ผู้เขียน หัวข้อ: มหาวิบัติประเทศไทย จากคำทำนาย “เด็กชายปลาบู่”  (อ่าน 2176 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
ชั่วโมงนี้ คงไม่มีคำทำนายหรือหมอดูรายใดที่ฮอต มาแรงและเป็นที่กล่าวขานในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกไซเบอร์มากที่สุดเท่ากับ “คำนายของเด็กชายปลาบู่” หรือ “เด็กชายสุทัศน์ คำสี” อีกแล้ว
       
       ทั้งนี้ หลังจากมีผู้ที่ใช้ชื่อว่า MahasuraSinghanat นำไปโพสไว้ในเว็บไซต์ยูทูบเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ที่พยากรณ์ถึงภัยพิบัติใหญ่ที่จะบังเกิดขึ้นในประเทศไทยก็พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจของคนไทยในทันที
       
       และหนึ่งในคำทำนายที่สร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนจำนวนมากในขณะนี้ก็คือ คำทำนายที่ว่า ในช่วงเวลายามสองของคืนปีใหม่ พ.ศ.2555 นี้ จะเกิดเหตุการณ์เขื่อนที่จังหวัดตากพัง รวมทั้งการเกิดแผ่นดินไหวจนผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
       
       ยิ่งหลังจากที่คนไทยครึ่งค่อนประเทศต้องเผชิญกับเหตุการณ์มหาอุทกภัยเพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้คำทำนายของเด็กชายปลาบู่แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง พร้อมส่งผลให้ประชาชนที่อยู่ใต้เขื่อนภูมิพล จังหวัดตากและจังหวัดใกล้เคียงซึ่งเป็นแหล่งรองรับน้ำตื่นตกใจกลัว โดยโทรศัพท์สอบถามเข้ามาที่ศาลากลางจังหวัดตากและเขื่อนภูมิพลเป็นจำนวนมาก
       
       บางคนถึงกับจะขายที่ ขายบ้านเพื่อไปหาแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่กันเลยทีเดียว
       
       กระทั่ง “นายสามารถ ลอยฟ้า” ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก และ “นายณรงค์ ไทยประยูร” ผู้อำนวยการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เขื่อนภูมิพล อ.สามเงา จ.ตาก ต้องออกมายืนยันถึงความแข็งแรงของเขื่อนภูมิพลว่ามีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์
       
       นี่คือปรากฏการณ์คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ที่ทำนายเอาไว้ก่อนเสียชีวิตเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2517 หรือเมื่อราว 37 ปีที่ผ่านมา ซึ่งกำลังอาละวาดและรบกวนจิตใจคนไทยอยู่ในขณะนี้
       
       แน่นอน หลายคนฟันธงไปในทันทีว่า นี่เป็นเรื่องลวงโลก ขณะที่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่คล้อยตาม
       
       แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่จะพิสูจน์คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ได้ดีที่สุดก็คือ ยามสองของคืนปีใหม่(ยามสองคือเวลาประมาณ 22.00-24.00 น.) ที่กำลังจะมาถึงในปี พ.ศ.2555 นี้จะเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในผืนแผ่นดินไทยหรือไม่
       
       **รู้จักเด็กชายปลาบู่ แห่งสวนศรีมหาโพธิ์ จ.ตราด
       
       จากปรากฏการณ์คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ ทำให้ต้องย้อนกลับไปค้นหาที่มา ความเชื่อและการดำรงอยู่ของคำทำนายที่เกิดขึ้นเมื่อราว 37 ปีที่ผ่านมาว่า มีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไร ทำไมวันดีคืนดีถึงได้โด่งดังเป็นพลุแตกเช่นนี้ …..
       
       ปลาบู่เป็นชื่อเล่นของ “เด็กชายสุทัศน์ คำสี” เป็นลูกชายคนเดียวของ “นายทองใบ คำสี” กับ “นางสุนทรา คำสี” มีพี่สาว 2 คนและน้องสาว 2 คน ปลาบู่เกิดวันที่ 23 ตุลาคม 2511 ที่อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2517 ที่ ร.พ.พระปกเกล้า จันทบุรี หรือเสียชีวิตมาแล้ว 37 ปี ในขณะที่ เขามีอายุได้ 5 ปี 8 เดือน กับอีก 15 วัน
       
