ผู้เขียน หัวข้อ: คำเตือนถึงนายกรัฐมนตรีหญิงว่าด้วยเรื่องปราสาทพระวิหาร  (อ่าน 1415 ครั้ง)

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด
เรียนท่านนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย ในฐานะที่ผมทำการศึกษาเรื่องปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันนี้ ผมอยากให้ท่านนายกฯ หญิงได้โปรดเข้าใจว่า การตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 2505 ในคดีปราสาทพระวิหารนั้นรัฐบาลไทยไม่เคยยอมรับคำตัดสิน รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งราชอาณาจักรไทยได้ตั้งข้อสงวนสิทธิ์ที่จะทวงคืนตัวปราสาทพระวิหารจากประเทศกัมพูชาไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) และไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกที่ไม่ยุติธรรมกับประเทศไทยในกรณีคดีปราสาทพระวิหารด้วยการใช้กฎหมายปิดปาก โดยหนังสือดังกล่าวทำในนามรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงนามโดย ฯพณฯ พันเอก ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต่อนายอูถัน รักษาการเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ
       
       สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐภาคีไทยและรัฐภาคีกัมพูชาต่อกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารก็เพราะว่าแผนบริหารการจัดการของกัมพูชาที่เสนอมานั้นได้ล่วงละเมิดอธิปไตยของรัฐภาคีไทย จนในที่สุดได้มีการลาออกจากการเป็นรัฐภาคีของฝ่ายไทย
       
       ตลอดระยะเวลาของสมัยประชุมครั้งที่ 31 จนถึงสมัยประชุมครั้งที่ 35 นี้ การกระทำของรัฐภาคีประเทศกัมพูชายังดำเนินรุกรานและครอบครองดินแดนประเทศไทยอยู่อย่างต่อเนื่อง คือ ตลอดแนวชายแดน กระทำของรัฐภาคีประเทศกัมพูชาได้ส่งกองกำลังทหารและประชาชนเข้ามาอาศัยในดินแดนของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
       
       มติคณะกรรมการมรดกโลกทั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมา ได้สร้างความแตกแยกของรัฐภาคีทั้งสองประเทศลุกลามบานปลายไปสู่เวทีนานาชาติ เกิดการแตกแยกในหมู่มิตรประเทศ เกิดการปะทะกันจนมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและเกิดการอพยพของประชาชนชาวไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน สร้างความเสื่อมเสียทางเสรีภาพในการทำมาหากินและใช้ ชีวิตของประชาชนชาวไทยรอบๆ ดินแดนที่คณะกรรมการมรดกโลกให้เป็นพื้นที่บริหารการจัดการ รวมไปถึงปราสาทพระวิหารกลายเป็นที่สะสมอาวุธยุทโธปกรณ์และกลายเป็นสมรภูมิรบกันอย่างดุเดือดมีการใช้จรวดและกระสุนปืนใหญ่ยิงตอบโต้กัน
       
       ผมจึงขอเรียนให้ท่านนายกฯ หญิงได้ทราบเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกครั้ง เพราะอาจไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนกล่าวคือ
       
       1. เขตแดนไทย-กัมพูชาได้ปักปันเสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วตามอนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 เฉพาะบริเวณปราสาทพระวิหารได้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน และสันปันน้ำนี้ได้ทำให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนประเทศไทย
       
       2. คณะกรรมการมรดกโลกได้กระทำการฝ่าฝืนอนุสัญญาในหมวดที่ 2 ว่าด้วยการคุ้มครองป้องกันมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกโลกทางธรรมชาติในระดับชาติและระดับนานาชาติ มาตรา 4 (มรดกทางวัฒนธรรมต้องอยู่ในดินแดนของตน) มาตรา 5 (มรดกโลกทางวัฒนธรรมอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐภาคี) มาตรา 6 (ด้วยความเคารพสูงสุดต่ออำนาจอธิปไตยแห่งรัฐอันเป็นที่ตั้งของมรดกโลกทางวัฒนธรรม) จากทั้ง 3 มาตราที่ยกขึ้นอ้างนี้ คณะกรรมการมรดกโลกและรัฐภาคีกัมพูชา ต่างละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ด้วยการรุกรานดินแดนรัฐภาคีสมาชิกประเทศไทย ด้วยการออกมติสนับสนุนรัฐภาคีประเทศกัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เพราะดินแดนโดยรอบปราสาทพระวิหารยังเป็นดินแดนของประเทศไทยและประเทศไทยได้ใช้อำนาจอธิปไตยอย่างสมบูรณ์มาก่อนด้วยการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 โดยที่รัฐภาคีประเทศกัมพูชาไม่เคยโต้แย้งแต่อย่างใด
       
