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์เพื่อรักษาโรคโควิด-19 (ตามผลการทดลองในมนุษย์)หรือไม่

โดยเฉพาะงานวิจัยในหลอดทดลองของดร.สุภาพร ภูมิอมรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์สรุปได้ว่าผงฟ้าทะลายโจรออกฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19ได้“ดีกว่า”สารแอนโดรกราโฟไลด์ซึ่งสกัดออกมาจากฟ้าทะลายโจร

การทดลองในมนุษย์จึงไม่ควรประมาทหรือมองข้ามการใช้ผงสารสกัดหยาบของฟ้าทะลายโจรด้วย โดยเด็ดขาด

ดังนั้นจึงควรวิจัยใช้แต่ผงฟ้าทะลายโจรในการแจกให้ประชาชนเพื่อเก็บข้อมูลด้วย ซึ่งก็อาจจะทำให้ไม่ต้องบริโภคมากเพื่อให้ได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 180 มิลลิกรัมต่อวัน ก็ได้จริงหรือไม่ หรือบริโภคเท่ากันแต่ให้ผลดีกว่าหรือไม่ มากน้อยเพียงใด
ประเด็นเปรียบเทียบนี้ต่างหากที่น่าสนใจที่จะต้องวิจัยต่อไปในอนาคตในเรื่องยุทธศาสตร์ฟ้าทะลายโจร

ที่ต้องเขียนถึงประเด็นนี้ให้มีความตระหนักให้มาก เพราะคำถามมีอยู่ว่า ปัจจุบันนี้มีขบวนการเพื่อทำลายการพึ่งพาตัวเองของชาวบ้านหรือไม่

และมีขบวนการทำลายความน่าเชื่อถือในการใช้ผงหยาบฟ้าทะลายโจรของแพทย์แผนไทย หรือแพทย์แผนโบราณหรือไม่

ที่ต้องสงสัยเช่นนี้ ก็เพราะเหตุว่าเมื่อเร็วๆนี้ มีการแชร์กันว่อนถึงการอ้างการแถลงข่าวการใช้ฟ้าทะลายโจรยับยั้งเชื้อโควิด-19 ของปลัดกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2563 โดยอ้างว่ากระทรวงสาธาณสุขแถลวว่าผงหยาบฟ้าทะลายโจร มีสารชนิดหนึ่งชื่อ AP3 ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ดังนั้นจะต้องใช้ “สารสกัด”ฟ้าทะลายโจรเท่านั้น

ซ้ำร้ายหลังคลิปดังกล่าวก็มีการแชร์รูป“ผลิตภัณฑ์สารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์”ของบริษัทยาบางแห่งซ้ำลงไปอีกซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่ามีผู้รอได้รับประโยชน์เป็นบริษัทยาตามการแชร์ข่าวนี้อย่างแน่นอน

เหตุการแชร์ข่าวมั่วดังกล่าวข้างต้น ได้ส่งผลทำให้คนส่วนใหญ่แห่ไปซื้อ“สารสกัด”ฟ้าทะลายโจรบางยี่ห้อกันจนหมดตลาดเพราะเข้าใจว่าฟ้าทะลายโจรแบบผงหยาบยังมีสาร AP3ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยดังนี้

ประการแรกไม่มีใครไปคลิ๊กดูลิงค์ยูทูปฉบับเต็มของปลัดกระทรวงสาธารณสุขของปีที่แล้วแต่ไปเชื่อข้อความเพราะถ้าใครไปคลิ๊กดูแล้วก็จะรู้ว่า

ในการแถลงข่าวของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2563ไม่มีข้อความใดเลยที่ระบุโทษของผงหยาบฟ้าทะลายโจรและไม่มีการกล่าวถึงสาร AP3ของฟ้าทะลายโจรทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเลย และไม่มีข้อความใดในคลิปนั้นระบุว่าจะต้องบริโภคเป็น “สารสกัด” ฟ้าทะลายโจรเท่านั้น

ประการที่สองไม่มีงานวิจัยใดๆเลยที่ระบุว่าสาร AP3 ของฟ้าทะลายโจรทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงในมนุษย์ ดังนั้นเป็นการเต้าข่าวขึ้นมาของบริษัทยาที่ผลิต“สารสกัด”ฟ้าทะลายโจร

ประการที่สามผลการทดสอบของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกของผู้ป่วยโควิด-19จำนวน 304คนนั้น ไม่มีใครมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเลย

แต่การใช้การตลาดที่สกปรกเช่นนี้ ก็เพื่อหวังรวยด้วยการทำลายแนวทางการใช้ผงหยาบของหมอแผนโบราณ และทำลายการพึ่งพาตัวเองของชาวบ้านหรือไม่

ถ้าทำเช่นนั้น ก็จะสวนทางงานวิจัยของดร.สุภาพร ภูมิอมรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้วิจัยการทดสอบระหว่างผงหยาบของฟ้าทะลายโจรที่ต้องย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า