       เด็กชายปลาบู่เป็นคนเมืองจันทน์ อยู่ที่บ้านเลขที่ 234/2 หมู่ 1 บ้านตามูล ตำบลทรายขาว อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งปัจจุบันบ้านดังกล่าว นายทองใบผู้เป็นพ่อได้เตรียมพื้นที่เอาไว้สำหรับรองรับลูกชายที่จะกลับมาเกิดใหม่ พร้อมตั้งชื่อว่า “สวนศรีมหาโพธิ์”
       
       จากคำบอกเล่าของนายทองใบ... เด็กชายปลาบู่ เกิดมาก็เหมือนเด็กปกติทั่วไป รูปร่างหน้าตาน่ารัก แต่เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด ตอนอายุประมาณ 3-4 ขวบ มีชาวต่างชาติมาขอเช่าบ้านพักอาศัยอยู่ด้วย พอปลาบู่ไปคลุกคลีไม่นาน ก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้
       
       อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่สุดแสนพิศวงของเด็กชายปลาบู่เกิดขึ้นในราวเดือนมิถุนายน 2517 เมื่อเด็กชายปลาบู่ได้บอกกับผู้เป็นพ่อว่า จะตายภายใน 15 วัน ให้ไปซื้อเทปคาสเซ็ทมาอัดเสียงไว้ แต่นายทองใบก็ไม่ได้ทำตามเนื่องเพราะไม่คิดว่าลูกชายจะเสียชีวิตไปจริงๆ
       
       ทั้งนี้ ในห้วงเวลาที่เหลืออยู่ ระหว่างนั้น เด็กชายปลาบู่ได้เล่าเรื่องหลายต่อหลายเรื่องให้พ่อฟัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ผู้เป็นพ่อเป็นสื่อเพื่อบอกเล่าภัยพิบัติที่เขาได้เห็น ได้รู้ให้คนไทยได้ระมัดระวัง(อ่านรายละเอียดในบทสัมภาษณ์พ่อเด็กชายปลาบู่เพิ่มเติม)
       
       แน่นอน ในขณะนั้นนายทองใบไม่เชื่อและคิดว่าลูกพูดจาเพ้อเจ้อ
       
       จากนั้น เด็กชายปลาบู่ก็เริ่มป่วย และเสียชีวิตในวันที่ 10 กรกฎาคม 2517 ตรงตามที่บอกพ่อไว้ว่าจะเสียชีวิตลงใน 15 วัน โดยแพทย์ระบุภายหลังว่าเป็นเนื้องอกในสมอง
       
       เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปตามที่ลูกชายสั่งเสียเอาไว้ นายทองใบจึงเริ่มเชื่อ และทำทุกอย่างตามที่เด็กชายปลาบู่ สั่งไว้ก่อนตาย โดยเขียนคำทำนายเรื่องภัยพิบัติ แนวทางป้องกันด้วยลายมือของตัวเองเมื่อวันที่ 5 พ.ย.1992 หรือ 19 ปีมาแล้ว
       
       นอกจากนี้ เด็กชายปลาบู่ยังได้สั่งเสียก่อนตาย ว่าเขาจะกลับมาเกิดอีกครั้ง เป็นเณรและออกมาธุดงค์ช่วยพ่อสร้างวัด"สุทัศน์เทพไพฑูรย์" โดยให้พ่อปลูกต้นโพธิ์ล้อมที่ดินแปลงหนึ่งไว้ ซึ่งทุกวันนี้ นายทองใบได้ทำทุกอย่างตามที่ลูกบอก และรอคอยการกลับมาเกิดใหม่ของเด็กชายปลาบู่ผู้เป็นลูกชาย ซึ่งสวนศรีมหาโพธิ์แห่งนี้ นายทองใบผู้เป็นพ่อได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจโดยเก็บออมจากน้ำพักน้ำแรงที่ไปรับจ้างทำงานเกรดที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย จากนั้นก็นำมาซื้อที่ดินเพิ่มไว้กว่า 40 ไร่ โดยแบ่งเนื้อที่กว่า 20 ไร่ สร้างศาลาและปลูกต้นโพธิ์ไว้โดยรอบ
       
       สำหรับชาวบ้านในตำบลทรายขาวที่อยู่ในละแวกเดียวกับบ้านของนายทองใบ นั้น คงต้องบอกว่าต่างรู้เรื่องราวเกี่ยวกับภัยพิบัติจากคำบอกเล่าของเด็กชายปลาบู่มานานกว่า 30 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ยอมรับว่าไม่มีใครเชื่อ เพราะคิดว่านายทองใบเสียสติ เพราะเสียใจที่ลูกชายมาด่วนเสียชีวิต จนพากันเรียกว่า “ตาใบบ้า” แต่เมื่อมีหลายเหตุการณ์ในอนาคตตรงกับคำทำนาย หลายคนจึงเริ่มปักใจเชื่อ
       
