ผู้เขียน หัวข้อ: สปสช.หนุนนโยบาย “ทีมหมอครอบครัว” ช่วยลดค่ารักษา สร้างความยั่งยืนบัตรทอง  (อ่าน 492 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9759
    • ดูรายละเอียด
สปสช. ห่วง “แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว” มีน้อยกว่าแพทย์เฉพาะทางมาก ชี้ สัดส่วนควรเป็น 50 : 50 เผย นโยบาย “ทีมหมอครอบครัว” ดังกล่าวมีส่วนร่วมภาคี อสม. ท้องถิ่น เป็นทางออกในการดูแลรักษาแบบปฐมภูมิ ช่วยลดค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลทั้งระบบ เสริมความยั่งยืน “บัตรทอง”
       
       นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 7 ขอนแก่น บรรยายพิเศษเรื่อง “ทิศทางการพัฒนาเวชศาสตร์ครอบครัวในประเทศไทยในมุมมองของ สปสช.” ในการประชุมวิชาการงานเวชศาสตร์ครอบครัว เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ตามร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2559 ฉบับลงประชามติ มาตรา 258 ระบุไว้ว่า ให้มีระบบการแพทย์ปฐมภูมิที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวดูแลประชาชนในสัดส่วนที่เหมาะสม ดังนั้น ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข) และการดำเนินงานปี 2560 จึงมีแผนการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ ให้มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวทุกอำเภอเมือง และในปี 2565 จะต้องมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวทุกเขตเทศบาล โดยมีนโยบายพัฒนาทีมหมอครอบครัว ให้ 1 ทีมดูแลประชาชน 10,000 คน อย่างไรก็ตาม จากสถิติแพทย์เฉพาะทางประเทศไทย สะสมมาตั้งแต่ พ.ศ. 2507 - 2559 พบว่า มีแพทย์ทั่วไปและแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว รวมเพียง 7,082 คน ในขณะที่มีแพทย์เฉพาะทางถึง 30,238 คน ทั้งที่สัดส่วนแพทย์เฉพาะทางและแพทย์เวชศาสตร์ครบครัว ควรเป็น 50 : 50 ดังนั้น จะเห็นได้ว่าแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวนั้นไม่เพียงพอ จึงควรมีการจัดระบบบริการปฐมภูมิให้ครอบคลุม โดยประกอบด้วย ทีมหมอครอบครัว เครือข่ายปฐมภูมิในเขตเมือง ความร่วมมือของภาคี องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต./เทศบาล) โรงพยาบาลทุกสังกัด และสิ่งที่สำคัญคือ การมีสุขภาพดีเป็นหน้าที่ของทุกคน และเมื่อเจ็บป่วยประชาชนต้องมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นได้โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ โดยไม่ล้มละลายจากการเจ็บป่วย
       
       นพ.ปรีดา กล่าวว่า ระบบบริการสุขภาพที่พึงประสงค์ คือ การที่ทุกคนดูแลสุขภาพของตนเอง ได้รับการดูแลด้านสุขภาพเบื้องต้นจากอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในพื้นที่ เมื่อเจ็บป่วยมากเกินกำลังก็มีการส่งต่อตามระบบ คือ ส่งต่อจาก รพ.สต. ไปโรงพยาบาลชุมชนประจำอำเภอ และส่งต่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ประจำจังหวัด หรือหากอาการเจ็บป่วยนั้นทางโรงพยาบาลไม่สามารถรักษาได้ ก็ส่งต่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง โดยมีบุคลากรทางแพทย์จากโรงพยาบาลทุกสังกัดเป็นผู้ให้การรักษา และ สปสช.เป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษา ทั้งนี้ หากมีทีมหมอครอบครัวครอบคลุมทุกพื้นที่นั้น กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประเมินว่า จะทำให้ลดการใช้บริการที่ห้องฉุกเฉินแบบไม่เหมาะสม ลดผู้ป่วยติดเตียงภายหลังจากการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ลดจำนวนผู้ป่วยในและจำนวนวันนอนของผู้ป่วยจากโรคเรื้อรัง ลดการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็น รวมทั้งเพิ่มการให้บริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการไปเข้ารับการรักษาของผู้ป่วย เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าที่พัก ได้ถึง 1,655.37 บาทต่อคน ซึ่งจะส่งผลให้ลดค่าใช้จ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าด้วย
       
       “ความท้าทายที่สำคัญในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คือ การควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เพื่อความยั่งยืนของระบบ ด้วยการบูรณาการ ลดความเหลื่อมล้ำของการให้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลของกองทุนรักษาพยาบาลทุกกองทุน ทั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กองทุนประกันสังคม และ กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ พร้อมทั้งต้องมีการจัดการที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ทางสุขภาพที่เปลี่ยนไป เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของไทย และการที่ประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน” นพ.ปรีดา กล่าว

โดย MGR Online       22 มีนาคม 2560