“ผงหยาบฟ้าทะลายโจรสามารถยับยั้งเชื้อโควิด-19ได้ดีกว่าสารแอนโดรกราโฟไลด์ซึ่งสกัดจากฟ้าทะลายโจร”

ซึ่งความจริงแล้วกระทรวงสาธารณสุขควรจะต้องวิจัยไปด้วยว่า ถ้าใช้ฟ้าทะลายโจรซึ่งเป็นผงหยาบแล้ว จะทำให้ไม่ต้องใช้เพื่อให้ได้สารสำคัญแอนโดรกราโฟไลด์จำนวนมากถึง 180 มิลลิกรัมต่อวันหรือไม่ เพื่อย่ิงเพิ่มความเชื่อมั่นมากขึ้นให้กับการพึ่งพาตัวเองให้กับชาวบ้าน หรือหมอแผนโบราณ

เพราะการวิจัยและการเก็บข้อมูลนี้ “อาจเป็นทางรอดของชาติ”

เหตุเพราะในเวลานี้ผู้ป่วยโควิด-19 ไม่แสดงอาการ จึงสามารถแพร่ระบาดเชื้อไปได้โดยที่ไม่รู้ตัว

เหตุเพราะในเวลานี้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่ในปี 2564 นี้ไม่มีไข้ การคัดกรองตามสถานที่ต่างๆด้วยการวัดไข้ที่หน้าผาก จึงอาจเป็นการคัดกรองที่หลงทาง และทำให้ผู้ติดเชื้อหลุดรอดเข้าไปในสถานที่ต่างๆได้“เป็นส่วนใหญ่”

หรืออาจแปลว่าอาจมีคนไทยจำนวนมากอาจเคยติดเชื้อมาแล้วและหายแล้วจำนวนมากเพียงแต่ในเวลานี้มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นมากเพราะ“ไปตรวจเชื้อกันมากขึ้น”

ดังนั้นในสถานการณ์นี้จึงย่อมมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมากกว่าเท่าที่ตรวจ เพราะตัวเลขที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือ“รู้เท่าที่ตรวจ”และที่ตรวจเพราะมีผู้สงสัยตัวเองมากขึ้น

การรบกับโควิด-19 ในขณะนี้จึงเป็นการรบกับ“ศัตรูที่มองไม่เห็น”!!!!

และเฉพาะเท่าที่เห็นและรู้เท่าที่ตรวจ ก็เร่ิมเกิดความโกลาหลอย่างหนัก ทั้งการหาเตียง โรงพยาบาล การกักตัวที่ได้มาตรฐาน การดูแลผู้กักตัว การปฏิบัติตัวของผู้ถูกกักตัว บุคลากรที่ดูแลผู้กักตัวนั้น ก็น่าเห็นใจทุกฝ่ายต่อภารกิจที่หนักเช่นนี้

นั่นหมายความว่าศึกสงครามเชื้อโรคครั้งนี้มาตรการ“ควบคุม”ทำได้ยากมากหรืออาจไม่มีวันชนะเลยโดยเฉพาะอย่างย่ิงเมื่อรัฐบาลไม่ต้องการล็อกดาวน์ในระดับเท่ากับปีที่แล้วเพราะสงสารปากท้องเศรษฐกิจของประชาชนที่เดือดร้อนอย่างแสนสาหัสนานแล้ว ในขณะที่วัคซีนยังฉีดได้น้อยมาก (ยังไม่นับว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยลังเลว่าจะฉีดหรือไม่)

สถานการณ์เช่นนี้ ประชาชนจึงต้องดูแลตัวเองให้มาก สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือเป็นประจำ และเว้นระยะห่างสำหรับการป้องกัน และหากเจ็บป่วยเบื้องต้น มีไข้ น้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส ก็ให้รีบกักตัวเองไม่พบปะเพื่อแพร่กระจายเชื้อให้ใคร กินฟ้าทะลายโจรตั้งแต่เนิ่นๆ อย่าได้ชักช้า ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจึงไปรีบตรวจและไปหาหมอ

เพราะถ้าผู้ป่วยจำนวนมากหายป่วยได้เองในระยะเวลาอันสั้นที่บ้าน ก็จะมีส่วนทำให้ตรวจเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงได้เช่นเดียวกัน

อย่างน้อยแม้ผู้ป่วยอาจไม่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 แต่เมื่อหายป่วยด้วยฟ้าทะลายโจรได้เองก็ไม่ต้องเป็นภาระของแพทย์และพยาบาลซึ่งในเวลานี้รับภาระหนักมากอยู่แล้ว

อย่างน้อยแม้ผู้ป่วยอาจติดโควิด-19 แต่ไม่เคยไปตรวจและไม่รู้ตัว แต่เมื่อหายป่วยด้วยฟ้าทะลายโจรได้เองตัวเลขไปตรวจเชื้อเพื่อหาผู้ป่วยรายใหม่ก็สามารถลดลงได้เช่นกัน