       อนึ่ง ในมติของคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32 ได้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท หากแต่พื้นที่รอบๆ นั้นก็ยังเป็นของรัฐภาคีประเทศไทยตามที่ศาลปกครองกลางและศาลรัฐธรรมนูญของไทยได้ทำการวินิจฉัยไว้ การกระทำของคณะกรรมการมรดกโลกจึงเป็นการตัดสินภายใต้พื้นฐานการรุกรานรัฐภาคีสมาชิกอย่างเห็นได้ชัด โดยการหยิบยื่นดินแดนของรัฐภาคีประเทศไทยให้กับรัฐภาคีประเทศกัมพูชา นำไปขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและรวมถึงแผนบริหารจัดการที่เข้าสู่วาระการประชุมครั้งที่ 36 ที่กำลังจะถึงกลางปีหน้านี้ด้วย
       
       3. คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหาร ได้ตัดสินเพียงให้อำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาไม่เคยตัดสินเรื่องดินแดน และศาลไม่ได้ตัดสินแผนที่หรือยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่รัฐภาคีประเทศกัมพูชาเคยเสนอไว้และนำมาใช้เป็นหลักฐานในการทำแผนบริหารการจัดการและการขึ้นทะเบียนตัวปราสาท 
       
       4. ราชอาณาจักรไทยมีรัฐธรรมนูญการปกครองเป็นของตนเอง มีการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์หรือที่ประชาชนชาวไทยส่วนหนึ่งเทิดพระเกียรติพระนามเป็น พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินมีความหมายว่า “เจ้าของแผ่นดิน” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงใช้อำนาจผ่านฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณอันประเสริฐ ทรงเป็น “มหาราช” มีพระเกียรติยศเลื่องลือในสังคมนานาประเทศ ด้วยทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรของพระองค์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ในปี ค.ศ. 2011 ทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา ประเทศไทยแม้เป็นรัฐภาคีสมาชิกที่จะต้องปฏิบัติตามพันธสัญญาที่ให้ไว้ก็ตาม แต่การสูญเสียดินแดนและอธิปไตยของชาติเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่า ราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียดินแดนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยยอมรับไม่ได้
       
       ดังนั้น ผมจึงเรียนข้อมูลเบื้องต้นนี้มาให้ท่านนายกฯ หญิงได้ทราบ โดยหวังว่าจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ ศึกษาตรวจสอบข้อมูลก่อนการตัดสินใจเข้าไปร่วมเป็นรัฐภาคีอีกครั้งหนึ่ง (ทางที่ดีผมไม่เห็นด้วยเลยที่ประเทศไทยจะกลับเข้าไปเป็นรัฐภาคีอีก)

โดย เทพมนตรี  ลิมปพยอม    8 พฤศจิกายน 2554
.........................................................................
ผมจำได้ว่าคุณสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ทำหนังสือยืนยันจากกระทรวงการต่างประเทศต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทยเมื่อปี พ.ศ. 2551 ให้ทหารถืออาวุธคอยอารักขาเจ้าหน้าที่จากยูเนสโกที่เข้ามาตรวจพื้นที่และคอยควบคุมไม่ให้กัมพูชาใช้บันไดทางด้านทิศเหนือของตัวปราสาทเพราะเป็นดินแดนประเทศไทย แต่ถ้าหากกัมพูชาจะขึ้นมาก็ให้ใช้บันไดทางขึ้นด้านช่องบันไดหักแทน รัฐบาลคุณสมชาย ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เขย (ลุงเขย) ของนายกฯ หญิงได้ยืนยันถึงพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารว่าเป็นของไทยอย่างชัดเจน
       
                 ผมอยากขอบอกท่านนายกฯ หญิงอีกสักเรื่องหนึ่งว่าก่อนหน้าที่รัฐบาลของคุณชวน หลีกภัย จะไปทำข้อตกลงไทย-ลาว เมื่อประมาณ พ.ศ. 2539 และ MOU 43 สภาพโดยทั่วไปของ “เขาพระวิหาร” เมื่อ พ.ศ. 2543 พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย เรามีรั้วลวดหนามที่ล้อมตัวปราสาทไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีปี พ.ศ. 2505 ดังนั้นนอกรั้วลวดหนามทหารพรานและกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ดูแลอย่างชัดแจ้ง เพราะเราได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 ในฐานะเป็นประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ ประเทศจึงจำใจต้องให้อำนาจอธิปไตยที่ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา หรือพูดง่ายๆ ก็คือเราให้อำนาจอธิปไตยเป็นเพียงแค่ซากปรักหักพังแต่มิได้ยกดินแดนให้ พื้นที่ทับซ้อนจึงอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ที่รองรับตัวปราสาทพระวิหาร แต่ในขณะเดียวกัน เราได้มีหนังสือตั้งข้อสงวนสิทธิ์ที่จะเรียกคืนตัวปราสาทในอนาคตโดยได้กระทำต่อหน้าสมาชิกของสหประชาชาติผ่านรักษาการเลขาธิการของสหประชาชาติในเวลานั้น
       