       นางสาวสุดา ยิ้มเจริญ ชาวบ้านซับประเมิน อ.เขาสอยดาว จ.จันทบุรี หนึ่งในอีกหลายๆ คน ที่ได้เดินทางมาหานายทองใบ เปิดเผยว่า สาเหตุที่เดินทางมาคืออยากมาพูดคุย อยากมารับฟังเรื่องราวของเด็กชายปลาบู่ หลังจากที่ได้รับทราบเรื่องราวแล้วจากทางโทรทัศน์แล้ว จึงอยากมาฟังด้วยตัวเอง ซึ่งก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เชื่อทั้งหมด แต่รู้ไว้บ้างก็ดีเพื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ หรือหาทางป้องกันไว้บ้าง
       
       นอกจากนั้น ข้อมูลที่ทีมข่าวเจาะประเด็นซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ได้ลงพื้นที่ตำบลทรายขาวและได้ไปสัมภาษณ์พูดคุยกับ “กาญจนา นาคนันทน์” หนึ่งในคนทรายขาว ที่นักอ่านรู้จักกันดีจากผลงานนวนิยายอันโด่งดังซึ่งถูกนำมาทำเป็นละครโทรทัศน์อย่างผู้กองยอดรัก ผู้ใหญ่ลีกับนางมา ฯลฯ ทำให้พบเงื่อนปมที่น่าสนใจของเด็กชายปลาบู่ในหลายเรื่องทีเดียว
       
       กาญจนาเล่าให้ทางรายการฟังว่า คำทำนายของเด็กชายปลาบู่เป็นที่ร่ำลือของชาวบ้านที่นี่มากว่า 30 ปีแล้วและตนเองเคยรับรู้เรื่องนี้มานานแล้วเช่นกัน กระทั่งมารู้จักกับนายทองใบ คำสี ผู้เป็นพ่อของปลาบู่หลังจากที่เด็กชายปลาบู่เสียชีวิตได้ 1 ปี ในการประชุมกลุ่มเกษตรกรที่อำเภอโป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี
       
       ทั้งนี้ นักเขียนนามอุโฆษยอมรับว่า น่าทึ่งระคนแปลกใจ เพราะหลายเรื่องเป็นความรู้ด้านประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง กรุงศรีอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพที่ปลาบู่ เด็กชายวัย 6 ขวบ บอกไว้เมื่อ 37 ปีที่แล้วว่า"เจ้าพระยาตอนหนึ่งจะโค้งเหมือนกระเพาะหมู หรือคนสมัยโบราณเรียกว่า คอคอดลูกน้ำเต้า หรือเกือกม้า ตรงนี้ให้ทำเขื่อน เปิด-ปิด เวลาน้ำขึ้น-น้ำลง ซึ่งภายหลังก็เกิดขึ้นแล้ว คือคลองลัดโพธิ์ โครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 นั่นเอง"
       
       สำหรับตัวกาญจนาที่ปัจจุบันอายุอานามร่วม 91 ปีนั้น ยอมรับว่า เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด และเชื่อว่าเด็กชาย"ปลาบู่" ระลึกชาติได้จริง เพราะบริเวณนี้ สมัยก่อนเป็นป่า ไม่มีเทคโนโลยี บ้านเรือนก็ปลูกห่างกัน ไม่มีโอกาสที่นายทองใบ ซึ่งจบประถมสี่ จะรู้ข้อมูลมากมายก่อนมาเล่า แต่ก็อยากให้ทุกคนเลือกเชื่อเฉพาะที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะคำทำนายเรื่องภัยพิบัติน้ำท่วม แนวทางป้องกัน รวมถึงแผ่นดินไหว เพื่อจะได้หาทางรับมือ พร้อมยืนยันว่า นายทองใบ ไม่ได้บ้า
       
       **หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คำทำนาย
       
       อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญยิ่งที่จะแสวงหาคำตอบและตระหนักให้มากก่อนที่จะตื่นตระหนกก็คือ โอกาสที่คำทำนายของเด็กชายปลาบู่จะกลายเป็นความจริงมีมากน้อยขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางวิทยาศาสตร์ เพราะดูเหมือนว่า คำทำนายของเด็กชายปลาบู่จะเป็นเพียงคำทำนายและความเชื่อในทำนองนิยายประโลมโลกเสียมากกว่า
       
