ผู้เขียน หัวข้อ: เผด็จการทุนนิยมเสรี??? (จบ)  (อ่าน 346 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9745
    • ดูรายละเอียด
เผด็จการทุนนิยมเสรี??? (จบ)
« เมื่อ: 13 มกราคม 2021, 20:09:32 »
ในข้อเขียน บทความ ของนักข่าวชาวไอริช “นายเกรแฮม ดอคเคอรี” ที่ได้กล่าวไว้แล้วเมื่อวานนี้ นอกจากได้อ้างถึงลักษณะคร่าวๆ ของแนวคิด ข้อเสนอ ที่เรียกๆ กันว่า “The Great Reset” ซึ่งถูกนำเสนอในเวทีประชุม “World Economic Forum” เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว โดยตัวประธาน “WEF” “นายKlaus Schwab” ร่วมกับมกุฎราชกุมารอังกฤษ “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” ยังได้รายงานถึง “ปฏิกิริยา” ตอบสนอง ของบรรดาผู้นำโลกในแวดวงและในประเทศต่างๆ อย่างชนิดเป็นงาน-เป็นการ ยิ่งเข้าไปทุกที...

ไม่ว่า...ตั้งแต่ว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่ “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน” ที่ว่ากันว่าได้นำเอาแนวคิด ข้อเสนอทำนองนี้ ไปดัดแปลง ไปประยุกต์ เป็นคำขวัญ เป็นสโลแกนหาเสียง ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า “Build Back Better” อะไรทำนองนั้น นายกรัฐมนตรีอังกฤษอย่าง “นายบอริส จอห์นสัน” ที่ได้นำเอาข้อเสนอเรื่อง “บัตรผ่านสำหรับผู้มีภูมิคุ้มกันโรคระบาด” (Immunity Passports) อันปรากฏอยู่ในแนวคิดของพวก “The Great Reset” มาแปรสภาพให้กลายเป็นแผนการ เป็นแนวทาง ในอันที่จะออก “Freedom Passport” ให้กับบรรดาชาวอังกฤษรายใดก็ตาม ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่า ตัวเองไม่ได้ติดเชื้อโรคระบาดคราวนี้ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส อย่าง “นายเอ็มมานูเอล มาครง” ที่ถึงขั้นกำลังคิดสั่งห้ามชาวฝรั่งเศส ผู้ไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด อาจไม่มีสิทธิได้ใช้บริการขนส่งมวลชน หรือบริการสาธารณะใดๆ อีกต่อไป ไปจนถึงรัฐบาลไอร์แลนด์และอิสราเอล ที่กำลังปรึกษาหารือถึงการออกข้อกำหนด ห้ามมิให้ผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนรายใด ปรากฏตัวในสถานที่ซึ่งได้กำหนดมาตรฐานเอาไว้ ฯลฯ...

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ปฏิกิริยาตอบสนองของบรรดาผู้นำโลกในแต่ละราย ต่อข้อเสนอ แนวทาง แบบที่เรียกว่า “The Great Reset” ในอันที่จะหาทาง “ควบคุม” และ “บังคับ” แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ให้เป็นไปตามความปรารถนาและต้องการ หรือเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยม” ยังคงสามารถทำงาน ยังคง “Function” ต่อไปได้ ตามแบบฉบับ “ทุนนิยมที่มีความรับผิดชอบ” (Responsible Capitalism) โดยอาศัยช่วงจังหวะแห่งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดคราวนี้ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเมือง ไปจนถึงสุขภาพของผู้คนทั้งหลาย มาใช้เป็น “เงื่อนไข” หรือ “ข้ออ้าง” ในการกำหนดมาตรการต่างๆ ออกมา “บังคับใช้” ต่อผู้คน พลเมือง ระหว่างช่วงกำลังเกิดการแพร่ระบาด หรือแม้แต่หลังการแพร่ระบาดผ่านพ้นไปแล้ว (Post-Coronavirus) จนอาจกลายมาเป็น “ความปกติแบบใหม่” (New Normal) นับจากปี ค.ศ. 2021 เป็นต้นไป ชักเป็นอะไรที่เป็นเรื่อง เป็นราว หรือเอาเรื่อง เอาราว ยิ่งเข้าไปทุกที!!!

