ผู้เขียน หัวข้อ: “หน้ากากอนามัย”ขาดแคลนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19  (อ่าน 2687 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
ปริศนาหน้ากากอนามัยหายไปไหน (10มีค2563)
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 27 มีนาคม 2020, 14:29:43 »
เริ่มจาก วันที่ 30 มกราคม 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่โรงงานผลิตหน้ากากอนามัย เพื่อตรวจสอบว่ามีความเพียงพอหรือไม่ พร้อมให้ข่าวว่า ขณะนั้นประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตหน้ากากอนามัยได้ประมาณ 100 ล้านชิ้นต่อเดือน แต่มีความต้องการใช้อยู่ที่ประมาณ 30 ล้านชิ้นต่อเดือน ที่เหลือส่งออกต่างประเทศ โดยหน้ากากอนามัยยังมีอยู่ในสต๊อกประมาณ 200 ล้านชิ้น คาดว่าจะมีความเพียงพอต่อผู้บริโภคได้ 4-5 เดือน

ต่อมาวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้หน้ากากอนามัยเป็นหนึ่งในสินค้าควบคุม ซื้อได้คนละ 10 ชิ้นคุมการนำออกได้ 500 ชิ้นต่อคน ด้านกรมการค้าภายใน ตั้งศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย เพื่อกระจายสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคทั่วประเทศ

11 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงพาณิชย์หารือผู้ค้าออนไลน์ ขอให้จำกัดการซื้อและป้องกันการโกงราคาหน้ากากอนามัย พร้อมประกาศยกระดับคุมเข้ม ห้ามส่งออก หลังพบคนจีนกว้านซื้อจนของขาดตลาด

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้า ให้ผู้จำหน่ายและผลิตหน้ากากอนามัยแบ่งสินค้าในสต๊อกให้ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยของกรมการค้าภายใน 50% จากปริมาณการผลิตทั้งหมด และลดปริมาณนำออกจากประเทศเหลือ 30 ชิ้นต่อคน

ซึ่งจากประกาศดังกล่าวทำให้มีผู้ประกอบการแจ้งสต๊อกเพิ่มขึ้นเป็น 28 ล้านชิ้น กรมการค้าภายใน ประกาศ หน้ากากอนามัยยังเพียงพอ ท่ามกลางเสียงบ่น หาซื้อสินค้าไม่ได้ของประชาชน และขาดตลาดอย่างมากในวันต่อๆ มา

2 มีนาคม 2563 กรมการค้าภายในแถลงข่าวยอมรับหน้ากากอนามัยขาดแคลน โดยมีเหตุผลว่าวัตถุดิบในการผลิตไม่เพียงพอ สามารถผลิตได้แค่วันละ 1,350,000 ชิ้น แต่ไม่มีการพูดถึงสต๊อกที่ก่อนหน้านี้บอกว่ามีอยู่ 28 ล้านชิ้น

5 มีนาคม 2563 กระทรวงพาณิชย์เปิดขายหน้ากากอนามัยผ่านรถธงฟ้าประชารัฐ 111 คัน นำร่องกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ก่อนจำหน่ายต่างจังหวัดในวันที่ 9 มีนาคม

โดยนายจุรินทร์ เผย กำลังการผลิตลดลงเหลือ 1,200,000 ชิ้นต่อวัน หรือ 38 ล้านชิ้นต่อเดือน จากทั้งหมด 11 โรงงาน

9 มีนาคม 2563 กระทรวงพาณิชย์ประกาศยกเลิกจำหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านรถโมบายธงฟ้าประชารัฐ ในเช้าวันถัดไป หลังถูกวิจารณ์แก้ปัญหาไม่ตรงจุด ทำให้เกิดประเด็นอีกว่า รถโมบายจำหน่ายหน้ากากอนามัย ลงทุนทำป้ายและอื่นๆ ไปแล้ว คุ้มค่าหรือไม่ เพราะยังไม่มีการเปิดเผยว่าใช้งบประมาณส่วนไหน และใช้เงินไปกี่บาท

สังเกตจากไทม์ไลน์จะเห็นว่า สรุปแล้วจำนวนหน้ากากอนามัย มีเพียงพอหรือไม่ มีสต๊อกกี่ชิ้น แต่ละครั้งที่กระทรวงพาณิชย์ออกมาแถลง มีความไม่ชัดเจนเพราะจำนวนหน้ากากอนามัยไม่ตรงกัน ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัย

10มีค2563
https://news.ch7.com/detail/399669


story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
บิ๊กตู่ สั่งสอบ 'หน้ากากอนามัย' หายไปไหน
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: 27 มีนาคม 2020, 14:34:00 »
บิ๊กตู่ สั่งสอบ หน้ากากอนามัย หายไปไหน ถามหาสำนึก พิธีกร บางรายการ พูดสนุกปาก ยามบ้านเมือง เผชิญ โควิด-19 รับ ปชต.ไทย ต้องปล่อยให้พูด ซัด คนอายุมาก ความน่าเชื่อถือไม่มี สมัยก่อนด่าเขา วันนี้เล่นงานผม 

        เมื่อวันที่ 6 มี.ค.63 เวลา 15.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวในรายการ Government Weekly EP.30 ในช่วง PM Talk ผ่านเพจเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้า ตอนหนึ่งถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า ในส่วนของหน้ากากอนามัยก็ตรวจสอบทั้งหมดว่าหายไปไหน ขณะนี้มีการตรวจสอบย้อนกลับอยู่มีการขอดูบัญชี ก็ให้ไปตรวจสอบตามร้านค้าว่าสั่งจากตัวแทนที่ไหนอย่างไร รวมถึงราคาควรจะเป็นอย่างไร ส่วนหน้ากากอนามัยจากต่างประเทศขณะนี้ราคาสูงมาก แต่ของไทยควบคุมราคาที่ 2.50 บาท และคำแนะนำจากแพทย์ที่ดีที่สุดคือ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ก็ขอให้ฟังไม่เช่นนั้นจะตื่นตระหนกกันไปหมด
         นายกฯ กล่าวว่า ในเรื่องของข้อมูลข่าวสาร ตนมีความกังวลมากพอสมควรโดยเฉพาะในส่วนที่สร้างความเกลียดชังเป็นเรื่องไม่ดีไม่สนับสนุน รวมถึงข่าวปลอมบางเรื่องไม่ใช่เรื่อง เช่น มีการบอกว่าให้กักตุนอาหารอย่างน้อย 1 เดือนจะเขียนไปทำไม พิธีกรบางรายการพูดอะไรไปตนก็โกรธไม่ได้อยู่แล้ว แต่เขาควรสำนึกว่าวันนี้บ้านเมืองเป็นอย่างไรอยู่ เดือดร้อนหรือไม่ เอาหล่ะจะชอบหรือไม่ชอบตนก็คนละเรื่อง แต่ต้องรักประชาชนของคุณในฐานะที่คุณเป็นสื่อ คุณเป็นผู้ที่เขาให้เกียรติและต้องมีจรรยาบรรณ แต่คุณเอามาตีใส่ตน แล้วต้องการนู้น ต้องการนี่ ก็เกิดความไม่เข้าใจในสังคม ตนถามว่าเกิดประโยชน์อะไร ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ตนอยากให้สำนึกถึงความรักชาติ รักแผ่นดินกันบ้างก็แล้วกัน หลายคนออกมาพูดเป็นเรื่องสนุกนัก มันไม่ใช่เรื่อง เรื่องไม่เป็นประเด็นก็ให้มันเป็นประเด็น เรื่องที่เป็นประเด็นอยู่แล้วก็ไม่รับฟังข้อมูลอะไร ทั้งขยายต่อ ขยี้กันต่อ ตนว่าไม่ถูกต้องก็ฝากไว้แล้วกัน รักกันทั้งนั้นแหล่ะสื่อมวลชนต่างๆ ก็ไม่ใช่ศัตรูกัน ไม่เคยไปอะไรกับท่านอยู่แล้ว หงุดหงิดบ้างก็มีธรรมดา ในเรื่องที่มีการว่ากล่าวโจมตีรัฐบาลตนโกรธท่านไม่ได้ ขอสื่ออย่าขยายความขัดแย้ง ไม่เกิดประโยชน์กับประเทศชาติในเวลานี้ ถ้าเราเข้มแข็งแล้วค่อยว่ากันใหม่ก็แล้วกัน จะต่อย จะตีอะไรก็ว่ากันไปเถอะ แต่วันนี้ปัญหาเต็มไปหมด อะไรที่ไม่เป็นปัญหาก็ลดกันไปบ้างก็แล้วกัน ตนบังคับไม่ได้อยู่แล้ว เคารพซึ่งกันและกัน
         พล.อ.ประยุทธ์ ยังชี้แจงกรณีที่มีการกล่าวหารัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตยว่า “ก็นี่ไง ประชาธิปไตยไทย เราก็ต้องปล่อยให้คนพูด แต่ถ้าพูดแล้วผิดกฎหมายก็อีกเรื่องหนึ่ง ก็มีมาตรการแต่ถ้าพูดแล้วว่ากล่าวไปนู้นไปนี่ บางทีไปสัมมนาแล้วก็พูด คนพูดนี่สมัยก่อนก็ด่าเขา วันนี้กลับมาเล่นงานผม ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน คนๆเดียวกัน เพราะฉะนั้นความน่าเชื่อก็น่าจะไม่มี คือคนอย่างนี้พร้อมจะทำอย่างนี้ได้ตลอด ผมก็ไม่รู้ บางคนก็อายุมากแล้วด้วย ผมก็งง หลายๆ คนก็ทำงานกับผมก็กลับไปกลับมาอย่างนี้ ผมก็งงนะ ผมยังไม่พูดว่าผมเจออะไรมาบ้าง เพราะฉะนั้นวันนี้มาแก้ปัญหาประเทศก่อนไม่ดีกว่าหรือ" นายกฯ กล่าว

6 มีนาคม 2563
https://www.komchadluek.net/news/politic/421015

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
หน้ากากอนามัยกลายเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดข้อสงสัย ข้อถกเถียง และเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์แก่ภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วงเวลา 50 วันที่พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ในไทย ไม่ว่าจะเป็น ใครต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยบ้าง ป้องกันเชื้อได้แค่ไหน, หน้ากากอนามัยในตลาดหายไปไหน ใครกักตุน ซึ่งนำมาสู่ปัญหา "หน้ากากรีไซเคิล" และ "หน้ากากอนามัยบางยิ่งกว่าหมูสไลซ์"
ในระหว่างการเปิดแถลงข่าวประจำวันที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) วันนี้ (3 มี.ค.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แนะนำให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงโรคโควิด-19 สวมใส่หน้ากากผ้าแทนการใช้หน้ากากทางการแพทย์ หลังประสบปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน พร้อมระบุว่า อธิบดีกรมอนามัย และตัวเขาเอง ก็ใช้หน้ากากผ้าและพกติดตัวพร้อมใช้งานตลอด
"ข้อดีของหน้ากากผ้าคือราคาต่ำกว่า ซักได้เป็นร้อยครั้ง ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสม แต่ถามว่าป้องกันโรคได้ไหม เรื่องการการป้องกันโรค ความเข้าใจอาจไม่ตรงกัน บางคนบอกต้องป้องกัน 100% จริง ๆ มันไม่มีอะไร 100% หรอกครับถ้าใช้ไม่ถูกวิธี แต่หน้ากากบางแบบอาจมีประสิทธิภาพแค่ 50-70% ก็ป้องกันได้แล้ว" นพ.โอภาสระบุ