       แต่กระนั้นก็ดี ก็ใช่ว่าโอกาสที่คำทำนายจะกลายเป็นความจริงจะไม่มีเอาเสียเลย โดยเฉพาะคำทำนายเรื่องเขื่อนแตกในยาม 2 ของคืนปีใหม่ 2555 นี้
       
       แน่นอน ความจริงประการหนึ่งอันเป็นผลพวงจากปรากฏการณ์คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ก็คือ ความจริงจากนายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตากที่ระบุว่า เคยเกิดแผ่นดินไหวระดับความรุนแรงขนาด 3 ริกเตอร์ขึ้นที่เขื่อนภูมิพลมาแล้ว
       
       แปลไทยเป็นไทยก็คือ เคยเกิดแผ่นดินไหวที่เขื่อนภูมิพลมาแล้ว
       
       ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดซ้ำอีกก็มีได้เช่นกันแม้จะมีน้อยมากก็ตาม
       
       แน่นอน แม้เขื่อนภูมิพลจะถูกออกแบบมาให้รับแผ่นดินไหวได้สูงถึง 7 ริกเตอร์ และตัวเขื่อนไม่ได้อยู่ในแนวเปลือกโลก ซึ่งนั่นเป็นหลักรับประกันถึงความแข็งแกร่งของเขื่อนได้เป็นอย่างดี แต่สุดท้ายแล้ว ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เนื่องเพราะผู้ที่จะให้คำตอบของทุกสิ่งในโลกนี้มีเพียงธรรมชาติเท่านั้นที่จะเป็นตัวตัดสิน
       
       ไม่มีใครรู้หรือพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำดอกว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้างบนโลกใบนี้ ยิ่งในยามที่เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดบนโลกในยุคนี้ พ.ศ.นี้ถี่ยิบมากทุกทีด้วยแล้ว ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนหนักขึ้นไปอีก
       
       เฉกเช่นเดียวคำให้สัมภาษณ์ของนายณรงค์ ไทยประยูร ผู้อำนวยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เขื่อนภูมิพล จ.ตาก ที่ให้คำยืนยันชัดเจนว่า เขื่อนภูมิพลมีความแข็งแรงและปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในบางช่วงบางตอนของคำให้สัมภาษณ์ก็มีร่องรอยของความเป็นไปได้ทั้งในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติเช่นกัน
       
       นายณรงค์บอกว่า เขื่อนภูมิพลออกแบบเป็นเขื่อนคอนกรีตโค้งซึ่งเอาแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมดวางไว้กับภูเขา ดังนั้น เขาทั้งสองด้านจะรับแรงได้ทั้งหมด หากเกิดการสั่นแสดงว่าต้องสั่นสะเทือนทั้งภูเขา เพราะฉะนั้นหากภูเขาไม่พัง เขื่อนก็ไม่พัง
       
       แปลไทยเป็นไทยได้อีกเช่นกันว่า หากภูเขาไม่พัง เขื่อนก็ไม่พัง แต่ถ้าภูเขาพังเขื่อนก็พัง
       
       อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับประเทศไทย ไม่ว่าคำทำนายของเด็กชายปลาบู่จะเป็นจริงหรือไม่ก็คือ ขณะนี้โลกของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผลพวงจากการกระทำของมนุษย์ที่ย่ำยีธรรมชาติอย่างเมามัน ทำให้ธรรมชาติกำลังปรับตัวเองเพื่อรักษาสมดุลให้ดำรงอยู่
       
       ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในช่วง 10 ปีหลังบ่อยครั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สึนามิที่ประเทศไทยหรือญี่ปุ่น เป็นต้น
       
       ทั้งนี้ สำหรับประเทศไทยในปี 2555 ที่กำลังจะมาถึงนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนก็คือ “ปรากฏการณ์ลานินญา” ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตของคนไทยอย่างมากมายมหาศาล
       
       ดังจะเห็นได้จากคำให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน ที่ให้ข้อมูลว่า อิทธิพลของภาวะลานินญาจะทำให้เกิดภาวะมีฝนมาก โดยจะส่งผลไปถึงช่วงต้นปี 2555 ดังนั้น จึงมีโอกาสที่ในปีหน้าประเทศไทยอาจต้องประสบภาวะฝนฤดูร้อนหรือฝนมาเร็วกว่าฤดูกาลเช่นเดียวกับปี 2554
       
       ด้วยเหตุดังกล่าวระบบและรูปแบบการทำเกษตรกรรมของคนไทยจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในปี 2555 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกข้าว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ
       
       “ตามแผนเบื้องต้น ที่นาในพื้นที่ลุ่มต่ำที่เป็นพื้นที่แก้มลิงรับน้ำ เช่น อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เกษตรกรจะต้องเริ่มเพาะปลูกเตรียมแปลงตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2555 เป็นต้นไป เพื่อจะได้เก็บเกี่ยวประมาณเดือนเม.ย.2555 ก่อนฤดูฝนจะมาถึงในเดือน พ.ค.”
       
