ในภาวะฉุกเฉินที่เกิดโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 เมื่อปี 2563 ประเทศไทยได้ตัดสินใจใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ตามประเทศจีนและญี่ปุ่นในช่วงแรก เหตุก็เพราะยาฟาวิพิราเวียร์ซึ่งผลิตโดยบริษัทฟูจิฟิล์มนั้นเป็นยาสำหรับต้านไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเป็นที่เข้าใจได้
ในผู้ป่วยโควิด-19 เมื่อปี 2563 ประเทศไทยยังไม่ได้มีวัคซีน แต่ก็ใช้มาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด ในเวลานั้นผู้ป่วยที่ถูกกักตัวก็ใช้เพียงการเฝ้าดูอาการ หรือได้รับยาแก้ไขตามอาการเพียงเล็กน้อยบ้าง (เช่นยาลดไข้ ยาแก้ไอ ฯลฯ) หากไวรัสลงปอด ทำให้ปอดอักเสบ จึงเข้าสู่กระบวนการรักษาในโรงพยาบาล
การรักษาผู้ป่วยเมื่อปี 2563 นั้น แพทย์แผนปัจจุบันได้ใช้แนวทางในการรักษาหลายวิธีผสมผสานกัน ทั้งการใช้เครื่องดูดเสมหะในห้องความดันติดลบ การใช้สเตียรอยด์เพื่อหยุดยั้งการอักเสบฉุกเฉิน และใช้ยาแก้ไขอาการต่างๆ รวมถึงยาฟาวิพิราเวียร์ ในฐานะยาที่ เชื่อว่า เป็นยาต้านไวรัสที่ได้ทดลองใช้จริงดูเผื่อจะต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้
แต่แพทย์แผนปัจจุบันก็สามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี จนมีอัตราการเสียชีวิตต่ำที่สุดในระดับโลก ชื่อเสียงของแพทย์ไทยได้ถูกยกย่องจากแพทย์ในประเทศจีนว่าประเทศไทยมีหมอมือดี (Good hand) ในการรับมือกับโควิด-19 ได้อย่างเยี่ยมยอด
แม้ในเวลานั้นจะไม่มีใครมานั่งแยกแยะว่าการที่ผู้ป่วยอาการดีขึ้นในยามฉุกเฉินเมื่อปี 2563 นั้นเป็นเพราะยาฟาวิพิราเวียร์หรือไม่ แต่ด้วยการให้เกียรติแพทย์ในภาวะฉุกเฉิน คนไทยจึงพร้อมใจที่จะ เชื่อหมอ ในการใช้ ยาฟาวิพิราเวียร์
แม้ยาฟาวิพิราเวียร์จะไม่มีการวิจัยทดลองในหลอดทดลองกับเชื้อโควิด-19 มาก่อน หรือ วิจัยการทดลองในหนูมาก่อนเลย แต่ทุกคนก็ตระหนักได้ว่า โควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่จึงไม่มีใครจะไปรอการวิจัยได้ ยาฟาวิพิราเวียร์จึงเสมือนเป็นขอนไม้ในมหาสมุทรที่ลอยน้ำอยู่ต้องคว้าไว้ก่อน และอยู่ในสถานภาพยาที่ใช้ในยามฉุกเฉิน
ตรงกันข้ามกับฟ้าทะลายโจร ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นฐาน เป็นยาสามัญประจำบ้าน เป็นยาแผนโบราณของการแพทย์แผนไทย ที่ใช้กับการรักษาโรคไข้หวัด เจ็บคอ ไอ ในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน แต่กลับถูกกีดกั้นและทำลายความน่าเชื่อถือตั้งแต่เริ่มแรกว่าฟ้าทะลายโจรจะช่วยป้องกันหรือรักษาโรคโควิด-19 ได้นั้น เป็นเฟกนิวส์ และไม่สามารถนำมาใช้ได้ในฐานะ ยาที่ใช้ในยามฉุกเฉิน เหมือนกับยาฟาวิพิราเวียร์
คงเป็นเพราะฐานความคิดเริ่มต้นไม่มีใครคิดและเชื่อได้ว่า โรคโควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก จะไปหายป่วยด้วยสมุนไพรพื้นบ้านอย่างฟ้าทะลายโจรได้ง่ายๆ อย่างไร
ฟ้าทะลายโจร จึงถูกเริ่มต้นด้วยการให้ไปทดสอบในหลอดทดลองเสียก่อน จนกระทั่งวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 งานวิจัยเริ่มออกมาพบว่าสารสกัดรวมๆและสารสำคัญของสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ ฟ้าทะลายโจร ขิง และกระชาย(ขาว) สามารถยับยั้งเชื้อโควิด-19 ได้ในหลอดทดลอง
ซึ่งในขณะนั้นก็ยังไม่มีแม้กระทั่งความชัดเจนว่าในความเป็นจริงแล้วยาฟาวิพิราเวียร์จะสามารถทดสอบยับยั้งเชื้อโควิด-19 ได้เหมือนกับสมุนไพร 3 ตัว คือ ฟ้าทะลายโจร ขิง กระชาย หรือไม่
จนกระทั่งเดือนมกราคม 2564 นายแพทย์กุลธนิต วนรัตน์ จากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานว่า ดร.สุภาพร ภูมิอมร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้วิจัยพบเรื่องสำคัญว่าสารสกัดหยาบ (ไม่แยกสารสำคัญตัวใดตัวหนึ่งออกมา) มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสโควิก-19 ดีกว่าสารแอนโดรกราโฟไลด์ (ซึ่งเป็นสารสกัดจากฟ้าทะลายโจร)อย่างมีนัยสำคัญ