เขายังจำแนกประเภทของหน้ากากอนามัยออกเป็น 3 ประเภท เพื่อใช้กับคน 3 กลุ่ม หลังสื่อมวลชนสอบถามถึงภาพในสื่อสังคมออนไลน์ที่ปรากฏภาพ "หน้ากากอนามัยบางยิ่งกว่าหมูสไลซ์"
ประเภทของหน้ากาก                                     ประสิทธิภาพ                                                                          กลุ่มเป้าหมาย
หน้ากาก N95                                               ป้องกันได้ดีที่สุดถ้าใช้อย่างถูกต้อง                                            กลุ่มเสี่ยงคือแพทย์/พยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยในห้องความดันลบ หรือห้องแยกผู้ป่วยโควิด-19
หน้ากากทางการแพทย์ surgical mask          ป้องกันละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย                                          กลุ่มแพทย์/พยาบาล/จนท.สาธารณสุข ที่ดูแลผู้ป่วยทั่วไป, หมอผ่าตัด, ผู้ป่วยทางเดินหายใจทุกโรคเวลาออกไปในที่สาธารณะ
หน้ากากผ้า                                                 การป้องกันเทียบกับสองแบบแรกไม่ได้ แต่ดีกว่าไม่ใส่อะไรเลย      กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น จนท.สาธารณสุขที่ไม่ได้คลุกคลีคนไข้ ประชาชนทั่วไป
ที่มา : บีบีซีไทยสรุปจากคำแถลงข่าวของอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สธ. วันที่ 3 มี.ค. 2563

ถึงขณะนี้ สธ. ยืนยันพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในไทยจำนวน 43 ราย ท่ามกลางสารพัด "ดรามา" ที่เกิดขึ้นจากหน้ากากอนามัย
รีไซเคิลหน้ากากอนามัย

ข่าว "ช็อค" อารมณ์ผู้คนในสังคม หนีไม่พ้น กรณีนายอำเภอวิหารแดง นำทีมตำรวจ และอาสามัคร (อส.) จ.สระบุรี บุกทลายแหล่งรีไซเคิลหน้ากากอนามัยนำกลับมาขายเป็นของใหม่ เมื่อวันที่ 2 มี.ค. หลังได้รับการร้องเรียนจากพลเมืองดีว่าเจ้าของร้านรับซื้อของเก่าได้ลักลอบรีไซเคิลหน้ากากอนามัยใช้แล้ว มีของกลางนับหมื่นชิ้น
เจ้าของร้านรับซื้อของเก่า อ้างในระหว่างสนทนาทางโทรศัพท์กับนายอำเภอว่านำหน้ากากอนามัยมาจากโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งเพื่อคัดแยกเอาเหล็กในหน้ากากอนามัยไปหลอม แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ โดยตำรวจ สภ.วิหารแดง ได้เรียกเจ้าของร้านมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนวันนี้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่า เท่าที่ตรวจสอบเบื้องต้น หน้ากากดังกล่าวไม่ได้มาจากโรงพยาบาล จึงเบาใจไปคำรบหนึ่ง เพราะถ้ามาจากโรงพยาบาลจะถือเป็นขยะติดเชื้อ แต่ก็ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง และยังเข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การสาธารณสุข พ.ศ. 2539 เรื่องการกำจัดขยะติดเชื้อ
 
สภาพหน้ากากอนามัยที่ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กหญิงรายหนึ่งส่งมอบให้บีบีซีไทยดู หลังควักเงินสั่งซื้อหน้ากากในกลุ่มเฟซบุ๊ก ซึ่งบางแผ่นบางมาก

ขณะเดียวกันบีบีซีไทยได้รับแจ้งจากสุภาพสตรีรายหนึ่งว่า เธอได้สั่งซื้อหน้ากากอนามัยทางเฟซบุ๊กซื้อ-ขายหน้ากากอนามัย ซึ่งลงอวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นหน้ากากอนามัย 3 ชั้น และ 4 ชั้น จำนวน 2 แพ็ค ๆ ละ 50 ชิ้น รวมราคาพร้อมค่าจัดส่ง 1,560 บาท โดยได้รับสินค้าเมื่อ 2 มี.ค. แต่เมื่อเปิดกล่องมาถึงผงะ เมื่อพบสภาพหน้ากากอนามัยเหมือนผ่านการใช้งานมาแล้ว มีทั้งเลอะคราบ แม้เป็นสีฟ้าทุกชิ้นแต่ก็เป็นฟ้าหลากสี ขณะที่บางชิ้นก็บางเฉียบ ไม่ต่างจาก "หมูสไลซ์"
หลังจากนั้นเธอได้ติดต่อสอบถามไปยังผู้จัดจำหน่าย ก่อนได้รับคำชี้แจงว่าผู้ค้ารับหน้ากากมาจากโรงงาน 2 แห่ง แต่ไม่ได้ระบุชื่อโรงงาน พร้อมอ้างว่าหน้ากากอนามัยชนิดที่โรงงานส่งมาให้โดยไม่บรรจุกล่อง สภาพไม่ดี ถ้าบรรจุกล่องจะดีกว่า แต่ทางเพจไม่มีจำหน่าย โดยผู้ค้ายินดีคืนเงินให้ทุกบาทสุกสตางค์
"ปกติดิฉันมักสั่งซื้อสินค้าออนไลน์จากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ มีตัวกลาง แต่ด้วยความที่สินค้าขาดแคลน ก็เลยต้องเข้ากลุ่มไปหา แต่ก็จะไม่เอาแล้วค่ะ ดิฉันกลัวติดเชื้อค่ะ" ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กหญิงกล่าวกับบีบีซีไทย
สำหรับตลาดซื้อขายหน้ากากอนามัยดังกล่าว เป็นกลุ่มปิดในเฟซบุ๊ก ปัจจุบันมีสมาชิก 1.8 หมื่นคน โดยสมาชิกที่จะเป็นพ่อค้า-แม่ค้านำสินค้ามาจำหน่าย ซึ่งมีทั้งหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ไปยันเครื่องฟอกอากาศลดฝุ่น PM2.5 ต้องลงทะเบียนโดยมีค่าใช้จ่าย 200 บาท เพื่อแลกกับรหัสประจำตัวผู้ค้า ส่วนสมาชิกที่ต้องการซื้อขายสินค้าต้องกดเข้าร่วมกลุ่ม แล้วเจรจาตกลงราคากับแม่ค้าโดยตรง

หน้ากากอนามัยทำจากทิชชู
อีกประเด็นที่สื่อมวลชนสอบถามคุณหมอจาก สธ. คือมีพ่อค้าหัวใสนำหน้ากากอนามัยที่ทำจากกระดาษทิชชูออกจำหน่าย อย่างไรก็ตามข่าวดังกล่าวยังไม่มีต้นตอที่แน่ชัด ข้อมูลที่ปรากฏอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ คือการแนะนำให้ประชาชนเอากระดาษทิชชู 2 แผ่นซ้อนทับหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา โดยเชื่อกันว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพได้เทียบเท่า N95
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.โอภาสยืนยันว่า หน้ากากกระดาษทิชชูไม่ได้อยู่ในมาตรฐานทางการที่ใช้งานได้จริง เพราะโดยหลักการต้องมีตัวกรองวัสดุ และแผ่นด้านนอกต้องดูดซับความชื้นจากภายใน ส่วนคนขายจะมีความผิดหรือไม่ เป็นเรื่องของผู้เกี่ยวข้องในการควบคุมดูแล
หมอ-พยาบาล รพ.เอกชน มีหน้ากากอนามัยไม่พอ
อีก "ดรามา" เกิดขึ้นกับคนในแวดวงสาธารณสุข เมื่อแพทย์โรงพยาบาลเอกชนที่มีราว 200 แห่ง ออกมาระบุว่าขาดแคลนหน้ากากอนามัยสำหรับแพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาล คำชี้แจงจากอธิบดีสังกัด สธ. คือรับทราบความห่วงใย แต่ สธ. เป็นผู้ใช้ ไม่ใช่ผู้ผลิต และขณะนี้หน้ากากทางการแพทย์ก็เป็นสินค้าควบคุมอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงพาณิชย์ แนวทางการจัดการของ สธ. คงเป็นการพิจารณาว่าจุดไหนมีเยอะ ก็หมุนเวียนให้จุดอื่นใช้ โดยมอบหมายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และองค์การอาหารและยา (อย.) ดูแล
สังฆราชพระราชทานเงิน 2 ล้านบาท ซื้อหน้ากากแจกจ่ายพระ
ไม่เฉพาะบุคลากรสาธารณสุข ประชาชนคนเดินถนน แต่ความกังวลได้ลุกลามไปถึงพระสงฆ์องคเจ้าที่วัดอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้พระราชทานเงินเบื้องต้น 2 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อหน้ากากอนามัยแจกจ่ายให้กับพระสงฆ์ยังวัดต่าง ๆ
 
เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจากนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (3 มี.ค.) พร้อมบอกด้วยว่ากำลังพยายามติดต่อเพื่อทำการจัดซื้อ โดยเฉพาะวัดที่มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก แม้ขณะนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาน้อยลง แต่ยังคงมีคนไทยเดินทางไปทำบุญจำนวนมาก
สธ. แจกครบแล้ว 2 แสนชิ้น
ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน ทำให้สธ. ได้เปิดแจกหน้ากากอนามัยวันละ 1 แสนชิ้นแก่ประชาชน ระหว่างวันที่ 2-3 มี.ค. ที่หน้ากระทรวง สธ. ซึ่งปรากฏว่ามีประชาชนมาเข้าแถวรอรับแจกกันยาวเหยียด ก่อนที่หน้ากากจะหมดลงภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง โดยประชาชนสามารถนำหน้ากากกลับบ้านได้คนละ 3 ชิ้นเท่านั้น ส่วนอีก 1.2 ล้านแผ่นที่เหลือ จะกระจายไปตามจังหวัดต่าง ๆ การดำเนินการของ สธ. ทำให้ผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ตั้งคำถามว่าการให้ประชาชนไปรวมกลุ่มกัน เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือไม่
พณ. วอน ปชช. อย่าตระหนก หลังพบแห่ซื้อหน้ากากอนามัยพุ่ง 5 เท่า
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ออกมาชี้แจงสาเหตุสำคัญที่ทำให้หน้ากากอนามัยในประเทศขาดแคลน เป็นเพราะความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่าของกำลังการผลิต หรือมากกว่า 6.75 ล้านชิ้น/วัน จากกำลังการผลิต 1.35 ล้านชิ้น/วัน อีกทั้งการนำเข้าหน้ากากอนามัยเดือนละ 20 ล้านชิ้น ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากประเทศผู้ส่งออกอย่างจีนห้ามการส่งออกโดยเด็ดขาด จึงขอประชาชนอย่าตื่นตระหนกจนเกินไปในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และซื้อหน้ากากอนามัยใช้เท่าที่จำเป็น เพื่อให้ผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ก่อนได้ใช้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์

เหตุใดหน้ากากอนามัยถึงขาดตลาด (1)

11 แห่ง โรงงานผลิต
1.35 ล้านชิ้น/วัน กำลังการผลิต
6.75 ล้านชิ้น/วัน ความต้องการใช้ในปัจจุบัน
1 ล้านชิ้น/วัน ความต้องการใช้ก่อนโควิด-19 ระบาด
6.6 แสนชิ้น/วัน ยอดการนำเข้าจากจีนหายไป
ที่มา : บีบีซีไทยสรุปจากคำแถลงของอธิบดีกรมการค้าภายใน เมื่อ 2 มี.ค. โดยได้แปลงหน่วยให้ตรงกันเพื่อง่ายต่อความเข้าใจ
อธิบดีกรมการค้าภายในระบุด้วยว่า กำลังหาช่องทางเอาผิดทางกฎหมายแก่ผู้ค้าที่จำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินจริง โดยขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยกันแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน 1569
มท. รับงบ 225 ล้าน ปั๊มหน้ากากผ้า 50 ชิ้น