       “ส่วนพื้นที่ตอนเหนือ จ.นครสวรรค์ขึ้นไป รูปแบบการเพาะปลูกในปีหน้าจะต้องปลูกข้าวนาปรัง ส่วนทุ่งเจ้าพระยาใหญ่ ตั้งแต่ท้ายเชื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาทลงมา รวมพื้นที่ประมาณ 9,000,000 ไร่ กรมชลฯ จะสามารถจัดสรรน้ำให้ชาวนาปลูกข้าวได้เต็มพื้นที่ โดยกำหนดให้เริ่มปลูกข้าวนาปี 2555-2556 ตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย.55-ต้นเดือน ก.ค.55 เพราะจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ภายในไม่เกินวันที่ 30 ส.ค.2555 ซึ่งเป็นช่วงก่อนน้ำเหนือไหลหลากมาถึง จะได้ไม่ซ้ำรอยเหมือนปีนี้”
       
       คำแจกแจงของรองอธิบดีกรมชลประทานแสดงให้เห็นว่า ปฏิทินการเกษตรของประเทศไทย โดยเฉพาะการปลูกข้าวจะต้องเปลี่ยนแปลงในฉับพลันทันที
       
       .....แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่จะพิสูจน์คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ได้ดีที่สุดก็คือ จะเกิดมหาพิบัติภัยเวลายาม 2 ของคืนวันปีใหม่นี้จริงหรือไม่ ถ้าเกิดจริง ทุกคำทำนายของเด็กชายปลาบู่จะต้องถูกนำมาศึกษาอย่างละเอียดเพื่อหาทางป้องกันและรับมือต่อไป แต่ถ้าไม่เกิดจริง ทุกอย่างก็เอวัง และคำทำนายของเด็กชายปลาบู่ก็เป็นเพียงแค่เรื่องลวงโลกที่หาแก่นสาระอะไรมิได้ และไม่คู่ควรที่คนไทยจะสนใจใยดีอีกต่อไป...

ASTVผู้จัดการรายวัน    24 ธันวาคม 2554

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
Re: มหาวิบัติประเทศไทย จากคำทำนาย “เด็กชายปลาบู่”
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2011, 21:09:35 »
ที่กล่าวขวัญกันมาก กับเรื่องราวของเด็กชายปลาบู่ หรือ สุทัศน์ คำสี เด็กชายวัย 5 ขวบเศษๆ หลังจากที่ลุงทองใบ คำสี อายุ 73 ชาวจังหวัดจันทบุรี ได้เล่าเหตุการณ์ ถึง เด็กชายปลาบู่ ได้บอกเล่าไว้ก่อนเสียชีวิต เมื่อ 37 ปีที่ผ่านมา
       
       “ศูนย์ข่าวศรีราชา” จึงได้เดินทางไปพบกับลุงทองใบถึงบ้านที่ตำบลทรายขาว อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี เพื่อเจาะลึกถึงเรื่องราวแห่งคำทำนายของเด็กชายปลาบู่ในทุกแง่มุม
       
       ลุงทองใบ เล่าให้ฟังว่า….ก่อนที่ปลาบู่จะเสียชีวิต ปลาบู่ได้มาบอกว่า อีก 14 วันหนูจะตายแล้ว หนูอยากคุยกับพ่อ โดยที่ผ่านมาปลาบู่ ก็จะชอบพูดแต่เรื่องอยากตาย และมาขอกับพ่อว่าจะให้ตัวเองตาย ซึ่งในขณะนั้นลุงก็ไม่ได้สนใจอะไร จนอยู่มาวันหนึ่ง ปลาบู่ก็มาขอว่าจะตายอีก ลุงก็เลยพูดแบบไม่ได้คิดว่า เออๆ อยากตายก็ตายไปเลย แล้วหลังจากนั้นปลาบู่ก็ตายไปจริงๆ
       