โดยเมื่อเทียบในหน่วยเดียวกันในการยับยั้งเชื้อผ่านค่า IC50 (ยิ่งตัวเลขน้อยยิ่งดี) แล้วพบว่าสารสกัดหยาบฟ้าทะลายโจรมีค่า IC50 น้อยกว่า 1 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ในขณะที่สารแอนโดรกราโฟไลด์มีค่า IC ที่ 15.6 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร
แต่ถึงกระนั้นแล้วกว่าที่ฟ้าทะลายโจรจะยอมรับได้ ก็ยังต้องทดสอบเบื้องต้นความปลอดภัยกับผู้ป่วย 5 คน โดยต้องเป็นคนแข็งแรง ไม่มีอาการ หรืออาการน้อย เพราะอาการหนักจะต้องไปใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ทันที และในที่สุดการทดสอบ ฟ้าทะลายโจร ไม่เพียงแค่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ผู้ป่วย 5 คนแรก ที่ใช้ฟ้าทะลายโจรยังมีการติดเชื้อน้อยลง อาการลดลง และหายป่วยได้ภายใน 5 วันเท่านั้น
แต่ในที่สุดงานิวิจัยก็มีความชัดเจนมากขึ้นไปอีก โดยคณะนักวิจัยไทยได้วิจัยและตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Natural Products ของประชาสังคมเคมีแห่งสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 โดยผลการทดลองในหลอดพบว่า
ฟ้าทะลายโจรและสารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์สามารถยับยั้งเชื้อโควิด-19 ในเนื้อเยื่อปอดของมนุษย์ได้ และฟ้าทะลายโจรยังปลอดภัยต่ออวัยวะอื่นๆของมนุษย์ด้วย และยังทำให้เห็นเมื่อเทียบกับงานวิจัยในหลอดทดลองก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 พบว่าในกลุ่มสารสกัดหยาบด้วยกัน ฟ้าทะลายโจรอาจลดเชื้อโควิด-19 ได้มากกว่า สารสกัดจากขิง และสารสกัดกระชายขาว
อย่างไรก็ตามฟ้าทะลายโจรได้ถูกอนุญาตให้วิจัยต่อในผู้ป่วยโควิด-19 ได้โดยให้ใช้กับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย และสงวนเอาไว้ว่าหากผู้ป่วยหนักแล้ว จะต้องให้ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์เท่านั้น (ทั้งๆยาฟาวิพิราเวียร์ยังไม่ได้วิจัยแม้กระทั่งในหลอดทดลองเลย)
จนกระทั่งวันที่ 19 เมษายน 2564 วารสารด้านยาต้านจุลชีพและคีโมบำบัด หรือ Anti-microbial Agents and Chemotherapy ซึ่งอยู่ภายใต้ประชาสังคมอเมริกันเพื่อจุลชีววิทยา ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยของสถาบันโรคติดเชื้อแห่งญี่ปุ่น พบว่ายาฟาวิพิราเวียร์ต้านเชื้อโควิด-19ในหลอดทดลองได้น้อยมากเมื่อเทียบกับยาอื่นๆ
รายงานในหลอดทดลองนี้ จึงเป็นคำอธิบายที่สอดคล้องกับรายงานข่าวก่อนหน้านี้ของสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 พบงานวิจัยการวิเคราะห์อภิมาน (Meta-Analysis) พบว่ายาฟาวิพิราเวียร์มีผลน้อยมากในการลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ในกลุ่มที่มีอาการน้อยปานกลาง อันสะท้อนให้เห็นถึงยาฟาพาริราเวียร์ เป็นยาที่ให้ผลน้อยหรือประสิทธิศักย์ (Efficacy)ต่ำ
คำถามสำคัญในเวลานี้จึงมีอยู่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ยาฟาวิพิราเวียร์ให้ผลได้น้อยกับผู้ป่วยโควิด-19 เป็นไปได้หรือไม่ว่าการที่ผู้ป่วยอาการหนักดีขึ้นได้ด้วยฝีมือหมอมือดี (Good hand) นั้นเป็นการใช้สเตียรอยด์ เครื่องดูดเสมหะ และยาแก้อาการอื่นๆ โดยไม่ได้มียาต้านไวรัสโควิด-19 แต่ร่างกายฟื้นตัวด้วยระบบภูมิคุ้มกันในภาวะที่หยุดการอักเสบที่รุนแรง
และเมื่อเป็นเช่นนี้จะนำยาฟาวิพิราเวียร์ไปใช้กับใคร เมื่อยานี้ไม่ได้ฆ่าหรือยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ เราจะยังถือว่าการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ต่อไป เป็นวิทยาศาสตร์ได้หรือ?