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ดำเนินการเรื่องหน้ากากอนามัย 2 ส่วนคือ หน้ากากอนามัยที่ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม และหน้ากากอนามัยทางเลือก โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิฏฐ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กำลังเร่งรัดให้โรงงานที่ผลิตหน้ากากอนามัยทั้ง 11 โรงงาน เพิ่มกำลังการผลิตให้ได้ 38 ล้านชิ้น/เดือน หรือคิดเป็นวันละ 1.3-1.4 ล้านชิ้น/วัน จากเดิมที่ผลิตได้ 30 ล้านชิ้น/เดือน หรือคิดเป็นวันละ 1 ล้านชิ้น/วัน ทั้งนี้ได้ขอให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลกช่วยหาแหล่งวัตถุดิบที่จะนำมาผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศ หลังประสบปัญหาไม่อาจนำเข้าวัตถุดิบจากจีนได้

เหตุใดหน้ากากอนามัยถึงขาดตลาด (2)
พณ.ขอปันหน้ากากอนามัยจาก รง. มาบริหารจัดการ 6 แสนชิ้น/วัน
3.5แสนชิ้น/วัน ส่งไป รพ. ทั่วประเทศ
1.8หมื่นชิ้น/วัน ส่งไปการบินไทย
2.5 หมื่นชิ้น/วัน ส่งไปสมาคมร้านขายยา (ก่อนส่งต่อไปยังร้านขายยา)
4ชิ้น/คน ประชาชนซื้อได้

ที่มา : บีบีซีไทยสรุปจากคำแถลงของอธิบดีกรมการค้าภายใน เมื่อ 2 มี.ค. โดยได้
ส่วนที่สอง ครม. อนุมัติงบกลางให้กระทรวงมหาดไทย 225 ล้านบาท เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้ดำเนินการจัดเจ้าหน้าที่อาสามัครหมู่บ้าน (อสม.) ไปอบรมประชาชนผลิตหน้ากากอนามัย 50 ล้านชิ้น ต้นทุน 4.50 บาท/ชิ้น ก่อนแจกจ่ายกับประชาชนทั่วไปฟรี
รมว.พาณิชย์ระบุว่าด้วยว่า หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม ซึ่งกำหนดราคาไว้ที่ 2.50 บาท/ชิ้น แม้ราคาต้นทุนของโรงงานผลิตจะสูงขึ้นจากวัตถุดิบที่แพงขึ้นก็ตาม โดย ครม. จะอุดหนุนต้นทุนส่วนเกินของโรงงานต่อไป
ส่วนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฏหมาย เช่น ขายเกินราคา, ไม่ปิดป้ายแสดงราคา นายจุรินทร์บอกว่ามี 60 คดี โทษคือจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3มีค2563
https://www.bbc.com/thai/thailand-51717574

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
เมื่อวันที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศ สำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 6 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปันส่วน หรือจำหน่ายหน้ากากอนามัย

          โดยในประกาศ ระบุว่า เพื่อให้การปันส่วน หรือจำหน่ายหน้ากากอนามัยเป็นไปอย่างมีระบบ รวมทั้งสามารถจัดสรรหน้ากากอนามัยให้มีปริมาณที่เพียงพอ ต่อความต้องการของประชาชนทั้งประเทศ และราคามีความเหมาะสมเป็นธรรม

          ประกาศในข้อ 3 ระบุว่า ให้ผู้ผลิต ตัวแทนจำหน่าย ในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ปันส่วนหน้ากากอนามัยไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณการผลิต หรือปริมาณที่ครอบครอง แล้วแต่กรณี และจำหน่ายหน้ากากอนามัยจำนวนดังกล่าว ให้แก่ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย ของกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ ในราคาไม่เกินชิ้นละ 2 บาท เพื่อบริหารจัดการให้เพียงพอต่อความต้องการ ภายในประเทศ  เริ่มตั้งแต่วันที่  21 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป

          ทั้งนี้ ให้ผู้ผลิต ตัวแทนจำหน่าย จัดทำบัญชีคุมสินค้าเป็นรายวัน ส่งศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พร้อมทั้งหลักฐานการจำหน่ายและจัดส่งให้เลขาธิการ ณ สำนักงานคณะกรรมการกลางฯ เป็นประจำทุกสัปดาห์อีกด้วย

21มีค2563
https://hilight.kapook.com/view/200392



story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2563 เรื่อง การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติม ตามที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 53 พ.ศ. 2562 เรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม ลงวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 กำหนดสินค้าควบคุม 46 รายการ และบริการควบคุม 6 รายการ ไปแล้วนั้น

            โดยที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า สถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้จำเป็นจะต้องเพิ่มเติมการกำหนดสินค้าควบคุม เพื่อดูแลป้องกัน การกำหนดราคาซื้อ ราคาจำหน่าย หรือการกำหนดเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติทางการค้าอันไม่เป็นธรรม

            อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 (1) และมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้

            ข้อ 1 ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป เว้นแต่จะมีการออกประกาศใหม่

            ข้อ 2 ให้สินค้าดังต่อไปนี้ เป็นสินค้าควบคุม

            (1) หน้ากากอนามัย

            (2) ใยสังเคราะห์ Polypropylene (Spunbond) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย

            (3) ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ

            (4) เศษกระดาษ และกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก

            ประกาศ ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
https://hilight.kapook.com/view/199629


story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
26 มี.ค.63 - ที่รัฐสภา นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะอนุกรรมธิการชุดที่สอง คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลประชุมอนุกมธ.ว่า ที่ประชุมได้เชิญนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลืออาชญากรรม มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกักตุนหน้ากากอนามัย โดยอนุกมธ.ได้ตั้งประเด็นเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยที่หายไปจากท้องตลาด และถูกส่งไปขายต่างประเทศ พบว่า มีจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ คำสั่งของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคากลางสินค้าและผลิตภัณฑ์ วันที่ 4 ก.พ. 2563 ที่ขอให้การส่งออกหน้ากากอนามัยมาอยู่ในความดูแลของกระทรวงพาณิชย์ จากเดิมที่เป็นหน้าที่ขององค์การเภสัชกรรม ขณะเดียวกันอนุกมธ.ยังมีข้อสงสัยโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย 11 แห่งที่ระบุว่ามีกำลังการผลิต 1.2ล้านชิ้นต่อวันนั้น น่าจะมีการผลิตหน้ากากอนามัยได้มากกว่านั้น โดยเห็นจากตัวเลขการใช้ไฟฟ้าของโรงงานแต่ละแห่งมียอดใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นมาก ดังนั้นกำลังการผลิตต้องสูงขึ้น ซึ่งส่วนต่างของหน้ากากที่เกิน1.2ล้านชิ้นไปอยู่ไหน  เข้าไปสู่ในตลาดมืดหรือไม่
"ขอฝากไปถึงนายกฯ และรมว.พาณิชย์ให้ช่วยชี้แจงการกระจายหน้ากากอนามัยที่ระบุว่า มีการส่งให้โรงพยาบาล 7แสนชิ้นต่อวัน และส่งให้ร้านค้า 5แสนชิ้นต่อวัน มีรายละเอียดส่งไปที่ไหนบ้าง ทำไมราคายังแพงอยู่" นายธีรัจชัย กล่าว
นายธีรัจชัย กล่าวต่อว่า จากข้อมูลยังพบว่า ในวันที่ 9 มี.ค.2563 คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคากลางสินค้าและผลิตภัณฑ์ กระทรวงพาณิชย์ อนุมัติให้ 7 บริษัท ส่งออกหน้ากากอนามัยถึง 12 ล้านชิ้น จากยอดทั้งหมดที่ขอมา 53 ล้านชิ้น จาก 242 บริษัท ซึ่งเป็นเฉพาะวันที่ 9 มี.ค.วันเดียว จึงอยากทราบว่า วันอื่นๆมีการอนุมัติการส่งออกหน้ากากอนามัยเท่าไรบ้าง
ด้านนายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะที่ปรึกษากมธ. กล่าวว่า นายอัจฉริยะได้แจ้งต่ออนุกมธ.ว่า มีข้อมูลจากป.ป.ง.ถึงเส้นทางการเงินเรื่องหน้ากากอนามัยในกลุ่มข้าราชการบางคน ซึ่งนายกฯได้รับทราบข้อมูลเรื่องนี้จนมีการใช้คำสั่งกับข้าราชการบางคนไปแล้ว เรามีข้อมูลส่วนนี้ที่ตรวจสอบได้ และจะตรวจสอบเชิงลึกต่อไป
อย่างไรก็ตาม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมประชุมคณะอนุกมธ. เปิดเผยว่า ตนจะให้ข้อมูลกับกมธ.ว่าบริษัทผู้ผลิตหน้ากากอนามัยมีมากกว่า 200 บริษัท หากทุกบริษัทร่วมกันผลิตก็น่าจะมีหน้ากากอนามัยมากกว่า 200-300 ล้านชิ้นต่อเดือน ซึ่งใน 200 บริษัทมีทั้งการนำเข้า ส่งออก และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย จึงไม่ทราบว่าของขาดตลาดได้อย่างไร ซึ่งนอกจากจะระงับการส่งออกแล้วยังไม่ให้มีการผลิตของให้กับประชาชนคนไทยได้ใช้ จึงไม่ทราบว่าเหตุใดจึงต้องล็อคแค่ 11 บริษัท และ 2 ใน 11 บริษัทก็ได้มีการนำหน้ากากอนามัยไปขายในตลาดมืดเป็นจำนวนมาก
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า มีบริษัทหนึ่งขายหน้ากากอนามัยให้นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือ บอย เมื่อวันที่  29 มกราคม 2563 จำนวน 1 ล้านชิ้น ในราคา 3.40 บาท ซึ่งบางคน​ได้ค่านายหน้า 40 สตางค์ ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้มีการประกาศห้ามการส่งออกในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ซึ่งบริษัทต้องจัดส่งยอดที่มีอยู่ในสต๊อกในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ โดยบริษัทได้แจ้งว่ามีกำลังการผลิตวันละ 200,000 ชิ้น แต่แท้ที่จริงบริษัทมีกำลังการผลิตวันละ 500,000 ชิ้น ซึ่งได้นำส่วนต่างจำนวนวันละ 300,000 ชิ้น ไปขายในตลาดออนไลน์ และนำส่งไปต่างประเทศ จึงอยากทราบว่ากรมการค้าภายในควบคุมสินค้าอย่างไรทำให้ไม่มีของขายในตลาดประเทศไทย หากนำทั้ง 200 บริษัทมาร่วมกันผลิตสินค้าจะขาดตลาดได้อย่างไร
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลหลักฐานที่ตัวเองมีอยู่เชื่อว่าสามารถเอาผิดอธิบดีกรมการค้าภายในได้ รวมถึงเกี่ยวพันกับหลายหน่วยงาน ขึ้นอยู่กับว่าทาง กมธ. จะเอาจริงหรือไม่ ส่วนตัวกลัวว่าจะเป็นมวยล้มต้มคนดูจึงไม่อยากให้ข้อมูลมาก ทั้งที่ตัวเองก็มีข้อมูลเชิงลึกอยู่จำนวนมาก โดยเรื่องนี้เป็นหน้าที่ฝ่ายค้านที่ต้องตรวจสอบหาความจริงให้ได้ว่าหน้ากากอนามัยหายไปไหน ใครเป็นคนอนุญาตให้ส่งออก ขณะเดียวกัน หากกรมการค้าภายในยอมให้ข้อมูลทั้ง 242 บริษัท ยอมให้ข้อมูลกับ กมธ.และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะง่ายต่อการตรวจสอบ แต่ที่ผ่านมากรมการค้าภายในไม่เคยให้ข้อมูลเลย