ผู้ป่วยล้นเกินขนาดนี้ ถึงเวลาต้องเปิดโอกาสให้สมุนไพรไทย และแพทย์แผนไทยได้เข้ามามีส่วนในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 มากกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้แล้ว

และจะดีกว่าหรือไม่ว่าการที่ให้ผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย-ปานกลาง ไปถูกกักตัวเอาไว้เพื่อดูอาการว่าลงปอดเมื่อไหร่ และได้รับฟ้าทะลายโจรไปก่อนเลย ก็อาจจะช่วยทุเลาอาการไม่ให้หนักได้

เพราะเราอาจจะต้องยอมรับความจริงว่า โควิด-19 อาจจะอยู่กับมนุษยชาติอีกนานกว่าที่คาดการณ์เอาไว้

อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทำให้ผู้เขียนมีกำลังใจคือการที่มีผู้ป่วยโควิด-19 จำนวนมากทยอยรายงานผลมาเป็นระยะๆว่าได้ผลดีในการได้รับฟ้าทะลายโจร

และในที่สุด ประเทศชาติก็น่ายินดีอีกครั้งและมีความหวังมากขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2564 ทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกุลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้ใช้ฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด-19ทั่วประเทศในขณะที่นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตปลัดกระทรวงสาธารณสุขถึงกับแถลงข่าวสำทับว่าฟ้าทะลายโจรฆ่าเชื้อโควิด-19ได้

และน่ายินดีไปกว่านั้นคือนายอนุทิน ชาญวีรกุลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้แจกฟ้าทะลายโจรให้ใช้กับผู้ป่วยโควิด-19ในพื้นที่ระบาดทั้งหมด

และเมื่อมีการรายงานผลอย่างเป็นทางการของกระทรวงสาธารณสุข เรื่องผลการทดสอบเปรียบเทียบสำหรับผู้ที่มีอาการน้อยเร่ิมต้น สรุปสาระสำคัญดังนี้

ประการแรกกลุ่มผู้ป่วยที่ถูกกักตัวเฝ้าดูอาการจำนวน 526คนจำนวนผู้ป่วยเกิดอาการรุนแรงหรือปอดอักเสบ 77คนคิดเป็นอัตราผู้ป่วยเกิดอาการรุนแรงหรือปอดอักเสบร้อยละ 13.64

แต่ในขณะที่ผู้ที่ได้รับฟ้าทะลายโจรจำนวน 309 คน เกิดอาการรุนรแรง หรือปอดอักเสบจำนวน 3 คน (คัดออกจากงานวิจัย 1 คนหยุดใช้ฟ้าทะลายโจรและใช้ยาต้านไวรัสแทน, รักษาใช้ฟ้าทะลายโจรร่วมกับยาฟาวิพิราเวียร์และอาการดีขึ้น 1 คนอย่างรวดเร็ว, ส่วนอีกรายหนึ่งยังไม่ทราบผล) แต่ที่สำคัญคือคิดเป็นอัตราการป่วยรุนแรง หรือปอดอักเสบ เพียงร้อยละ 0.97 เท่านั้น

ประการที่สองยาพาราเซ็ตตามอลราคา 60บาทต่อคนแต่ลดไข้ได้อย่างเดียวในขณะที่ฟ้าทะลายโจรใช้ต้นทุนเพียง 180บาทต่อคนแต่ออกฤทธิ์ทั้งลดไข้ต้านไวรัสฆ่าเชื้อโควิด-19ในขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ราคา 4,800บาทต่อคน แปลว่าเป็นสมุนไพรที่ช่วยประหยัดต่องบประมาณประเทศชาติในการช่วยรักษาคนในประเทศ

ประการที่สามยาฟ้าทะลายโจรไม่ได้ออกฤทธิ์ป้องกันโควิด-19แต่สามารถใช้ได้ทันที่กับอาการป่วยเริ่มตนที่ไม่รุนแรงโดยกินยาฟ้าทะลายโจรให้ได้ 180มิลลิกรัมนาน 5วัน

น่ายินดีชื่นชมทีมวิจัย และผู้ที่มีส่วนร่วมกับการทำงานครั้งนี้ของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

จะเสียดายอีกเรื่องหนึ่งคือ ตำรับยาไทยอีกหลายตำรับซึ่งมีสรรพคุณจัดการกับโรคระบาดได้ในอดีต หรือจัดการได้กับโรคที่มีอาการเหมือนโควิด-19 กลับไม่ได้มีโอกาสเข้าไปในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 สักเท่าไหร่เลย

ดังนั้นจึงต้องช่วยผลักดันกันต่อไป

ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต

23 เม.ย. 2564  ผู้จัดการออนไลน์