       ทั้งนี้ ลุงทองใบ ได้รับฟังเรื่องราวจากปลาบู่มากมาย หลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องอดีตชาติ ของปลาบู่ กับพ่อ รวมทั้งเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นบนโลกของเรา ซึ่งในช่วงนั้นก็ฟังไปเพราะไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นจริงตามคำบอกเล่าของปลาบู่ จึงได้ฉุดคิดแล้ว แล้วรู้สึกไม่สบายใจ ว่าทำไมเราไม่บอกเรื่องราวต่างที่จะเกิดขึ้นให้กับผู้ที่มีอำนาจที่จะสามารถป้องกันได้ จึงได้ เล่าเรื่องราวต่างๆให้ทุกคนได้ฟัง
       
       สำหรับเรื่องที่ปลาบู่เล่าให้ลุงทองใบฟังมีหลายเรื่องด้วยกัน เริ่มจากเรื่องอดีตชาติของเขา และบุคคลสำคัญ ๆ เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยและโลกในอนาคต เรื่องราวในอนาคตของประเทศไทย เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 3 เรื่องดวงอาทิตย์ โลก จักรวาล ธาตุ เหล็กไหล มีความเป็นมาอย่างไร เรื่องขุมทรัพย์ในแผ่นดินที่พระแม่ธรณีเก็บเอาไว้หลาย ๆ แห่ง เพื่อต้องการให้พ่อเป็น “สื่อ” บอกให้ทุกคนได้มีการเตรียมการป้องกันเขื่อนที่จะพังจากแรงแผ่นดินไหว การวางท่อใหญ่ ๆ เพื่อระบายน้ำจากตัวเขื่อนลงทะเลเพราะน้ำเมื่ออยู่ในท่อจะสามารถควบคุมได้ และเรื่องการขุดคลองลัดคอคอด ลูกน้ำเต้าเพื่อระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้ ไหลเร็วขึ้น
       
       “ปลาบู่ บอกว่า หนูระลึกชาติได้จริง ๆ เป็นปู่ของปู่ทวด เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีตาทิพย์ หูทิพย์ ร่างกายตัวเป็นไพฑูรณ์ เมื่อชาติก่อนโน้นหนูเคยเกิดเป็นพระชื่อ “อชิตะ” ตอนพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตได้บอกว่าหนูจะได้เป็น “พระศรีอาริยเมตไตรย” ไม่ต้องมีตำรา ไม่ต้องมีคัมภีร์ก็เทศน์ได้ อยากให้พ่อช่วยบอกให้ท่านทราบ จะได้ป้องกันไว้ก่อนที่เขื่อนจะพังเพราะแรงแผ่นดินไหว เขื่อนกักเก็บน้ำที่จังหวัดตากจะพังเสียก่อน แต่สามารถแก้ไขได้ โดยการเอาเหล็กรางรถไฟไปหุ้มให้แข็งแรงเป็นเขื่อนเหล็ก จะได้พังไม่มาก จากหนักจะได้เป็นเบา”
       
       “หนูมองเห็นความเสียหาย มีคนตายมากมาย อำเภอสามเงา ตาก นครสวรรค์ อโยธยา ปทุมธานี นนทบุรี โรงพยาบาลศิริราช ท่าเรือคลองเตย เครื่องบินโดยสารไอพ่นจมน้ำด้วย” เขาถามลุงว่า” รถไฟลอยฟ้ามันเหาะได้มัยพ่อ” ” รถไฟใต้ดินมันมุดน้ำได้มั้ยพ่อ?” ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีรถไฟลอยฟ้าและรถไฟใต้ดิน ใต้กรุงเทพฯ- ธนบุรีไม่มีลูกรัง-หิน มีแต่ทรายทับถมโคลนตมอยู่ลึกๆ “
       