26 มีนาคม พ.ศ. 2563
https://www.thaipost.net/main/detail/61045

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
หมองานเข้าหลังโพสต์ภาพหลังผ่าตัดเลือดกระเซ็น แฉรพ.ขาดแคลนหน้ากากอนามัยหนัก เจอสสจ.ต้นสังกัดสั่งหยุดโพสต์ไม่พอใจขอให้หยุดเคลื่อนไหว ลั่นถาม”หน้ากากอนามัยหายไปไหน”
ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรค COVID-19  อยู่ในอาการน่าเป็นห่วง และหนีไม่พ้นหน้ากากอนามัยที่หาใช้ยาก ซึ่งเดือดร้อนไปจนถึงบุคลากรทางการแพทย์ ที่กำลังขาดหน้ากากอนามัยอย่างหนัก

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. นพ.วรุตม์ พิสุทธินนทกุล หมอผ่าตัดที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warut Pisudtinontakul เป็นภาพเลือดที่กระเด็นเต็มบริเวณใบหน้าหลังจากที่ผ่าตัด เคราะห์ดีที่มีการป้องกันด้วยการใส่หน้ากากทางการแพทย์ โดยนพ.วรุตม์ ระบุว่า มีคนบอกให้ใช้แมสผ้าผ่าตัด ขอบอกว่าแมสผ้ามันกันอันตรายที่อาจเกิดกับคนทำงานแบบนี้ไม่ได้ครับ  ขณะนี้ แมส หมดโรงพยายาลเป็นที่เรียบร้อย ขอรับบริจาคแมสที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ครับ ขอบคุณมากๆเลยครับ

กระทั่งได้มีการโพสต์ข้อความอีกครั้งว่า ทางสาธารณสุขจังหวัด ไม่พอใจและให้ตนหยุดสื่อสาร เพราะทางสาธารณสุขจังหวัดจัดการกับปัญหาโรงพยาบาลขาดแคลนหน้ากากเพียงพอแล้ว ซึ่งตนเองจะขอลบโพสต์นี้ในเวลา 17.00 น.และระบุว่าหากใครจะแคปอะไรในเฟซบุ๊กตนตอนนี้ให้รีบแคปไว้เลย

นอกจากนี้นพ.วรุตม์ ยังระบุด้วยว่า เรื่องหน้ากากอนามัย คำถามที่เราทุกคนควรถามคือ โดยปกติแล้ว โรงพยาบาลสั่งเป็นประจำอยู่แล้ว และโรงงานก็ผลิตส่งให้เป็นประจำ นั่นคือ มันเป็นโควต้าที่ต้องได้อยู่แล้ว และเอาจริงๆ ในโรงพยาบาล ณ ตอนนี้ ไม่ได้มีการใช้หน้ากากอนามัยเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติแบบ มโหฬาร แล้ว “หน้ากากอนามัยหายไปไหน”

นี่คือปัญหาของการจัดการ เป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของผู้มีอำนาจที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ หน้ากากอนามัย หายไปไหน ทำไมหน้ากากอนามัยที่เป็นออเดอร์ประจำของแต่ละโรงพยาบาลถึงส่งมาไม่ถึง มันเกิดอะไรขึ้น ใครขโมยหน้ากากอนามัยเหล่านี้ไปจนเกิดปัญหาทั่วประเทศ ขอพูดเลียนแบบ ผู้นำประเทศผู้ชาญฉลาด อันมีเซลล์สมองถึง 84,000 เซลล์ (โคตรเยอะเลยเว้ยเฮ้ย) ว่า google ดูก็จะรู้คำตอบ #รัฐบาลเฮงซวย #รัฐบาลขอทาน อีกนิด แล้วทำไมผู้มีอำนาจถึงดิ้นกันขนาดนี้  มี hidden agenda อะไร? ซ่อนอยู่รึเปล่า ก็ต้องคิดกันต่อไป

ทั้งนี้ภายหลังจากที่ได้มีการโพสต์ข้อความดังกล่าวออกไป ได้มีคนร่วมบริจาคแมสกันเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบในเฟซบุ๊กของนพ.วรุตม์ พบว่า ได้มีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการจัดการปัญหา การป้องกันเชื้อโควิด -19


8 มีนาคม 2563
https://www.dailynews.co.th/regional/761623

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
อดีตกกต. / วันที่ 4 ก.พ. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต. โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 และปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัยว่า
 
ลำดับ การแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยของรัฐบาล
4. ก.พ.2563 มีประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2563 ให้หน้ากากอนามัย เป็นสินค้าควบคุม
6-11 ก.พ.2563 มีผู้ขออนุญาตส่งออกหน้ากากอนามัย รวม 40 ราย จำนวนที่ขอส่งออกประมาณ 18.5 ล้านชิ้น แต่ยังไม่อนุมัติ (จากแถลงข่าวจาก อธิบดีกรมการค้าภายใน)
7 ก.พ.2563 เปิดจำหน่ายที่ทำเนียบรัฐบาล ราคา 10 ชิ้น 25 บาท ประกาศว่าจะขายต่อเนื่อง 10 วัน หลังจากนั้นประกาศยกเลิก ขายได้วันเดียว
8 ก.พ.2563 กระทรวงพาณิชย์ คิกออฟ เปิดขายหน้ากากอนามัย 10 ล้านชิ้นให้แก่ประชาชน มีพิธีเปิด โดย รมต.จุลินทร์ โดนประชาชนโห่ เนื่องจากต้องรอ รมต. มาเปิดงานช้ากว่ากำหนด 1 ชม.
2 มี.ค.2563 รมต.จุลินทร์ แถลงข่าวว่า ปัจจุบันมีโรงงานที่ผลิต 11 โรง มีกำลังการผลิตได้ 36-38 ล้านชิ้นต่อเดือน
3 มี.ค.2563 ครม.เห็นชอบวงเงิน 225 ล้านให้มหาดไทย ใช้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลิตหน้ากากผ้า 50 ล้านชิ้น เพื่อแจกจ่ายประชาชน
จาก 4 ก.พ. ถึงวันนี้ 4 มี.ค. เป็นเวลา 1 เดือน หากกำลังการผลิต 38 ล้านชิ้นต่อเดือนเป็นจริงตามที่รมต.พาณิชย์แถลง หน้ากาก 38 ล้านชิ้นหายไปไหน ทำไมประชาชนไม่สามาารถซื้อหาได้โดยสะดวก
เพราะแอบอนุมัติให้ส่งออกหมด เพื่อเอื้อนายทุน? หรือ ใครสร้างกำไร ร่ำรวยบนความทุกข์และความเป็นความตายของประชาชน? รัฐบาลต้องมีคำตอบ

4/3/2563
https://www.msn.com/th-th/news/national/อดีตกกตถามรัฐบาล-1-เดือนหลังควบคุม-หน้ากากอนามัย-38-ล้านชิ้นหายไปไหน/ar-BB10IIAM

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ Thirachai Phuvanatnaranubala ระบุว่า...

“หน้ากาก 200 ล้านชิ้นหายไปไหน?”
ในคลิป คุณสนธิ ลิ้มทองกุลทำหน้าที่สื่อเจาะลึก Investigative Journalism เผยแพร่ข้อมูล ทำให้ผมมีข้อสงสัยว่า เกิดมีการใช้ข้อมูลภายในที่ขัดหลักธรรมาภิบาล หรือไม่?
เรื่องเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยนั้น กระทบต่อความเสี่ยงของประชาชน และบุคลากรสาธารณสุข หมอ พยาบาล ที่ช่วงหนึ่งขาดแคลน กรณีหากมีการหาประโยชน์ส่วนตนที่มิชอบ ก็จะเป็นเรื่องความโลภที่ให้อภัยกันไม่ได้ทีเดียว
ดังนั้น คุณจุรินทร์ ในฐานะรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง และพลเอกประยุทธ์ ในฐานะผู้รับผิดชอบรัฐบาล จึงต้องรีบชี้แจงต่อประชาชน ในประเด็นต่างๆ รวมถึงต่อไปนี้
1) เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ภายหลังจากโควิด-19 มาถึงไทยและประชาชนเริ่มกังวลเกี่ยวกับหน้ากาก กรมการค้าภายในเชิญผู้ผลิตรายใหญ่ 11 รายมาประชุม
-ผู้ผลิตยืนยันมีสต็อค 200 ล้านชิ้น ถูกต้องหรือไม่?
-สต๊อค 200 ล้านชิ้นอยู่ในมือผู้ผลิตแต่ละราย เท่าใด?
2) ในวันถัดไป 30 ม.ค. รมว.พาณิชย์ตรวจเยี่ยมโรงงาน ยืนยันว่ามีสต๊อค 200 ล้านชิ้น ข่าวระบุว่า 10 โรงงานใหญ่มีกำลังผลิต 100 ล้านชิ้น/เดือน
กรมประเมินความต้องการใช้จะเพิ่มจาก 30 ล้านชิ้น/เดือน ขึ้นเป็น 40 ล้านชิ้น/เดือน ถึงแม้ไม่ผลิตเพิ่ม สต็อคก็พอใช้ 4-5 เดือน (ดูข่าว)
-รมว.พูดถูกต้องหรือไม่?

3) ในขณะที่ร้านค้าพากันแจ้งลูกค้าไม่มีหน้ากากขาย เมื่อ 3 ก.พ. (เพียง 4 วันหลังจาก รมว.เยี่ยมโรงงาน) กระทรวงพาณิชย์ก็ประกาศหน้ากากเป็นสินค้าควบคุม และเมื่อ 4 ก.พ. ก็ประกาศให้ผู้ผลิตต้องแจ้งสต๊อคของเดือน ม.ค.
-สต๊อคที่แจ้งตรงกับ 200 ล้านชิ้นหรือไม่?
-หากลดไปจาก 200 ล้านชิ้น ลดลงที่ผู้ผลิตรายใด?
-กรมได้ตรวจสอบสต๊อคที่แจ้งหรือไม่ กรมได้ทำอย่างไรเพื่อแน่ใจว่า ไม่มีการแจ้งสต๊อคต่ำกว่าที่มีอยู่จริง?
4) มีข้อสงสัยว่าเอกชนอาจจะรู้ล่วงหน้าว่ากำลังจะมีการควบคุมหน้ากาก จึงเร่งส่งออกในเดือน ม.ค./ก.พ.
-มีการส่งออกในเดือน ม.ค. และ ก.พ. จำนวนเท่าใด โดยผู้ใด ไปยังประเทศไหน?
-ปริมาณส่งออกมีเพิ่มขึ้นมากอย่างผิดสังเกต ในช่วง 4-5 วัน (ระหว่าง รมว.ตรวจสต๊อคกับประกาศควบคุม) หรือไม่?
-มีการส่งออกที่เกิดขึ้นภายหลัง 4 ก.พ. ที่กรมอนุญาตเนื่องจากอ้างว่า เป็นการส่งออกตามสัญญาซื้อขายที่เกิดขึ้นก่อนวันควบคุม หรือไม่?
5) มีข้อสงสัยว่ามีผู้ผลิตบางรายอาจจะสำแดงกำลังผลิตต่ำกว่าจริง (ตัวเลขที่กล่าวถึงภายหลังระบุกำลังผลิตเพียง 30-35 ล้านชิ้น/เดือน) เพื่อจะนำส่งกรมไม่ครบถ้วน ส่วนที่เหลือเพื่อเล็ดรอดออกไปตลาดมืด
-กรมทำการตรวจสอบกำลังผลิตที่สำแดง เทียบกับตัวเลขในปี 2562 หรือไม่?
-ถ้าไม่ตรวจสอบ เพราะเหตุใด?
ผมเชื่อว่าทั้งข้าราชการและผู้ที่เกี่ยวข้องยึดหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใจไม้ใส่ระกำ หาประโยชน์ส่วนตนบนความทุกข์ของประชาชน และทรยศต่อผู้กล้านักรบเสื้อเกาวน์ของเรา
แต่ถ้าหากมีสิ่งไม่ถูกต้องเกิดขึ้น ส่วนราชการจำเป็นต้องดำเนินคดีอย่างฉับพลัน โดยใช้กฎหมายฟอกเงินอายัดทรัพย์ของคนที่เกี่ยวข้องไว้ก่อน เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง และจะต้องหาทางป้องกันสำหรับอนาคต
สภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลกนี้ ประชาชนจึงอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบระหว่างผู้นำแต่ละชาติ เป็นโอกาสที่ผู้นำจะสร้างความประทับใจในระดับโลก