แต่เรื่องที่น่าประหลาดใจไปกว่านั้นคือภายหลังการตีพิมพ์เรื่องข่าวร้ายของยาฟาวิพิราเวียร์จากงานวิจัยดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2564 เพียงวันเดียว ปรากฏว่าวันที่ 20 เมษายน 2564 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประชุมคณะรัฐมนตรีสั่งซื้อหายา ฟาวิพิราเวียร์ ให้มีอยู่ในสต๊อกถึง 3.5 ล้านเม็ด เพราะอะไร?
ราคายาฟาวิพิราเวียร์มีราคาระหว่าง 120-150 บาทต่อเม็ด ภายหลังจากการตีพิมพ์ยาฟาวิพิราเวียร์ตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2564 ได้ผลน้อยมากในหลอดทดลอง แต่ก็ยังใช้ต่อไปและซื้อต่อไปให้มีในสต๊อกมากถึง 3.5 ล้านเม็ด จึงมีมูลค่า 420 ล้านบาท ถึง 525 ล้านบาท จริงหรือไม่
ในขณะที่ยาฟ้าทะลายโจรเม็ดละ 1-2 บาทเท่านั้น หรือสารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ก็ไม่เกิน 5 บาทต่อเม็ด แถมยังมีผลการทดสอบที่เหนือกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ คำถามคือการซื้อยาประเภทไหนจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนมากกว่ากัน
จนกระทั่งวันที่ 22 เมษายน 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศผลการวิจัยของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกว่าฟ้าทะลายโจรสามารถช่วยผู้ป่วยที่มีอาการน้อยถึงปานกลางลดอาการเชื้อลงปอด หรือปอดอักเสบลง
โดยผลจากการเก็บข้อมูลผู้ป่วยที่ไม่ได้ใช้ฟ้าทะลายโจรจะมีอาการเชื้อลงปอด หรือปอดอักเสบประมาณ 14% แต่กลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้ใช้ฟ้าทะลายโจรจะมีอัตราการเชื้อลงปอด หรือปอดอักเสบเหลือ 0.97% เท่านั้น
และการที่มีความคืบหน้าเช่นนี้ยังจะเชื่อว่าฟ้าทะลายโจรเป็นเรื่องไสยศาสตร์ได้อยู่อีกหรือ และยังจะเรียกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ต่อไปเป็นวิทยาศาสตร์ได้อยู่อีกหรือ?
และเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ป่วยที่มีอาการหนักควรจะใช้อะไรระหว่างฟ้าทะลายโจร หรือ ยาฟาวิพิราเวียร์ต่อไป
น่าสนใจมากคือภายหลังจากการที่นายอนุทิน ชาญวีรกุล ประกาศให้ใช้ฟ้าทะลายโจรเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 นั้น ปรากฏว่าวันที่ 23 เมษายน 2564 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นอกจากจะไม่กล่าวถึงเรื่องข่าวดีของฟ้าทะลายโจรแล้ว ยังประกาศออกทางโทรทัศน์ย้ำอีกครั้งถึงการเพิ่มสต๊อคยาฟาวิพิราเวียร์ความตอนหนึ่งว่า
ผมขอยืนยันว่า รัฐบาลและ ศบค.มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์แพร่ระบาดในครั้งนี้อย่างเต็มที่ องค์การเภสัชกรรมได้มีการสำรองและกระจายยาฟาวิพิราเวียร์ สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวนมากกว่า 3 แสนเม็ด โดยมีการกระจายไปสำรองในพื้นที่ต่างๆแล้ว และกำลังนำเข้าเพิ่มอีก 2 ล้านเม็ด
ต่อมาวันที่ 27 เมษายน 2564 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งผลของคณะรัฐมนตรีในการกระชับอำนาจ ของ ศบค.ขึ้นอยู่กับอำนาจของนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว
หลังจากการรวบอำนาจให้คำสั่งเป็นเอกภาพแล้ว วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 7/2564 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดย แขวน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขึ้นหิ้งเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการบูรณาการฯ โดยให้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ
ความน่าสนใจดังกล่าวคือคณะกรรมการชุดดังกล่าวมีข้าราชการระดับสูงรวมจำนวน 27 คนแต่กลับไม่ปรากฏรายชื่อตำแหน่ง อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณาสุข ในคณะกรรมการบูรณาการทางการแพทย์ฯ นั่นหมายความว่าจะไม่บูรณาการกับการแพทย์แผนไทยหรือไม่
เป็นเพราะไม่ต้องการบูรณาการกับฟ้าทะลายโจรหรือไม่ หรือต้องการที่จะบูรณาการกับยาฟาวิพิราเวียร์ต่อไปใช่หรือไม่
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
20 พฤษภาคม 2564
21 พ.ค. 2564 ผู้จัดการออนไลน์