       “แม่น้ำเจ้าพระยาถูกขุดลอกให้ลึก ๆ เป็นอันตรายมาก ๆ เพราะทรายทับถมตมเลนเหลือบางมาก ๆ ทำให้ตมเลนปูดทะลักขึ้นมาในแม่น้ำเจ้าพระยา ตึกรามบ้านช่องสิ่งก่อสร้างที่มีน้ำหนักมาก ๆ จมดินยังไม่พอ เพราะเสาเข็มยังจมยังไม่ถึงดินดาน รถไฟยังวิ่งสะเทือนเขย่าเม็ดทรายที่หุ้มเสาเข็ม ทำให้เสาเข็มทรุดตัว หนูอยากให้รัฐบาลทำเขื่อนใต้น้ำ ดักทรายเป็นระยะเพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยาตื้นขึ้นเหมือนเดิม เพราะเมื่อขุดแม่น้ำเจ้าพระยาลึก ๆ ก้นแม่น้ำก็จะมีแต่ตมเลนน้ำหนักของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำจะกดตมเลนในแม่น้ำ ให้ปูดขึ้นมา ทำให้เกิดการทรุดตัวของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำ สิ่งก่อสร้างต่างๆ จะพังเพราะแรงแผ่นดินไหว น้ำในตัวเขื่อนที่พังยังไหลมาท่วมซ้ำเติม ทุกข์ยาก ลำบากมาก ๆ การสร้างเขื่อนใหญ่อยู่เหนือพระนคร เป็นอันตราย เพราะแรงแผ่นดินไหวแรงมาก จะเหมือนเมื่อก่อน ครั้งนาน ๆ โน้น ที่ไดโนเสาร์ตายหมด”
       
       นอกจากนี้ ปลาบู่ยังบอกลุงทองใบอีกว่า เขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ได้วางท่อใหญ่ ๆ เพื่อเอาน้ำออกสู่ทะเล ไม่มีท่อปล่อยน้ำออกจากเขื่อน เพราะถ้าระดับน้ำในเขื่อนเต็มขึ้นมา ก็จะมีการปล่อยน้ำออกจากตัวเขื่อน น้ำก็จะท่วมบ้านเรือนที่อยู่ใต้ตัวเขื่อน
       
       ปลาบู่ถามลุงว่าอีก 27 ปี พ.ศ.อะไร ? นับจากวันที่คุยกันคือ 2544 จะมีเครื่องบินชนตึก และ อีก 30 ปี พ.ศ.อะไร? จะเกิดคลื่นยักษ์คนจะตายกันมาก อีก 35 ปี พ.ศ.อะไร? จะเกิดแผ่นดินไหวในต่างประเทศ แต่อีก 38 ปี (2555) จะเกิดอาเพศรุนแรง แผ่นดินไหวรุนแรงเกือบทั่วโลก จะโดนประเทศไทย กรุงเทพฯจมดินจมน้ำ เขื่อนที่จังหวัดตากก็พัง “ในเวลายามสอง ในคืนปีใหม่ คนไทยฉลองกันสนุกสนาน เกิดแผ่นดินไหวมีคนตายมากมาย” แต่ปลาบู่ ไม่ได้บอกว่าปีใหม่ไหน อาจจะเป็นปีใหม่ไทย จีน ฝรั่ง ลาว ก็ได้ แต่ในปี 2555นี้
       
       “มาถึงตรงนี้ ลุงรู้สึกเสียใจมาก ปัจจุบันนี้ลุง อายุ 73 ปีแล้ว เป็นห่วงประเทศชาติ เชื่อว่าต้องเป็นความจริงตามที่ปลาบู่เล่า เพราะที่ผ่านมาเกิดขึ้นมาหมดแล้ว เหลือแต่ที่ยังไม่ถึง โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเขาเป็นประเทศที่เจริญแล้ว มีการป้องกันอย่างดี มีการบริหารจัดการที่ดี ยังเสียหายขนาดนั้น แล้วถ้าเกิดกับประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ลุงรู้สึกทนไม่ได้ นั่งดูข่าวไป ก็คิดถึงคำของปลาบู่ ที่เล่าให้ฟัง ประเทศไทยไม่มีการป้องกันอะไรเลย มีแต่กัดกันอย่างหมา ขอพูดแบบนี้นะ ลุงเจ็บใจจริงๆ เพราะถ้าเกิดขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร ลุงเลยตัดสินใจออกมาเปิดเผยให้ทุกคนได้รับรู้
       
        หลังจากนั้น ปลาบู่ ก็เข้ามาบอกว่า พ่อครับที่ดินแปลงนี้ยกให้หนูนะ (ที่ดินที่สวนศรีมหาโพธิ์ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี) และขอให้ปลูกต้นโพธิ์ และให้ทำถนนให้รอบเหมือนกับสนามหลวง ลุงก็ถามว่าทำมัย ปลาบู่บอกว่า หากหนูตายไปแล้วพ่อจะรู้เอง.. ให้จำปานของหนูไว้ให้ดี.. หนูจะกลับมาเกิดอีกครั้ง และจะบวชเณร ออกธุดงค์มาช่วยพ่อสร้างวัด “สุทัศน์เทพไพฑูรย์” (สวนศรีมหาโพธิ์) พร้อมกับแม่ใหม่ จะมาทำปาฏิหาริย์เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา
       
