รมว.สธ.มอบนโยบายปี 61 เดินหน้า 4 เรื่อง พัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ แพทย์ปฐมภูมิ ผ่าตัดแบบวันเดียว หมอครอบครัว ด้านว่าที่ปลัด สธ.เร่งรัดงบก่อสร้าง 1.7 หมื่นล. ย้ำห้ามเปลี่ยนแบบ หากเปลี่ยนย้าย ผอ.รพ.แทน กำชับสัมภาษณ์บุคลากรก่อนลาออกทุกราย
วันนี้ (15 ก.ย.) ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวระหว่างมอบนโยบายการดำเนินงานของ สธ. ประจำปีงบประมาณ 2561 แก่นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) และผู้อำนวยการโรงพยาบาล สธ.ทั่วประเทศ ว่า การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นเรื่องสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ เวลา 1 ปี 4 เดือนจากนี้จะต้องทำงาน วางระบบเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ยั่งยืน มั่นคงรองรับสังคมเมือง สังคมผู้สูงอายุ และเชื่อมต่อด้านการค้า การลงทุน ทั้งเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และการคุ้มครองผู้บริโภค ปี 2561 จะมีนโยบายสำคัญ อาทิ 1. การพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) อยู่ระหว่างเสนอเข้าครม. 2.พัฒนาระบบการแพทย์ปฐมภูมิ พัฒนาระบบบริการผ่าตัดแบบวันเดียวเสร็จ (One Day Surgery) 3.การผลิตและพัฒนาแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน และแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน แขนงระบาดวิทยา และ 4.พัฒนาการบริการสุขภาพในเขตสุขภาพพิเศษ
นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ผู้บริหารทุกคน เมื่อได้ตำแหน่งไปแล้วก็ขอให้เอาภาระหน้าที่ไปด้วย บริหารจัดการภายในรพ. เรื่องงบประมาณต่างๆ ต้องทำให้มีประสิทธิภาพ หลายแห่งขาดสภาพคล่องวิกฤตระดับ 7 แม้ไตรมาส 3 จะดีขึ้นมาก แต่ยังต้องรอดูของจริงในไตรมาสที่ 4 ซึ่ง ผอ.รพ.คือคนที่มีส่วนสำคัญอย่างมาก นอกจากเรื่องเงินแล้วอยากให้บริหารองค์กรให้เป็น Green&Clean Hospital ด้วย ซึ่งตนเข้าใจเรื่องของงบประมาณสำหรับการบริหารปรับปรุงอาจจะไม่มาก ตึกเลยเก่า ทรุดโทรมบ้าง แต่สิ่งสำคัญต้องไม่สกปรก ที่ผ่านมาตนเคยไปเยี่ยม รพ.บางแห่งพบว่าต้นโพธิ์โตขึ้นบนอาคารสูงของรพ. ทั้งที่เป็นต้นไม้ที่ไม่ได้จะโตไวเพียงข้ามวัน หรือสัปดาห์ ดังนั้น ขอให้เน้นเรื่องนี้ และเดินหน้าเรื่องการเป็น รพ.ประชารัฐ ที่ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมกับรพ. เพื่อให้ รพ.สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) ในฐานะว่าที่ปลัด สธ.คนใหม่ กล่าวว่า คำรับรองการปฏิบัติงานที่ตนให้กับรมว.สธ.มี 5 ข้อ ได้แก่ 1. การขับเคลื่อนคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ 2.พัฒนาต่อเนื่องคลินิกหมอครอบครัว 3.การกวาดล้างวัณโรค ซึ่งขอฝากให้ผอ.รพ.และนพ.สสจ.ทั่วประเทศให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และดูแลบุคลากรสาธารณสุขในเรื่องนี้ เพราะมีรายงานที่ไม่เป็นทางการว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดเชื้อวัณโรคจำนวนมาก แม้แต่วิสัญญีแพทย์ เรื่องนี้ถือเป็นความมั่นคงหนึ่งของประเทศ เนื่องจากผู้ป่วยวัณโรคทั่วไปใช้เวลารักษา 6 เดือน มีค่าใช้จ่าย 2,000 บาทต่อคน หากเป็นเชื้อวัณโรคดื้อยาบางรายการ ต้องรักษา 18 หรือ 20 เดือน ค่ารักษาเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนบาท หากดื้อยาหลายตัวค่ารักษาจะทะลุไปถึงหลักล้านบาทต่อคน หากคนไทยเป็นวัณโรคมากกระทบความมั่นคงแน่นอนทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ
4.การพัฒนาการบริหารจัดการกำลังคนด้านสุขภาพ ต้องให้บุคลากรคงอยู่ในระบบ เป็นมืออาชีพ และมีความสุข โดยในส่วนบุคลากรที่ขอลาออก ตนขอให้มีการสัมภาษณ์ก่อนการออกทุกรายแล้วรายงานมายังตน หากเป็นบุคลากรที่มีความจำเป็นต้องรักษาไว้ในระบบ ก็อาจพิจารณาให้ทีมทางส่วนกลางลงไปดู นอกจากนี้ ฝากผอ.รพ.ทุกรายจัดระบบการให้คำปรึกษาสำหรับบุคลากรใหม่ในทุกวิชาชีพ โดยเฉพาะแพทย์และพยาบาล เนื่องจากในบางสถานการณ์บุคลากรใหม่อาจไม่เคยประสบมาก่อน จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษาตลอดเวลา และ 5.การบริหารการเงินการคลัง ในส่วนรพ.ที่ยังมีปะญหาวิกฤติการเงินระดับ 7 ตนอาจลงไปตรวจเยี่ยมโดยไม่บอกล่วงหน้า
"ผมจะให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลทั้งเพื่อให้บุคลากรไม่ถูกญาติคนไข้ทำร้ายและคนไข้ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี มีความเชื่อมั่น ส่วนเรื่องที่เร่งรัดให้รีบดำเนินการ คือ การเร่งรัดการก่อสร้าง งบฯลงทุนปี 2561 จำนวน 17,792 ล้านบาท และขอย้ำว่าไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบเด็ดขาด ถ้าต้องเปลี่ยนแบบก่อสร้าง คงจะย้ายผอ.ง่ายกว่า ขอให้ทุกคนทำงานด้วยความสามัคคีที่ไหนมีปัญหาแตกแยกให้แจ้งมายังผม จะรีบลงไปแก้ปัญหา ส่วนคนที่ต้องการมาแสดงความยินดีในช่วงเดือนต.ค.นี้ ขอให้แสดงในที่ตั้ง หากต้องการให้ของขวัญให้ปลูกต้นไม้ยืนตนในที่ทำงานแล้วส่งรูปมาให้ผมดูก็พอ" นพ.เจษฎากล่าว
15 ก.ย. 2560
https://mgronline.com/qol/detail/9600000094785
