จากกรณีที่มีข่าวอดีตนักศึกษาแพทย์ปีที่3 อายุ 21 ปี เครียดและฆ่าตัวตายเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งบิดาให้ข้อมูลว่า ผู้เสียชีวิต เคยเรียนคณะแพทยศาสตร์ ชั้นที่ 3 ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คาดว่าเรียนไม่ไหวจึงพักการเรียน แล้วไปสมัครเรียนคณะอื่นในมหาวิทยาลัยอื่น
กองบรรณาธิการข่าว เว็บไซต์สุขภาพ medhubnews.com รายงานว่า เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายแพทย์สมัย ศิริทองถาวร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ระบุว่า รู้สึกเห็นใจพ่อแม่และขอเป็นกำลังใจกับการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้
ปัญหาการเรียน เป็นเรื่องที่พบได้บ่อย และเป็นการยากที่จะประเมินว่านักศึกษารายนี้ ทำเต็มที่หรือยัง เพราะทุกคนก็ล้วนหวังดี แต่ภาวะซึมเศร้าอาจทำให้ผลการเรียนด้อยลงได้ ความหวังดีจะกลายเป็นการกดดันแทน
เนื่องจากการเรียนแพทย์ในชั้นที่สูงขึ้น จะมีความยุ่งยาก เนื้อหาจะมีความเข้มข้นเฉพาะด้านขึ้นเรื่อยๆ หรือการเรียนในสายอาชีพอื่นๆก็เช่นกัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรรับฟังปัญหาและร่วมหาทางออกตั้งแต่ต้น หากเป็นไปได้ควรให้ลูกได้ตัดสินใจเลือกเรียนตามศักยภาพ ตามความสนใจหรือความถนัดจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และไม่มีใครที่แก่เกินเรียน
ทั้งนี้วัยรุ่นที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า มี 4 กลุ่มใหญ่ได้แก่
1. ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคทางจิตเวช เช่นเป็นโรคซึมเศร้า โรคอารมณ์ 2 ขั้ว โรควิตกกังวล สมาธิสั้น
2. มีโรคเรือรังทางกาย เช่นโรคมะเร็ง โรคไต โรคที่จำกัดกิจกรรมทางร่างกาย หรือมีผลต่อภาพลักษณ์
3 ผู้ที่มีปัญหาทางด้านจิตสังคม เช่น อกหัก ใช้สารเสพติด ตั้งครรภ์ ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเรียน เพื่อรังแก ถูกทารุณกรรม เป็นต้น
4. กลุ่มที่มีครอบครัวไม่อบอุ่น มีความขัดแย้งในครอบครัว
รวมทั้งการขาดทักษะการจัดการอารมณ์ตนเอง ซึ่งกรมสุขภาพจิตได้เร่งแก้ไขและป้องกันปัญหา ได้มอบหมายให้สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ พัฒนาแนวทางการดูแลเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของวัยรุ่นที่มีปัญหาและได้รับการดูแลตั้งแต่ต้น ซึ่งที่ผ่านมาวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่ยังเข้าถึงบริการน้อย
ส่วน แพทย์หญิงมธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น กทม.กล่าวว่า สถาบันฯได้ร่วมมือกับราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย จัดทำแนวทางการดูแลวัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้าเป็นการเฉพาะ เพื่อให้แพทย์ใช้ในการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง
ซึ่งวัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้า มักมีอาการแสดงออกทางอารมณ์และพฤติกรรมต่างไปจากวัยอื่น เช่นมาด้วยพฤติกรรมการใช้ความรุนแรง การทำร้ายตนเอง ทำร้ายคนอื่น หรือมาด้วยปัญหาอารมณ์ก้าวร้าว ปัญหาการกิน การอดอาหาร
แต่บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรทางการศึกษา หรือแม้แต่คนในครอบครัวเอง ส่วนใหญ่ยังมีความไม่เข้าใจ อาจมีทัศนคติในการตัดสินต่อพฤติกรรม การแสดงออกได้ วัยรุ่น จึงไม่ได้รับการช่วยเหลือตั้งแต่ต้น
จากการศึกษาในประเทศไทยขณะนี้พบปัญหาโรคซึมเศร้าในเด็กวัยเรียนร้อยละ 2 ในวัยรุ่นพบได้มากถึงร้อยละ 40-49 และพบเด็กที่มีภาวะซึมเศร้ารุนแรงร้อยละ 13 -22 เป็นสาเหตุการตายอันดับที่ 3 ของวัยรุ่น และเป็นสาเหตุการตายหลักของกลุ่มเยาวชนทั่วโลก แต่กลุ่มนี้ยังเข้าถึงบริการน้อย
ขณะที่สถานการณ์ด้านพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้า เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ การมีเพศสัมพันธ์ การทำร้ายตัวเอง การใช้ความรุนแรงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวทางการดูแลวัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้า มี 4 ส่วนหลักได้แก่การประเมินคัดกรองปัญหาซึมเศร้า การวินิจฉัยที่ครอบคลุมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งได้จากประวัติของวัยรุ่นเองและผู้ปกครอง การตรวจร่างกาย การตรวจสภาพทางจิต ตั้งแต่ลักษณะทั่วไป การแต่งกาย การพูด อารมณ์ ความคิด
การให้การรักษาทั้งด้วยยา และการทำจิตบำบัดเพื่อกระตุ้นพฤติกรรมที่นำไปสู่อารมณ์ทางบวก ปรับความคิดที่นำไปสู่อารมณ์ทางลบ คาดว่าจะสามารถใช้ทั่วประเทศในเร็วๆนี้
https://medhubnews.com/%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1-10502-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%86%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0.html