ผู้เขียน หัวข้อ: ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากพ.ร.บ.เยียวยาผู้เสียหาย จากการรับบริการสาธารณสุข  (อ่าน 3901 ครั้ง)

khunpou

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 111
    • ดูรายละเอียด
พ.ร.บ.เยียวยาผู้ เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข
 
เสนอเข้าสภาโดยคณะ รัฐมนตรี
 
ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากพ.ร.บ.เยียวยาผู้เสียหาย จากการรับบริการสาธารณสุข
 
1.เมื่อไปรับการรักษาจากโรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยา หรือจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพใดๆก็ตาม แล้วเชื่อว่าตนเองหรือครอบครัวได้รับความเสียหายแล้ว มีสิทธิยื่นเรื่องขอเงินจากกองทุนมาเพื่อ “เยียวยา” ความเสียหายได้
 
2. คณะกรรมการผู้พิจารณาจ่ายเงินเยียวยาผู้เสียหายนั้น จะใช้หลักการอะไรก็ได้ในการพิจารณาจ่ายเงิน  เนื่องจากไม่มีผู้มีความรู้ทางการแพทย์และสาธารณสุขอยู่ใน คณะกรรมการ และการตัดสินใช้การนับคะแนนเสียงของคณะกรรมการ โดยตัดสินตามสียงข้างมาก และคณะกรรมการเลือกมาจากผู้ไม่มีความรู้ทางการแพทย์และสาธารณสุข เป็นส่วนมาก
 
3.การจ่ายเงินไม่ต้องมีการพิสูจน์ว่า การบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขนั้น เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ โดยไม่มีการพิสูจน์ว่าถูกหรือผิด แต่ใช้อารมณ์/ความรู้สึกของคณะกรรมการสียงข้างมาก
 
4.หลังจากประชาชนได้รับเงินเยียวยาแล้ว ยังมีสิทธิ์ไปฟ้องศาลอาญาได้อีก และศาลก็สามารถใช้ดุลพินิจโดยไม่มีขอบ เขตว่า จะลงโทษบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอีกหรือไม่ก็ได้
 
และถ้าศาลตัดสินว่า บุคลากรไม่ผิด ประชาชนก็ยังมีสิทธิกลับไปขอเงินเยียวยาได้อีก
 
5. เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ก็คงต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิด “ความเสียหาย” แก่ผู้ป่วยทุกๆวิถีทางได้แก่
 
 5.1 ส่งผู้ป่วยไปรักษาที่อื่น เพื่อว่าตนเองจะไม่ต้องรับผิดชอบ ประชาชนก็จะเสียโอกาสในการได้รับการรักษาที่ทันเวลานาทีทอง ก็อาจต้องไปตายกลางทางระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาลอื่น โดยต้องหารถไปเอง เพราะถ้าโรงพยาบาลเอารถโรงพยาบาลไปส่ง ก็อาจต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเยียวยา เพราะตายบนรถของโรงพยาบาล
 
 5.2 บุคลากรสาธารณสุขก็คงต้องส่งตรวจละเอียด ครบทุกอย่าง เช่นผู้ป่วยปวดหัว แพทย์อาจต้องส่ง เอ๊กซเรย์กระโหลกศีรษะ ทำ CT scan, MRI ,EEG,Pet Scan. ซึ่งจะ ทำให้ไม่พลาดในการวินิจฉัยโรค แต่ประชาชนคนป่วยก็จะได้รับของแถมคือรังสีเอ๊กซเรย์ ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดเป็นมะเร็ง ส่วนรัฐบาลผู้จ่ายเงินค่ารักษาก็คงต้องควักเงินจำนวนมาก ในการตรวจพิเศษต่างๆเหล่านี้ และอาจเสียเวลานาน กว่าจะได้ตรวจครบทุกอย่าง ก่อนจะได้รับการรักษา ซึ่งอาจจะช้าเกินไป แต่สามารถอธิบายได้ว่าตรวจรักษาอย่างละเอียดรอบคอบ ตามคติที่ว่า “slow but sure”
 
 5.3  ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและ บุคลากรสาธารณสุขก็คงจะดีขึ้นอย่างสุดๆ  แบบว่า ผู้ป่วยมั่นใจว่าหมอจะรักษาอย่างดีที่สุด เพราะถ้ารักษาไม่ดี ก็จะต้องจ่ายเงินเยียวยา  เมื่อโรงพยาบาล จ่ายเงินแล้ว ก็ยังไปไล่เบี้ยเอากับหมอหรือบุคลากรที่ทำให้เกิดความเสียหาย และยังจะถูกศาลตัดสินจำคุกได้อีก
 
 ส่วนหมอก็คงจะรู้สึกรักและห่วงใยผู้ป่วยยิ่ง กว่าชีวิตของตนเอง ต้องนั่งเฝ้าดูอาการผู้ป่วยตลอดทุกเวลานาที เพราะถ้าผู้ป่วยตาย หมอก็ต้องจ่ายเงินทำขวัญ และยังต้องไปชดใช้กรรมในการปล่อยให้ผู้ป่วยตาย โดยสมควรตายและไม่สมควรตาย ฉะนั้น หมอจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการดูแลชีวิตผู้ป่วยยิ่งกว่าชีวิ ตตนเอง
 
  5.4 ประชาชนไทยก็จะมีแต่การเกิดอย่างเดียว ไม่สามารถจะตายได้ เพราะหมอต้องพยายามรักษาชีวิตประชาชนทุกคนอย่างดีที่สุด ยิ่งกว่าชีวิตตนเอง เพราะถ้ามีผู้ป่วยตายไป หมอก็คงถูกลงโทษให้ตายตกไปตามกัน
 
  5.5 รัฐบาลที่เสนอออกพ.ร.บ.ฉบับนี้ ก็จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ได้เป็นรัฐบาลตลอดกาล เพราะสามารถทำให้ประชาชนมั่นใจและไว้วางใจว่าจะ ปลอดภัยแน่นอนจากการไปโรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่อยากทำงานในโรงพยาบาลของรัฐบาล ก็ไม่ต้องลาออกอีกต่อไป เพราะจะถูกไล่เบี้ยจนไม่มีเงินจ่ายค่าเยียวยา จึงต้องถูกจำคุกแทนการเสียเงินค่าปรับ หรือถูกประหารให้ตายตกไปตามกันจน หมดไปจากโรงพยาบาล
 
 ฉะนั้นรัฐบาลต้องรีบเข็นพ.ร.บ.นี้ให้ ออกมาเป็นกฎหมายโดยเร็วที่สุด เพื่อความมั่นคงของรัฐบาลเองและชีวิตนิรันดร์ของประชาชน ส่วนบุคลากรทางการแพทย์นั้นเป็นพลเมืองส่วนน้อย ก็ “ชั่งหัวมัน” จะอยู่หรือตายก็ไม่ต้องให้ความสนใจ

somnuk

  • Staff
  • Newbie
  • ****
  • กระทู้: 48
    • ดูรายละเอียด

today

  • Staff
  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 263
    • ดูรายละเอียด
งานนี้ รมต.ได้รับประโยขน์ครับ
ได้คะแนนเสียงจาก NGO อีกเพียบเลย