14 มีนาคม 2563
https://siamrath.co.th/n/139059

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
หลังจากที่หลายคนหาหน้ากากไม่เจอในท้องตลาดมาเป็นเดือนแล้ว คนจำนวนมากสงสัยว่าหน้ากากที่จำเป็นอย่างมากในการป้องกันฝุ่นและเชื้อโรคโดยเฉพาะเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 นั้นหายไปไหน
ทางFrontlineNews ได้เข้าไปเช็คข้อมูลในเว็บไซต์ของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์  โดยจำเป็นต้องใส่รหัสสินค้าของหน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด (Surgical Mask) ซึ่งจำเป็นต้องกรอกรหัส HS-Code สำหรับหน้ากากผ่าตัด คือ 63079040000  โดยทำการเปรียบเทียบการส่งออกระหว่างสิ้นปี 2562 และ มกราคม 2563 พบว่าระหว่างปี 2562 มีการส่งออกหน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัดปริมาณอยู่ที่4,932 กิโลกรัม มูลค่าการส่งออกทั้งปีอยู่ที่ 1,388,069 100 บาท
แต่เมื่อเข้าเดือนมกราคม มีการส่งออกหน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัดเพิ่มขึ้น โดยมูลค่าสินค้ากว่า  6,319,088 บาท จำนวน 5,993 กิโลกรัม

ข้อมูลจากเว็บไซต์ของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
 
ในส่วนหน้ากาอีกประเภทหนึ่งนั่นคือ หน้ากากกรองฝุ่น หมอกควันหรือสารพิษ บรรดาที่เป็นอุปกรณ์เพื่อปลอดภัย ได้เข้าไปค้นในเว็บไซต์ของกรมศุลกากรซึ่งเป็นหน้ากากอีกประเภทหนึ่ง รหัส HS-Code คือ 63079090001 ที่มีปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการส่งออกและมูลค่าการส่งออกระหว่างปี 2562 ทั้งปี และ เดือนมกราคม 2563 เดือนเดียวพบว่า ปริมาณการส่งออกในปี 2562 จำนวน 4,932 กิโลกรัม มุลค่าการส่งออกทั้งปีอยู่ที่ 1,388,069 บาท
แต่เมื่อข้ามปีมาในเดือนมกราคม 2563 ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 186,098 กิโลกรัม มูลค่าการส่งออกเฉพาะเดือนมกราคมอยู่ที่ 75,338,892 บาท

ข้อมูลจากเว็บไซต์กรมศุลกากร
 
สำหรับข้อมูลในเดือนกุมภาพันธ์ยังไม่มีการประกาศจำนวนส่งออกและมูลค่าส่งออกของสินค้า ซึ่งน่าติดตามว่าปริมาณการส่งออกและมูลค่าการส่งออกของหน้ากากที่ใช้ในห้องผ่าตัด และ หน้ากากกรองฝุ่น หมอกควันหรือสารพิษ บรรดาที่เป็นอุปกรณ์เพื่อปลอดภัย ว่าทั้งหน้ากากทั้งสองประเภทมียอดส่งออกมากขึ้นหรือไม่
แต่จากข้อมูลนายชัยยุทธ คำคุณ โฆษกกรมศุลกากร ซึ่งกล่าวว่า ภาพรวมการส่งออกหน้ากากอนามัยในเดือน ม.ค. 2563 อยู่ที่ 150 ตัน และเดือน ก.พ. 2563 อยู่ที่ 180 ตัน รวมแล้ว 2 เดือน มีการส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งสิ้นกว่า 330 ตัน คิดเป็นมูลค่า 160 ล้านบาท นั้นอาจมีการใช้พิกัดศุลกากรอื่นในการส่งออกเพิ่มเติม ทำให้ขาดข้อมูลไม่ครบถ้วน
ข้อมูลตัวเลขการส่งออกหน้ากากที่ทาง Frontline News หามาได้เป็นเพียงรหัส Hs-Code เพียง 2 ประเภทสินค้าเท่านั้น ซึ่งยังมีข้อจำกัดในการค้นว่ามีการใช้พิกัดอื่นหรือไม่ในการส่งออกหน้ากากอนามัยไปต่างประเทศ

11-03-2020
https://www.frontlinenews.digital/news/where-have-surgical-mask-gone/

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
หน้ากากอนามัยหายไปไหน?
ยังจำได้ดีว่า ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ “อู๊ดด้า – นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมานั่งยันนอนยันว่า หน้ากากอนามัยมีเพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
แต่บัดนี้หน้ากากอนามัยกลายเป็นของหายาก ร้านขายยาทั่วทุกแห่งหนพร้อมใจปิดป้ายประกาศ “หน้ากากอนามัยหมด” พี่น้องประชาชนหาซื้อไม่ได้ หรือที่ยังพอมีขายก็โก่งราคาแพงหู่ฉี่ อ้างต้นทุนแพง กอบโกยกำไร หน้ากากเขียวธรรมดา ตกชิ้นละ 35 – 70 บาท
ขณะที่บรรยากาศร้านค้าขององค์การเภสัชกรรม รัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงสาธารณสุข จัดจำหน่ายราคาไม่แพง 1 แพค10 ชิ้น 10 บาท มีประชาชนไปต่อคิวรอตั้งแต่ตี 5 – 6 โมงเช้าทุกวัน และไม่ใช่ว่าทุกคนได้หน้ากากอนามัยกลับบ้าน เพราะจำเป็นต้องจำกัดจำนวน กลับกันในโซเชียลฯ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ชอปปี้ ลาซาด้า ฯลฯ มีประกาศเสนอขายหน้ากากอนามัยล็อตใหญ่กันเป็นหมื่นเป็นพันชิ้น
ค้าขายเกินราคาไม่อินังขังขอบต่อประกาศ พณ. ที่กำหนดให้ “หน้ากากอนามัย- เจลล้างมือ” เป็น “สินค้าควบคุม 1 ปี” หากพบกระทำผิด ขายแพงเกินราคา กักตุนสินค้า และปฏิเสธการจำหน่าย มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือหากไม่ปิดป้ายราคามีโทษ ปรับ 10,000 บาท
ยิ่งไปกว่านั้น บุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล ฯลฯ โรงพยาบาลรัฐและเอกชนทั่วราชอาณาจักร กำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ทุกโรงพยาบาลต้องกำหนดโควตาการเบิกใช้ ช่วยกันประหยัดทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเปิดเผยจากสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ถึงวิกฤตขาดแคลนหน้ากากอนามัยในโรงพยาบาล สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจาก การเข้ามาควบคุมของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ หลังจากประกาศให้ “หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม” ทำให้โรงงานผู้ผลิตต้องจัดส่งให้กับกรมการค้าภายในเท่านั้น ไม่สามารถจำหน่ายให้กับโรงพยาบาลโดยตรง ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึง “ความไร้ประสิทธิภาพ” ของกระทรวงพาณิชย์ในการบริหารจัดการชัดแจ้งขึ้นไปอีก
หน้ากากอนามัยไม่เพียงขาดแคลน แต่ยังมีการโก่งราคา และหลอกจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานเกิดกรณี “แจกหน้ากากอนามัยไร้คุณภาพ10,000 ชิ้น” ที่ “นายสิระ เจนจาคะ” ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ ถูกหลอกขาย โดยคว้านซื้อมาจากช่องทางออนไลน์ ราคาชิ้นละ 14.75 บาท รวมทั้งหมด 147,500 บาท กระทั่ง มีการนำไปตรวจสอบวิเคราะห์ด้วยเทคนิค FT-IR-ATR พบว่า หน้ากากอนามัยที่นายสิระนำมาแจก เป็ นผ้าสปันบอนด์ ที่เกิดจากเส้นใยสังเคราะห์ของโพลิเมอร์ ที่เป็นพอลิโพรไพลีน (Polypropylene หรือ PP) ลักษณะทางกายภาพมีกลิ่นเหม็นพลาสติก มีขนาด 3 ชั้นแต่บางมาก ลักษณะย้อมสีฟ้าเพื่อให้ดูรู้สึกดี แตกยุ่ยได้ง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เรียกว่าไมโครพลาสติก หากสูดดมเข้าไปในร่างกาย มีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
รวมทั้ง หากนำไปล้างน้ำและไหลลงไปในระบบนิเวศ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง สัตว์น้ำสัตว์ทะเลจะได้รับไมโครพลาสติกพวกนี้กลับเข้ามาสู่ระบบและมนุษย์ก็ไปกินสัตว์น้ำเหล่านี้ก็จะเข้ามาสู่ร่างกายได้เช่นกัน ในระยะยาวพลาสติกเหล่านี้ย่อยสลายได้ยากมาก และเป็นกลุ่มเสี่ยงซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ยังมีการนำ “หน้ากากอนามัยใช้แล้ว” มาหลอกลวงจำหน่ายฟาดกำไรไปเต็มๆ ดังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมให้เห็นกันจะจะที่วิหารแดง จ.สระบุรี
คำถามที่ดังอึงมี่ไปทั่วทั้งประเทศก็คือ “หน้ากากอนามัย” หายไปไหน “ใคร” คือคนที่กักตุนสินค้า และ “กระทรวงพาณิชย์” ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ “รัฐมนตรีอู๊ดด้า” ทำอะไรกันอยู่ เพราะมีข้อมูลอยู่ในมือหมดแล้วว่า โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทยมี 11 แห่ง และแต่ละแห่งมีกำลังการผลิตมากน้อยแค่ไหนต่อวัน
ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า วิกฤตหน้ากากอนามัยขาดแคลน “มีขบวนการกักตุนสินค้า” มี “ไอ้โม่ง” ผู้ใกล้ชิดกับรัฐบาลหรือนักการเมืองคนใดหรือพรรคไหน ไปกว้านซื้อล็อตใหญ่จากโรงงานหรือไม่?


จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการรกระทรวงการคลัง และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หารือร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กลุ่มผู้ผลิตหน้ากากอนามัย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กรมโรงงานอุตสาหกรรมฯลฯ
เพราะนับตั้งแต่ โควิด-19 ระบาด ลากยาวตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 หน้ากากอนามัยเริ่มขาดตลาดและขาดแคลนหนัก ในห้วงเวลาประกาศเป็นสินค้าควบคุม ของกระทรวงพาณิชย์ เกิดการกักตุน โก่งราคา แม้มีบทลงโทษทางกฎหมายร้ายแรง
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ออกมาแจกแจงเผยรายละเอียดว่า ปัจจุบันโรงงานในประเทศมีกำลังการผลิตที่จำกัด 1.35ล้านชิ้นต่อวัน แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ประกอบกับปัญหาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเริ่มขาดแคลนและหายาก
ปลายเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ไทยมีสต็อกหน้ากากอนามัย 30 ล้านชิ้น ซึ่งสต็อกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยอัพเดทอีกครั้งในวันที่ 10 มี.ค. 2563 ขณะที่ความต้องการหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 100 ล้านชิ้น ซึ่งกำลังการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ 11ราย รวมกันวันละ 1.3 ล้านชิ้น หรือเดือนละประมาณ 36 ล้านชิ้นเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดระเบียบให้โรงงานผลิตกระจายหน้ากาก ต้องส่งหน้ากากอนามัยส่วนเข้า “ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย” ของกระทรวงพาณิชย์ ประมาณ 40 – 45% โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก จัดสรรให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข รวม 600,000 ชิ้นต่อวัน โดยจัดสรรให้บุคลากรทางการแพทย์ 350,000 ชิ้น ผ่านโรงพยาบาลโดยตรง 150,000 ชิ้น ผ่านองค์การเภสัชกรรม 200,000 ชิ้น และส่งมาที่กรมการค้าภายใน 250,000 ชิ้น เพื่อกระจายไปยังสมาคมร้านขายยา การบินไทย ร้านธงฟ้า เซเว่นอีเลฟเว่น บิ๊กซี เทสโก้โลตัส ขายให้ประชาชนคนละไม่เกิน 1 แพ็คๆ ละ 4 ชิ้น ราคาชิ้นละ 2.50 บาท รวมจำหน่ายแพ็คละ 10 บาท
ส่วนที่สอง เหลืออีกจำนวน 750,000 ชิ้นต่อวัน ทางโรงงานอุตสาหกรรมดำเนินการบริหารจัดการตามการค้าปกติ ซึ่งอาจจะต้องเข้าไปตรวจสอบว่าจำหน่ายไปในช่องทางใดบ้าง
ตามข้อมูลข้างต้น โรงงานต้องส่งหน้ากากอนามัยส่วนเข้า “ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย” ของกระทรวงพาณิชย์ ประมาณ 40 – 45% เพื่อให้ศูนย์ฯ สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซงการทำธุรกิจปกติของภาคเอกชน เพราะ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ให้อำนาจกระทรวงพาณิชย์เต็มที่ในการบริหารจัดการสินค้าควบคุมภายใต้ภาวะวิกฤต
เห็นภาพเห็นข้อมูลจากกรมการค้าภายในแล้ว คำถามก็เกิดขึ้นเหมือนเคยว่า แล้วทำอะไรกันอยู่ เพราะไม่ใช่ไม่รู้ว่า ความต้องการหน้ากากอนามัยเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” และปัญหา “ฝุ่นพิษ PM 2.5”
แล้วจะว่าไป ปัญหานี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด หากแต่เกิดมานานแล้ว
4 มี.ค. นายจุรินทร์ประชุมเคร่งเครียดกว่า 8 ชั่วโมงก็หาข้อสรุปไม่ได้ กระทั่งวันที่ 5 มี.ค. นายจุรินทร์ถึงได้มี “บทสรุป” ที่ชัดเจน โดยเปิดเผยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัยราคาแพง และการกระจายหน้ากากอนามัย ว่า ได้ลงนามในประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กำหนดราคาจำหน่ายสูงสุดหน้ากากอนามัยแบบสีเขียวในราคาไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท สำหรับหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้ในประเทศ แต่ได้ยกเว้นให้สำหรับหน้ากากอนามัยที่เป็น สต๊อกเก่าและมีการจำหน่ายจากโรงงานไปยังผู้จำหน่ายต่างๆ ก่อนหน้านี้ โดยให้เวลาเคลียร์สต๊อกให้หมดภายใน 3 วัน และตั้งแต่วันจันทร์ที่ 9 มี.ค. 2563 เป็นต้นไปจะต้องจำหน่ายในราคาชิ้นละ 2.50 บาททั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน หากขายเกินราคาสูงสุดที่กำหนดจะมีโทษตามกฎหมาย คือ จำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ข้อความที่เห็นกันชินตาตามร้านขายยาทั่วประเทศ
ส่วนหน้ากากอนามัยนำเข้า ได้กำหนดให้ผู้นำเข้าต้องแจ้งต้นทุนนำเข้าต่อกรมการค้าภายใน และสามารถบวกค่าบริหารจัดการ เช่น ต้นทุนค่าบริหาร การขนส่ง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าบริหารงานบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ และค่าตอบแทน รวมกันทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 60% จากต้นทุนนำเข้า เช่น สินค้านำเข้าราคา 100 บาทบวกได้เป็น 160 บาท หรือราคา 1 บาท บวกได้เป็น 1.60 บาท เป็นต้น แต่การกำหนดราคาจำหน่ายสูงสุด ไม่รวมหน้ากากอนามัยแบบผ้า ที่เป็นหน้ากากทางเลือก ที่รัฐบาลกำลังส่งเสริมและผลักดันให้มีการผลิต
รัฐมนตรีอู๊ดด้าบอกด้วยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มีการสรุปตัวเลขการผลิตที่ชัดเจนร่วมกับโรงงานที่มีอยู่ 11 โรงงาน พบว่ามีกำลังการผลิตรวมกันวันละ 1.2 ล้านชิ้น ลดลงจากเดิม 1.35 ล้านชิ้น เพราะมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบ หรือจะมียอดรวมเดือนละ 36 ล้านชิ้น โดยการกระจายจะบริหารจัดการโดยศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย โดย 7 แสนชิ้นมอบให้กระทรวงสาธารณสุขนำไปกระจายให้โรงพยาบาล สถานพยาบาลทุกสังกัดทั้งรัฐและเอกชน ส่วนอีก 5 แสนชิ้น กรมการค้าภายในจะเป็นผู้ระบายให้ประชากร 60 ล้านคน ผ่านช่องทางที่มีอยู่เดิม และรถโมบายล์ที่เพิ่มเข้ามาใหม่
สำหรับการกระจายผ่านรถโมบายล์มีจำนวน 111 คัน แยกเป็นกรุงเทพฯ 21 คัน และต่างจังหวัด 90 คัน มีหน้ากากประมาณ 3 แสนชิ้นต่อวันไปขาย โดยรถที่วิ่งในกรุงเทพฯ จะขาย 5,000-10,000 ชิ้นต่อวัน และในต่างจังหวัด 3,000-5,300 ชิ้นต่อวัน และอีก 2 แสนชิ้นจะกระจายผ่านช่องทางเดิม คือ ร้านขายยา ส่งให้กับการบินไทย ร้านสะดวกซื้อ และร้านธงฟ้า ซึ่งการกระจาย ศูนย์ฯ จะมีการประชุมกันทุกวันเพื่อติดตามดูว่าตรงไหนขาด ตรงไหนเพียงพอ ก็จะปรับเปลี่ยน หรือเกลี่ยการระบายไปยังส่วนที่ขาดแคลนต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้มีการกำหนดให้ “เจลล้างมือ” เป็นสินค้าที่จะต้องขออนุญาตก่อนปรับขึ้นราคา เพื่อแก้ไขปัญหาราคาแพง โดยหากขอมาแล้วไม่ได้รับการอนุมัติก็ไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้
ส่วนการออกประกาศกำหนดให้ผู้ใดผู้หนึ่งที่มีหน้ากากอนามัยในครอบครองเกินกว่าปริมาณที่กำหนด จะต้องแจ้งปริมาณการครอบครองต่อกรมการค้าภายในเพื่อป้องกันการกักตุน ยังไม่ได้มีการกำหนดเป็นมาตรการออกมา เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อผู้ที่เก็บหน้ากากอนามัยที่บริสุทธิ์ โดยเฉพาะการครอบครองเพื่อใช้งาน เช่น โรงพยาบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่จะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ขณะที่ในด้านการดูแลและแก้ไขปัญหาการกักตุน ได้กำหนดพฤติกรรม คือ 1. การเก็บสินค้าไว้ในสถานที่อื่นตามที่ได้แจ้งไว้กับเจ้าหน้าที่ 2. ไม่นำหน้ากากที่มีเพื่อจำหน่ายออกจำหน่ายตามปกติ 3. ปฏิเสธการจำหน่าย 4. ประวิงการจำหน่าย และ 5. การส่งมอบโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จะถือว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการกักตุนสินค้า จะมีความผิดตามกฎหมาย มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และด้วยความเชื่องช้านี้เอง ทำให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้หารือร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กลุ่มผู้ผลิตหน้ากากอนามัย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กรมโรงงานอุตสาหกรรมฯลฯ
โดยได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดกับผู้ผลิตหน้ากากอนามัยที่ป้อนให้แก่โรงพยาบาลประมาณ 11 แห่ง กำลังผลิต 36 ล้านชิ้นต่อเดือน ให้ผลิตเต็มกำลังที่มีอยู่เพื่อให้สถานพยาบาลต่างๆ มีเพียงพอใช้
ส่วนกรณีของประชาชนทั่วไป ที่ประชุมเห็นชอบที่จะร่วมมือกับภาคเอกชนผลิตหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้าจำนวนประมาณ 30 ล้านชิ้น เพื่อแจกให้กับประชาชนฟรีในพื้นที่ชุมชนแออัด โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ๆ โดยมีโควตาให้คนละประมาณ 3 ชิ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มแจกได้ภายใน 1 เดือน หรือเร็วสุดภายใน มี.ค. โดยจะมีการนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติของบประมาณในการดำเนินงานในสัปดาห์หน้าต่อไป
คงต้องลุ้นกันเฮือกใหญ่ว่า ประชาชนจะเข้าถึงหน้ากากอนามัยง่ายขึ้นกว่าที่ผ่านมาหรือไม่?

9มีค2563
https://sondhitalk.com/2020/03/09/2960

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
จับตาหน้ากากอนามัย หายไปไหน ใครคือ 'ไอ้โม่ง' ใครได้ประโยชน์ ทุกรายชื่อทั้งนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า ล้วนอยู่ในมือ 'นายกฯ' แล้ว ระบุ 'บิ๊กตู่' ใช้ทีมงานจากหน่วยข่าวกรองทหาร, สตช., สอบสวนกลาง, ดีเอสไอ, ปปง., ปอท.และอัจฉริยะ ร่วมด้วยสืบทางลับและเปิดเผย รู้เส้นทางการเงินไปที่ใคร นายกฯ เตือนกลุ่มคนที่ฉวยโอกาส อย่าคิดว่าจะหลุดพ้นไปได้! ชี้การออก พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน โทษหนัก 2 เท่า ส่วน ปชป.จี้ถาม 'จุรินทร์' คำตอบคือ 'เงียบ' ด้านสมาชิก ปชป.เชื่อ นายกฯ ไม่ไว้ใจ ก.พาณิชย์แล้ว! เพียงแต่ยังไม่จัดการ!

หน้ากากอนามัยที่ใช้ในวงการแพทย์ หายไปไหน และใครคือไอ้โม่งที่กักตุนหน้ากากอนามัยเพื่อหาประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้องท่ามกลางภาวะวิกฤตการระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 และทันที่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563-30 เมษายน 2563 เพื่อให้เราสามารถหยุดการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 พร้อมกับลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนทุกคน

ที่สำคัญนายกฯ ยังได้ประกาศเตือนกลุ่มคนที่ฉวยโอกาส หาผลประโยชน์บนความทุกข์ร้อนบนความเป็นความตายของประชาชน ให้รู้ไว้ว่าอย่าคิดว่าจะหลุดพ้นไปได้!