อย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ “นายโทนี แบลร์” ได้ออกมาพูดจา ว่ากล่าว กับสื่อมวลชนเมื่อไม่กี่วันมานี้ ไปถึงบรรดาพวกผู้ดีชาวอังกฤษทั้งหลาย ว่าให้เตรียมตัว เตรียมใจ ยอมรับสภาพที่แต่ละคน แต่ละราย อาจต้องพก “พาสปอร์ตเพื่อสุขภาพ” (Health Passport) ติดตัวไว้นับแต่บัดนี้ เพราะ... “แม้ผมจะพอรับรู้ รับทราบ ว่ายังคงมีผู้คัดค้านไม่เห็นด้วย กับแนวคิดเหล่านี้อยู่บ้าง แต่ยังไงก็ตาม...สิ่งเหล่านี้คงต้องเกิด เพราะเป็นหนทางเดียวสำหรับโลก ที่จะเดินหน้าต่อไปโดยไม่ถึงกับต้องล็อกดาวน์แบบรอบแล้ว รอบเล่า” หรืออย่างที่สายการบินบางสาย เช่น “Ryanair” ได้เริ่มออกมารณรงค์ เปิดแคมเปญ คำขวัญประเภท “ฉีดแล้วไป” (Jab & Go) สำหรับบรรดาผู้โดยสารสายการบินที่คิดจะขึ้นเครื่อง โดยหนีไม่พ้นต้องแสดงบัตรผ่าน หรือพาสปอร์ตเพื่อสุขภาพ อันแสดงให้เห็นว่าตัวเองได้ผ่านการฉีดวัคซีน ป้องกันเชื้อโควิดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่งั้น...อาจต้องกลายเป็น “คนนอก” เป็นผู้ที่ “ถูกกีดกันออกไปจากการให้บริการต่างๆ” หรือจาก “ระบบ” อันเนื่องมาจากการใช้ชีวิตภายใต้สังคมทุนนิยม อย่างปราศจากความรับผิดชอบ นั่นเอง...

ตามรายงานของ “นายเกรแฮม ดอคเคอรี” ในบทความชิ้นนี้...ยังพยายามชี้ให้เห็นว่า บรรดาพวก “The Great Reset” ยังคิดไปไกลยิ่งกว่านั้น โดยในช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา องค์กรอย่าง “WEF” ยังได้วางแผนที่จะสร้างส่วนเสริมดิจิทัล (Digital identity app) เพื่อเอาไว้ระบุตัวตนของใครต่อใครให้เป็นที่แน่ชัด หรือโดยละเอียด ด้วยการรวบรวมข้อมูลส่วนตัว ส่วนบุคคลของบรรดาลูกจ้าง พนักงานในบริษัทต่างๆ ทั่วทั้งโลก และจะบรรจุข้อมูลเหล่านี้ไว้ในสมาร์ทการ์ด ที่สามารถเชื่อมโยงการให้บริการทางสุขภาพ การเงิน การเดินทาง การจับจ่ายใช้สอยสินค้าต่างๆ ฯลฯ ไปยังองค์กร สถาบัน หน่วยงานในแต่ละหน่วย ไปจน “รัฐบาล” ที่ต้องทำหน้าที่ปกป้อง คุ้มครอง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของแต่ละบุคคล ด้วยการตรวจสอบ สอดส่องดูแล ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องเสียเวลาแอบล้วงข้อมูล หรือลอบดักฟังอีกต่อไป ชนิดไม่ต่างไปจาก “นิทาน” หรือ “เรื่องสั้น” ของนักข่าว นักเขียนชาวอังกฤษ อย่าง “นายพอล แลชมาร์” ที่ได้วาดจินตนาการไว้เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วนั่นเอง...

แม้แต่องค์กรระหว่างประเทศ ที่ให้บริการด้านการเงิน-การทอง อย่าง “IMF” หรือ “International Monetary Fund” ว่ากันว่าได้มีการนำเสนอเอาไว้ตั้งแต่ต้นปีนี้ ให้นำเอาระบบ “AI Algorithms” มาใช้ในการตรวจสอบความคิด ความเห็นของบรรดาบุคคลโดยทั่วไป ที่เคยโพสต์อะไรต่อมิอะไรเอาไว้ในโซเชียล มีเดียทั้งหลาย และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินความน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อของบุคคลนั้นๆ อันเป็นไปตามแนวทางตามความพยายามที่จะสร้าง “ทุนนิยมที่มีความรับผิดชอบ” โดยพวก “The Great Reset” ทั้งหลายนั่นเอง ที่หวังอยากเห็นสังคมโลกในอนาคตข้างหน้า ก้าวไปสู่สังคมที่มั่นคง ยั่งยืน ด้วยการเลิกคิดพร่าผลาญ ทำลายสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศ ไปจนถึงสังคมที่ไม่ต้องใช้เงินสด และฯลฯ ฯลฯ....

แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่นักข่าวชาวไอริช อย่าง “นายเกรแฮม ดอคเคอรี” ได้ตั้งข้อกังขาเอาไว้ไม่น้อย นั่นคือความหวัง ความต้องการ ของพวก “The Great Reset” ที่อยากเห็น “สังคมที่มีความเท่าเทียมกัน” ควบคู่ไปด้วย อันเนื่องมาจากบรรดาผู้ที่หันมาแสดงความสนับสนุนต่อแนวคิดดังกล่าว อย่างออกหน้า ออกตา พอสมควร ไม่ว่า “นายบิล เกตส์” ซีอีโอแห่งบริษัทไมโครซอฟท์ และผู้สนับสนุนการค้นคว้า วิจัย เรื่องวัคซีนและโรคระบาดอย่างเป็นระบบ “นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก”


X


แห่งบริษัทเฟซบุ๊ก ไปจนถึง “นายเจฟฟ์ เบซอส” ซีอีโอบริษัท แอมะซอน ฯลฯ ที่ต่างเป็น “เจ้าพ่อทุนนิยม” ระดับแนวหน้าด้วยกันทั้งสิ้น เพราะว่ากันว่า..ระหว่างช่วงที่การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดเริ่มต้นขึ้น บริษัทแอมะซอน ของ “นายเจฟฟ์ เบซอส” ได้ประกาศถึงผลกำไรการประกอบการไตรมาสที่สองเพิ่มขึ้นไปอีกถึง 89,000 ล้านดอลลาร์ หรือทำให้ตลอดทั้งปี ซีอีโอรายนี้ อาจฟันกำไรถึง 200,000 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย ไม่ต่างไปจากบริษัทไมโครซอฟท์ หรือเฟซบุ๊ก ที่สามารถเพิ่มผลกำไรในช่วงระหว่างนี้ ไม่น้อยกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ขณะที่ภายใต้ความพยายาม “ควบคุม” และ “บังคับ” ใครต่อใครในช่วงแห่งการแพร่ระบาด ที่ถูกนำมาใช้เป็น “เงื่อนไข” และ “ข้ออ้าง” ในการนำไปสู่ “The Great Reset” ที่ว่า กลับส่งผลให้บรรดาธุรกิจรายเล็ก รายน้อย ต่างต้องปิดกิจการไปเป็นแถบๆ ไม่ว่าครึ่งหนึ่งของธุรกิจรายย่อยในซานฟรานซิสโก 45 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม ในนิวออร์ลีนส์ หรือธุรกิจเอสเอ็มอีแทบจะทั่วทั้งแผงในประเทศไอร์แลนด์ ระหว่างช่วงฤดูหนาวอันยาวนาน ฯลฯ ฯลฯ...

สรุปเอาเป็นว่า...ด้วยเหตุที่ “นิทาน” หรือ “เรื่องสั้น” ของนักข่าว นักเขียน ชาวอังกฤษ อย่าง “นายพอล แลชมาร์” ที่เคยวาดภาพ วาดจินตนาการเอาไว้เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว มันชักกลายเป็นเรื่องจริง ไม่ได้อิงนิยาย นิทานใดๆ อีกต่อไป หรือเป็นอะไรที่ตรงกับข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่นักข่าวชาวไอริช อย่าง “นายเกรแฮม ดอคเคอรี” ได้บอกเล่า เก้าสิบ ไว้ในข้อเขียน บทความ เมื่อไม่กี่วันมานี้ ถึงความพยายามของบรรดาพวก “อีลิตโลก” ทั้งหลาย ผู้ปรารถนาและต้องการที่จะเห็นระบบเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยม” สามารถเดินหน้าต่อไปให้จงได้ ด้วยการนำเสนอแนวคิดที่เรียกๆ กันว่า “The Great Reset” หรือ “ทุนนิยมที่มีความรับผิดชอบ” ให้เป็นทางออก ทางไป ของระบบดังกล่าว อันอาจส่งผลให้ระบอบการเมือง การปกครอง ในบรรดาประเทศ “เสรีนิยม” ทั้งหลาย หนีไม่พ้นต้องกลายเป็น “เผด็จการเสรีนิยม” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า นับจากนี้ เอาเลยก็ไม่แน่!!!...

7 ม.ค. 2564  ทับทิม พญาไท
https://mgronline.com/daily/detail/9640000001218