       ต่อไปหลังจาก40 ปีไปแล้ว คือประมาณหลังจากปี 2557 ประเทศไทยจะเป็นตัวอย่างแก่ประเทศอื่น ๆ ต่างประเทศจะมาพึ่งพาประเทศไทย และพระพุทธศาสนาจะเป็นอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ประเทศอื่น ๆ จะเสียหายเพราะภัยพิบัติและการสู้รบจากสงคราม ซึ่ง อีก 40 ปี จะเกิดสงคราม (ตรงกับ พ.ศ. 2557) และที่ สวนศรีมหาโพธิ์จะเป็นสถานปฏิบัติธรรมของผู้หญิง และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและคนชรา ในยุคที่เกิดความทุกข์ยากเพราะภัยพิบัติ และบนเขาลับแล จะเป็นวัดที่อยู่ของพระภิกษุและสามเณร จะมีพระองค์หนึ่งมีบุญบารมีมาก จะมาช่วยพ่อสร้างวัด จะมีคนมาถวายให้สร้าง ซึ่งในปัจจุบันนี้ ลุงได้สร้างรอลูกชายตามที่สัญญาไว้ว่าจะมาหาทั้งสองที่ และได้เฝ้ารอคอยการกลับมาของบุตรชายในชาติใหม่มาเป็นเวลา 37 ปีแล้ว ซึ่งที่ดินที่ปลาบู่ขอก็ได้ ปลูกต้นโพธิ ไว้ประมาณ 200 กว่าต้น และทำถนน รวมทั้ง บนเขาลับแล ก็ได้มีการสร้างศาลาไว้ให้พระสงฆ์อยู่
       
       “สิ่งที่ลุงบอกมาทั้งหมด นี้อยากจะขอให้รัฐบาลและผู้ที่รับผิดชอบช่วยพิจารณาเรื่องการนำรางรถไฟที่ไม่ใช้แล้วเพราะสับเปลี่ยนเป็นรางใหม่ (ซึ่งปัจจุบันวางกอง ๆ ไว้มากมายตามสถานีรถไฟ) นำไปเสริมตัวเขื่อนภูมิพลที่จังหวัดตาก และเขื่อนเจ้าพระยา ที่จังหวัดชัยนาท เพื่อให้มีความแข็งแรง เพียงพอที่จะรับแรงแผ่นดินไหว ตามที่ปลาบู่ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าในปัจจุบันนี้โลก มีการเปลี่ยนแปลง แผ่นดินไหวบ่อยครั้ง และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทั่วทั้งโลก การป้องกันเตรียมการไว้ก่อน เมื่อเกิดปัญหาจะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา”
       
        ลุงทองใบ กล่าวอีกว่า หลังจากที่ได้เปิดเผยเรื่องราวของปลาบู่ออกไป ก็มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีเข้ามา เรื่องดีๆ คือมีประชาชนจำนวนมาก เขียนจดหมายมาให้กำลังใจ และมาขอบคุณ ที่ลุงได้ ออกมาบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น รวมทั้งบางคนก็เดินทางมาจากต่างจังหวัดไกลๆ เช่น เชียงใหม่ สมุทรปราการ และอีกหลายแห่ง รวมทั้งนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้มีจดหมายมาถึงลุง บอกว่าได้รับรู้เรื่องราวที่ที่ลุงบอกไปแล้ว พร้อมทั้งได้มีการประสานงานกับทางกรมชลประทานไปแล้ว เท่านี้ลงก็รู้สึกปลื้มใจมากๆ และรู้สึกสบายใจแล้วว่าลุงได้ทำในสิ่งที่ปลาบู่บอก หลังจากนี้ก็สุดแล้วแต่ทางผู้มีอำนาจจะดำเนินการต่อ
       
        ส่วนเรื่องที่ไม่ดี มีการมาขุมขู่ ลุง ไม่ให้พูดเรื่องนี้อีกไม่เช่นนั้นจะโดนจับกุม ซึ่งมาถึงตอนนี้ ลุงไม่กลัวแล้ว อยากจะจับก็มาจับ ติดคุกก็ไม่กลัว เพราะ 73 ปีแล้ว อยู่ที่ไหนก็สามารถสวดมนต์ได้

ASTVผู้จัดการรายวัน    24 ธันวาคม 2554