“ผมจะทำทุกอย่างที่จะใช้กฎหมายจัดการกับคนเหล่านี้อย่างรวดเร็วเด็ดขาดและไม่ปรานี”

ถ้อยแถลงที่นายกฯ ลั่นออกมานั้นจะส่งผลให้บรรดาผู้ที่กักตุน หรือแสวงหาประโยชน์จากวิกฤตครั้งนี้ โดยเฉพาะเรื่องหน้ากากอนามัย ต่างก็ร้อนๆ หนาวๆ ตามกันว่าใครบ้างทั้งข้าราชการ นักการเมือง พ่อค้า อยู่ในบัญชีรายชื่อที่ถูกส่งถึงนายกรัฐมนตรีบิ๊กตู่ไปแล้ว

เบื้องต้นนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งย้ายนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ให้ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทันทีที่มีคำสั่งนี้ออกไปก็ปรากฏว่านายวิชัย โภชนกิจ ได้ยื่นใบลาออกจากราชการเช่นกัน
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล บอกว่า วันนี้นายกฯ มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการหายไปของหน้ากากอนามัย และบุคคลที่เกี่ยวข้องเกือบทุกฝ่าย เนื่องจากนายกฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเพราะในยามที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตอยู่บนความเป็นความตายของประชาชนกลับมีกลุ่มคนฉวยโอกาสแสวงหาประโยชน์ได้อย่างไร จึงเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสั่งการโดยตรง มีทั้งหน่วยข่าวกรองของทหาร, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) เข้าไปตรวจสอบ

“ทุกหน่วยงานไปตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ โดยเฉพาะ ปปง.ต้องไปดูเส้นทางการเงินย้อนหลังดูกันว่าไปอยู่ที่ใครบ้าง เพราะเรื่องการไหลของเงินไปเข้ากระเป๋าใคร ก็จะทำให้เราตามหาหลักฐานได้ง่าย ใครจะกล้าใช้บัญชีคนอื่นทำแทนก็ต้องไปควานหาตัวจริงกันให้ได้”

เมื่อทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับคำสั่งดังกล่าวแล้ว ก็จะต้องมีการเข้าไปรายงานซึ่งนายกฯ ให้เวลาหน่วยงานละ 15-20 นาที และข้อมูลทุกหน่วยงานจะมีการเชื่อมโยงหากันทั้งหมด เช่นเมื่อประมาณ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ได้เข้าไปรายงานความคืบหน้าเรื่องหน้ากากอนามัยให้นายกฯ ได้รับทราบข้อมูล

“ตอนนี้ข้อมูลที่มีอยู่ที่เป็นเอกสารตั้งแต่ คณะกรรมการ กกร. กรมการค้าภายใน กรมศุลกากร กระทรวงสาธารณสุข บริษัทเอกชน รวมทั้งคนที่เกี่ยวข้องทั้งที่เป็นนักการเมือง ข้าราชการ อยู่ในมือนายกฯ มีการทำเป็นแผนผัง หรือกราฟิก ดูเข้าใจง่าย ที่ชัดๆ มีการตรวจพบสต๊อกลมของหน้ากาก และยังมีการใช้เอกสารปลอมหรือการสำแดงเท็จ รวมทั้งโรงงานผลิตจริงกับการส่งให้หน่วยงานรัฐไม่ตรงกัน มีการนำออกไปขายในตลาดออนไลน์จำนวนมาก”

รวมทั้งในการหาข้อมูลเรื่องของหน้ากากอนามัยนั้น นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ถือเป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยสืบหาข้อมูลในทางลับและเปิดเผย รวมทั้งยังเป็นผู้ทำหน้าที่ล่อซื้อหน้ากาก ซึ่งข้อมูลที่ได้มานั้นถูกส่งมอบให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยตรง

อีกทั้งในการไปตรวจสอบข้อมูลต่างๆ นั้นนายอัจฉริยะ ยังได้ทีมตำรวจในทุกกองบัญชาการคอยให้การช่วยเหลือในการเข้าตรวจค้น ซึ่งเรื่องนี้นายกฯ รับรู้ทั้งหมด

แหล่งข่าวบอกอีกว่า สังคมอาจจะมองว่านายกฯ นิ่งเฉยไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อในเรื่องของหน้ากากอนามัยหลังจากที่มีคำสั่งย้ายอธิบดีกรมการค้าภายในไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงนายกฯเร่งรัดมาก และเมื่อมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกมาแล้ว จะพบว่าเส้นทางในการค้าหน้ากากอนามัยจะเปลี่ยนรูปแบบไปทันที เพราะคนเหล่านี้ไม่สามารถจะขนหน้ากากอนามัยออกมาเพื่อส่งออกไปต่างประเทศหรือขายออนไลน์ได้เป็นคันๆ รถ เพราะมีการตั้งด่านตรวจทั่วประเทศ เพราะหากตรวจเจอทั้งถูกจับและส่งดำเนินคดีทันที

สำหรับการเปิดขายออนไลน์ ก็ไม่สามารถทำได้ง่ายอีกต่อไปแล้วเพราะหน่วยงาน ปอท.จะเฝ้าตรวจสอบเข้มงวดขึ้น ซึ่งหากถูกจับได้บทลงโทษในช่วงมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะรุนแรงขึ้นเป็น 2 เท่า

“ตอนนี้นายกฯ คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ใครที่เคยได้ประโยชน์ก็คงต้องดิ้นสุดฤทธิ์ 200 ล้านชิ้น ถ้าได้ชิ้นละ 10 บาท จะเป็นเงินเท่าไหร่ 2 พันล้านหรือไม่? แต่จริงๆ ได้มากกว่านั้นหรือไม่?”

ปัจจุบันข้อมูลต่างๆ ถูกส่งตรงไปให้นายกฯ บิ๊กตู่ทั้งหมด! ซึ่งก็แปลว่านายกฯ รู้อยู่ว่านักการเมือง ข้าราชการคนไหนได้ประโยชน์บ้าง แต่ที่ยังไม่ดำเนินการใดๆ ในเวลานี้ก็เพราะยังมีเรื่องวิกฤต COVID-19 ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องรีบจัดการก่อน

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล บอกอีกว่า ในส่วนของรัฐมนตรี และ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้มีการพูดคุยกันเกี่ยวกับปัญหาหน้ากากอนามัยและใครคือผู้ต้องสงสัยบ้าง ซึ่งสมาชิกพรรค ปชป. เชื่อว่านายกฯ ไม่ให้ความไว้วางใจกระทรวงพาณิชย์แล้ว เพียงแต่ยังไม่พูดและไม่ตำหนิรัฐมนตรีของพรรคโดยตรง แต่การที่นายกฯ เฉย ไม่พูดอะไรกับรัฐมนตรีของพรรคทั้งที่มีการส่งข้อมูลจากทีมงานที่นายกฯ ใช้หาข้อมูลโดยตรง จึงเป็นเรื่องที่สมาชิกทุกคนมีความกังวลอยู่บ้าง

“ที่เห็นเคลื่อนไหวในพรรค ปชป.ก็มี เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ยื่นหนังสือถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ปชป.และกรรมการบริหารพรรค ปชป. เรียกร้องให้ใช้มาตรฐานพรรคพร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณีนางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลาออกจากตำแหน่งโดยไม่ต้องรอผลสอบจากปมปัญหาการกักตุนหน้ากากอนามัย จนเป็นวิวาทะกันในพรรคเกิดขึ้น”

แต่ก็ยังมีสมาชิกพรรคหลายคนยังไม่ละความพยายามที่จะหาคำตอบว่าหัวหน้าพรรค ปชป.จะจัดการปัญหานี้อย่างไร จึงได้เข้าไปพูดคุย เข้าไปสอบถามนายจุรินทร์ ในเรื่องของหน้ากากอนามัยโดยให้ความเห็นว่านายกฯ บิ๊กตู่ แสดงออกในลักษณะไม่ให้ความไว้วางใจกระทรวงพาณิชย์ แต่สิ่งที่สมาชิกได้คำตอบกลับมาจากนายจุรินทร์ คือความนิ่งเฉย เงียบ ไม่พูดไม่ตอบอะไร ซึ่งส่วนตัวนายจุรินทร์ ก็เป็นคนเงียบๆ อยู่แล้ว

“สมาชิกก็ถามคุณจุรินทร์ จะไม่พูดอะไรให้สมาชิกพรรค หรือแถลงข่าวให้สังคมรู้เข้าใจบ้างเลยหรือ แต่หัวหน้าพรรคก็ได้แต่เฉยๆ แสดงออกเหมือนกับว่าช่วงนี้ก็พยายามทำให้หน้ากากมีใช้เพียงพอ ก็น่าจะยุติปัญหาที่เกิดขึ้นไปได้”

ส่วนจะให้หัวหน้าพรรค ปชป.เรียกประชุมพรรค เพื่อชี้แจงเรื่องหน้ากากอนามัยก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ยิ่งช่วงปิดประชุมสภาฯ พรรค ปชป.ก็ไม่มีการเรียกประชุมใดๆ ทิ้งสิ้น เวลานี้ก็ใช้ไลน์กลุ่มของพรรคเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น

จากนี้ไปก็ต้องเฝ้ารอว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะจัดการเรื่องหน้ากากอนามัยอย่างไร และจะสามารถเช็กบิลนักการเมืองที่ได้ประโยชน์จริงหรือไม่? ตามที่ได้ลั่นวาจาไว้

“ผมจะทำทุกอย่างที่จะใช้กฎหมายจัดการกับคนเหล่านี้อย่างรวดเร็ว เด็ดขาด และไม่ปรานี”!!

27 มี.ค. 2563 10:47   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
“อัจฉริยะ” แฉ 4 กลุ่ม เอี่ยวกักตุน ฟันกำไรอุปกรณ์ป้องกันโควิด พบทหารสั่ง รง.หยุดผลิตแอลกอฮอล์ หวังปั่นราคา ชี้ พิรุธ ก.พาณิชย์ปกปิดข้อมูลการส่งออกของ 242 บริษัท ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ประกาศใช้เวลา 15 วัน ตาม “หน้ากากอนามัย” คืนสู่ระบบ จับมือกับ สตช.-กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กวาดล้างจับกุมขบวนการกักตุน พร้อมตั้งรางวัลนำจับ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ณ วันนี้ มาถึงจุดที่ต้องใช้ “พระราชกำหนดฉุกเฉิน” เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ตัวเลขผู้ป่วยในไทยเพิ่มขึ้นถึงวันละกว่า 100 คน มีผู้ป่วยสะสมรวม 827 ราย ที่น่าตกใจคือ ในจำนวนนี้เป็นบุคลากรทางการแพทย์ถึง 4 ราย ที่สำคัญมีคนตายเพิ่มขึ้นเป็น 4 คนแล้ว แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับมีผู้ฉวยโอกาสกักตุนอุปกรณ์จำเป็นในการป้องกันผู้คนจากไวรัสร้าย อย่างหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นการปั่นราคา ฟันกำไร หากินบนความเป็นความตายของประชาชน

ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นับเป็นหนึ่งในองค์กรที่ติดตามตรวจสอบและขุดคุ้ยเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องชนิดกัดไม่ปล่อย ขณะที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบในการควบคุมและกระจายหน้ากากอนามัยอย่างกระทรวงพาณิชย์กลับดูเพิกเฉยต่อการติดตามสินค้าที่หายไปให้กลับเข้าสู่ตลาด

นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยว่า จากการทำงานเชิงรุกร่วมกันของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซี่งมี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เป็นหัวหน้าทีม พร้อมด้วยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นำโดย พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอาหารและยา (อย.) และชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ทำให้การติดตามตรวจสอบกรณีการกักตุนหน้ากากอนามัยคืบหน้าไปมาก โดยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เราได้ข้อมูลของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าหน้ากากและเครื่องมือแพทย์ รวมถึงที่อยู่ของโรงงานผู้ผลิตต่างๆ และได้มีการวางแผนยุทธการปราบปรามอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ดำเนินการสืบสวนสอบสวนทั้งในทางตรงและทางลับเพื่อติดตามหน้ากากอนามัยที่หายไปจากระบบว่าใครที่ร่วมในการกักตุนบ้าง โดยแต่ละหน่วยงานมีการส่งมอบและแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ กันตลอดเวลา

“จากนี้ข้อหาการขายหน้ากากอนามัยซึ่งเป็นสินค้าควบคุมเกินราคา จะมีการนำ พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ เข้ามาพิจารณาฐานความผิดด้วย โดย อย.จะร่วมปฏิบัติการ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะมีปฏิบัติการทุกรูปแบบเพื่อจัดการกับผู้ที่กักตุนหน้ากาก มีการนัดหมายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการออกหมายค้นต่างๆ โดยในส่วนของทางชมรมฯ ใช้เงินส่วนตัวในการดำเนินการทั้งหมด เราประกาศไว้เลยว่า เราจะใช้เวลา 15 วัน ในการติดตามหน้ากากอนามัยที่หายไปให้กลับเข้ามาอยู่ในตลาดให้ได้” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ระบุ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเข้าจับกุมโรงงาน และสถานที่ที่ใช้ในการกักตุนหน้ากากอนามัย ทั้งที่อยู่ภายในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยชมรมฯ ได้ส่งแผนที่ซึ่งเป็นเป้าหมายในปฏิบัติการให้แก่ตำรวจท้องที่ เพื่อจับกุมดำเนินคดีต่อผู้ที่กักตุน จากนั้นในวันที่ 24 มี.ค. ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมได้นำบัญชีรายชื่อโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยและบริษัทที่นำเข้าหน้ากากอนามัยและวัตถุดิบทั่วประเทศ กว่า 1,000 บริษัท ไปมอบให้แก่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. เพื่อสืบสวนติดตามจับกุมบริษัทที่ฝ่าฝืนกฎหมายลักลอบส่งออกหน้ากากอนามัยต่อไป

ขณะเดียวกัน ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 5 ก็ได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นโรงงานแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งโรงงานดังกล่าวไม่ได้อยู่ในรายชื่อ 11 บริษัทที่กรมการค้าภายในควบคุม โดยการตรวจค้นครั้งนี้สามารถตรวจยึดหน้ากากอนามัยได้ถึง 45,000 ชิ้น

“ที่มาของข้อมูลที่นำไปสู่การตรวจค้นโรงงานที่ จ.เชียงใหม่นั้น มาจากการจับผู้ค้าในตลาดมืดซึ่งได้ให้การซัดทอดว่าโรงงานดังกล่าวเป็นผู้ผลิตให้ เดิมโรงงานแห่งนี้ผลิตหน้ากากขายให้แก่โครงการธงฟ้าในภาคเหนือ แต่กลับนำหน้ากากมาขายในตลาดมืด ซึ่งพ่อค้าที่รับมาขายทางออนไลน์ในราคาสูงถึงกล่องละ 800 บาท” นายอัจฉริยะ กล่าว

ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ล่าสุด ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมได้พบข้อมูลหลักฐานที่บ่งชี้ถึงผู้เกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้าอนามัยและเวชภัณฑ์ที่ใช้ป้องกันโควิด-19 ถึง 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ กลุ่มข้าราชการในกรมการค้าภายใน กลุ่มนักการเมืองในกระกรวงพาณิชย์ พ่อค้าแม่ค้าคนกลาง รวมถึงมีทหารที่เข้ามาทำมาหากินกับวิกฤตโรคร้ายในครั้งนี้ด้วย

นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า อีกปฏิบัติการที่มีความคืบหน้าอย่างมากคือ การตรวจสอบ 11 บริษทที่กรมการค้าภายในกำกับดูแลอยู่ ซึ่งพบว่ามี 1 บริษัทที่ลักลอบจำหน่ายหน้ากากอนามัยให้แก่ตลาดออนไลน์เป็นจำนวนมาก และแจ้งยอดการผลิตไม่ตรงกับความจริง เช่น แจ้งยอดให้แก่กรมการค้าภายใน ว่าผลิตได้ 200,000 ชิ้นต่อวัน แต่ความจริงคือผลิตได้ 500,000 ชิ้นต่อวัน โดยส่วนต่าง 300,000 ชิ้นนั้นได้ลักลอบนำไปจำหน่ายให้แก่แก๊งนายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือเสี่ยบอย รวมทั้งกลุ่มข้าราชการจากกรมการค้าภายใน 3-4 ราย รวมถึงกลุ่มการเมืองด้วย นอกจากการตรวจสอบ 11 บริษัทดังกล่าวแล้ว ยังมีข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจคือ เราพบว่ามีทหารเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำมาหากินกับวิกฤตโควิด-19 เช่น ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี ได้รับรายงานว่ามีทหารเข้าไปสั่งโรงงานไม่ให้ผลิตแอลกอฮอล์เพื่อให้ขาดตลาด ซึ่งคาดว่าอาจจะทำเพื่อปั่นราคา

“สำหรับกลุ่มนักการเมืองที่เกี่ยวข้องก็เป็นกลุ่มที่เคยพูดมาก่อน อยู่ในกระทรวงพาณิชย์ หลักฐานเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ โรงงานที่จับได้ก็เป็นหนึ่งใน 11 บริษัทที่กรมการค้าภายในเข้าไปควบคุม พบว่า มีการเอาหน้ากากอนามัยออกมาขายจำนวนมาก โดยเฉพาะวันที่ 29 มกราคม เอามาขายให้แก่นายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ จำนวนถึง 1 ล้านชิ้น โดยนายพันธ์ยศ ได้ส่วนแบ่งไป 4 แสนบาท ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ก็ยังมีการขายอีกหลายล้านชิ้น”

นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นทางชมรมฯ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังได้ขอข้อมูลเกี่ยวกับ 242 บริษัทที่ยื่นเรื่องขอส่งออกหน้ากากอนามัยจากกรมการค้าภายใน แต่เรากลับไม่ได้รับความร่วมมือจากกรมการค้าภายในแต่อย่างใด ซึ่งในการขออนุญาตส่งออกจะต้องมีใบอนุญาต รง.4 ซึ่งระบุสถานที่ผลิต ถ้าได้ข้อมูลตรงนี้มาจะทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่าโรงงานแต่ละแห่งตั้งอยู่ทึ่ไหน มีกำลังการผลิตเท่าไหร่ และอาจนำไปสู่ข้อมูลว่าหน้ากากหายไปไหน ไปอยู่ในมือใครบ้าง

“ไม่ว่าเป็น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือทางผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทำหนังสือขอไป กรมการค้าภายในก็ไม่ให้ ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับ 242 บริษัทจะเป็นหลักฐานสำคัญในการตรวจสอบที่มาของหน้ากากที่เราตรวจจับได้ อย่างไรก็ดี ตอนนี้เราได้ข้อมูลของ 242 บริษัทดังกล่าวแล้ว โดยข้าราชการที่รักชาติรักแผ่นดินแอบส่งข้อมูลให้เรา ต้องบอกว่าไม่มีทางรอดหรอก” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ระบุ

ประเด็นหนึ่งที่สังคมเคลือบแคลงใจอย่างยิ่งต่อกรณีการกักตุนหน้ากากอนามัยซึ่งนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนก็คือบทบาทของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ดูเหมือนจะลอยตัวอยู่เหนือปัญหา และไม่มีทีท่าว่าจะสนใจตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการหายไปของหน้ากากอนามัยดังกล่าวใช่หรือไม่?

นายอัจฉริยะ ตั้งข้อสังเกตว่า เดิม 11 โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยที่กรมการค้าภายในเข้าไปควบคุมนั้นอยู่ในความดูแลขององค์การเภสัชกรรม แต่หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ดึงมาอยู่ในความดูแลของกรมการค้าภายในก็เกิดปัญหาหน้ากากอนามัยหายไปจากระบบ แต่ รมว.พาณิชย์ กลับไม่แก้ปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังตอบไม่ได้ว่าหน้ากากหายไปไหน และล่าสุด ออกมายอมรับว่าหายไปในขั้นตอนของการขนส่ง แต่ก็ไม่มีการเอาผิดใคร นอกจากนั้น ในการประชุมเกี่ยวกับการแกปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ไม่เคยเรียก รมว.พาณิชย์ เข้าร่วมประชุมเลย มีแต่เรียก รมว.สาธารณสุข กับ รมว.มหาดไทยเข้าร่วมประชุม ทั้งๆ ที่มีปัญหาหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ และเจลล้างมือขาดตลาด ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก

ทั้งนี้ แม้ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมจะไม่ได้มีหน้าที่ในการตรวจสอบปัญหาการกักตุนหน้ากากอนามัย อีกทั้งกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องของอาชญากรรมซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ทางชมรมติดตามและให้ความช่วยเหลือ แต่นายอัจฉริยะ ระบุว่า แม้การกักตุนหน้ากากจะไม่ใช่เรื่องของอาชญากรรม แต่ก็ถือเป็นการ “ฆาตกรรม” คนไทยในทางอ้อม เนื่องจากขณะนี้จำนวนผู้ป่วยจากโควิด-19 เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากปัญหาไม่มีหน้ากากอนามัยที่จะใช้ป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย โดยหากใช้หน้ากากอนามัยจะสามารถป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้ถึง 70% ดังนั้น หากไม่สามารถปราบปรามขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัยได้ก็เชื่อว่าจะมีประชาชนที่ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ราย

ประชาชนไม่สามารถหาซื้อหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือในท้องตลาดได้ แต่กลับมาขายในตลาดออนไลน์ในราคาที่แพงขึ้นเป็น 10 เท่า เช่น แอลกอฮอล์ที่เดิมขายแค่ 20 บาท แต่ปัจจุบันขายในตลาดออนไลน์ถึง 350 บาท หน้ากากอนามัยเดิมขายแผ่นละ 50 สตางค์ แต่มาขายออนไลน์ในราคาแผ่นละ 25 บาท ซึ่งเป็นการซ้ำเติมประชาชนทั้งประเทศ เมื่อประชาชนไม่สามารถเข้าถึงหน้ากากอนามัยก็ทำให้เชื้อแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยล่าสุดจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่า 800 รายแล้ว

“ทางชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมจะมีรางวัลนำจับให้แก่พลเมืองดีที่ชี้เบาะแสจนสามารถนำไปสู่การจับกุมผู้ผลิตหรือผู้ค้ารายใหญ่ได้ รายละ 10,000 บาท นอกจากนั้น สำหรับผู้ประกอบการแกร็บ หรือแท็กซี่ที่ได้รับว่าจ้างจากพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ให้ไปส่งหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ เจลล้างมือ หากแจ้งข้อมูลมายังชมรมฯ จะได้รับเงินรางวัล 1,000 บาท เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ระบุ

25 มี.ค. 2563 10:17   โดย: ผู้จัดการออนไลน์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 มีนาคม 2020, 01:38:26 โดย story »

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
โรงพยาบาลจุฬาฯ ออกประกาศหน้ากาก N95 ในคลัง เหลือใช้อีกแค่ 2 สัปดาห์ ขอความร่วมมือบุคลากรใช้อย่างประหยัด พร้อมทั้งควบคุมการเบิกใช้ PPE

วันนี้ (27 มี.ค. 63) ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ออกประกาศ เรียนถึง ประชาคมโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ถึงกรณีหน้ากาก N95 มีจำนวนไม่เพียงพอ

มีรายละเอียดว่า ...

เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทําให้มีการขาดแคลนหน้ากาก N95 ทั่วประเทศ และทั่วโลก ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้พยายามจัดหาหน้ากาก N95 จากทุกช่องทางที่เป็นไปได้ แต่ยังคงไม่เพียงพอ ขณะนี้จากการประเมินพบว่าคงเหลือหน้ากาก N95 ในคลังเวชภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้อีกประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น

ดังนั้น จึงขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงานในการใช้หน้ากาก N95 ตามข้อบ่งชี้อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ โรงพยาบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาการเบิก PPE ของทุกหน่วยงานให้เป็นไปตามเกณฑ์ โดยคํานึงถึงความปลอดภัยของบุคลากรเป็นสําคัญ ทั้งนี้ อาจจะมีความไม่สะดวกบ้าง จึงขอความร่วมมือร่วมใจของชาวโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้ร่วมกันฝ่าฟันวิกฤตในครั้งนี้

27 มี.ค. 2563 22:42   โดย: ผู้จัดการออนไลน์