                  ตามหนังสือของกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 กับทั้งมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เราไม่ได้ยกดินแดนโดยรอบและดินแดนใต้ตัวปราสาทให้แก่กัมพูชา แต่เราให้กัมพูชาเข้ามาใช้อำนาจในบริเวณที่ตัวปราสาทโดยเว้นด้านช่องบันไดหักเพื่อให้กัมพูชาได้เข้ามาได้ และประเทศไทยได้ล้อมรั้วลวดหนามยาว 7,000  เมตร ครอบตัวปราสาทพระวิหารคิดเป็นเนื้อที่ทั้งหมด 150 ไร่ เรายังได้จัดทำป้ายทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส โดยมีเนื้อหาใจความว่า นี่คือเขตอาณาบริเวณปราสาทพระวิหาร จากคำสัมภาษณ์ของจอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม และจอมพลประภาส ให้การตรงกันว่า เราไม่ได้ยกดินแดนแต่เราให้เขมรใช้ที่ดินที่รองรับตัวปราสาทกับทั้งอำนาจอธิปไตยที่ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา (ชั่วคราว) ตามคำตัดสินของศาลโลกภายใต้การสงวนสิทธิ์และไม่ยอมรับคำตัดสิน
       
        ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอเตือนนายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ว่าเรามิได้ยกดินแดนโดยรอบให้กับกัมพูชาแต่อย่างใด และการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกอันเกิดขึ้นจากความต้องการของกัมพูชาที่จะให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่ การที่ศาลมีอำนาจในการตีความนี้เป็นการรู้เห็นเป็นใจทั้งฝ่ายกัมพูชาและศาล เมื่อเราเดินทางไปศาลเพื่อแก้ข้อกล่าวหาของกัมพูชา ศาลกลับยกคำคัดค้านของฝ่ายไทย (อันนี้เป็นเพราะข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศบางคนทำสำนวนอ่อน)
       
        อย่างไรก็ดี แผนผังที่ปรากฏตอนท้ายของการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลนั้น ฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาจับยัดมือให้ศาลโลก กัมพูชาจึงได้เปรียบไทยและประเทศไทยของเราอาจสูญเสียดินแดน การที่ท่านนายกฯ หญิงเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อขอความเห็นและมติเรื่องการถอนทหารออกจากพื้นที่ตามคำสั่งของมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลนั้น ย่อมเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนอย่างยิ่ง เพราะประเทศไทยทั้งรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย และคุณทักษิณ ชินวัตร ต่างยอมรับแผนที่ 1:200,000 ให้มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ อันมีผลมาจากการทำความตกลงไทย-ลาว MOU 43 และ TOR 46
       
                    ดังนั้นศาลโลกและโดยการสนับสนุนจากหลักฐานอย่างแข็งขันของกัมพูชาและการทำสำนวนอ่อนด้อยของฝ่ายไทย ศาลโลกย่อมเข้าใจว่าประเทศไทยยินดีใช้แผนที่เก๊มาตราส่วน 1:200,000 ที่ไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนฯ และศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 ก็ไม่เคยตัดสินแผนที่และเส้นเขตแดนบนแผนที่เก๊เลย แต่คราวนี้ประเทศไทยจะต้องสูญเสียดินแดนและอับอายขายหน้าไปทั่วโลก เพราะเรานำแผนที่เก๊ไปใช้ต่อประเทศเพื่อนบ้านให้มีผลผูกพันดังที่กล่าวมาข้างต้น ศาลโลกต้องเข้าใจต่อไปว่าการที่ฝ่ายกัมพูชาเสนอแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรักเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก และศาลโลกก็เป็นเพราะว่าไทยยอมรับแผนที่ตาม MOU 43 และ TOR 46 กับทั้งที่มีประจักษ์พยานว่าฝ่ายไทยได้ยอมรับแผนที่แล้วจากการไปทำความตกลงไทย-ลาว
       
        ผมจึงอยากขอเสนอให้ท่านนายกฯ หญิงกล้าตัดสินใจยกเลิกความตกลงไทย-ลาว MOU 43 และ TOR 46 เพื่อแก้ไขสถานการณ์และอย่าไปศาลโลกเลย เพราะศาลโลกเป็นศาลที่อยุติธรรมกับประเทศไทยเสมอมา อนึ่ง ผมไม่อยากให้ประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเราชาวไทย ต้องสูญเสียดินแดนเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษาเลย เพราะจะเป็นเรื่องน่าอายระดับที่ไทยยังต้องสูญเสียดินแดนอีกในปัจจุบัน

โดย เทพมนตรี ลิมปพยอม    15 พฤศจิกายน 2554
.......................................................................

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด
 ด้วยความปรารถนาดีที่คิดในเชิงบวกว่าท่านนายกฯ หญิงมิได้รู้เรื่องปราสาทพระวิหารเลย เพราะ
       
        1. เกิดไม่ทัน
       
        2. เมื่อเกิดไม่ทันแล้วก็ไม่เคยศึกษา
       
        3. รัฐบาลนอมินีพี่ชาย (พ่อ) ไปทำจนเสียเรื่องด้วยการปล่อยให้เขมรขึ้นมาอยู่บนปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ
       
        4. รัฐบาลคุณสมชายพี่เขย (ลุงเขย) ก็ปล่อยให้เขมรเขามา แต่ก็ยังดีที่ยืนยันว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย
       
        5. การเป็นนายกฯ หญิงงานเยอะผมรู้ผมเข้าใจแต่ไม่ให้อภัย เพราะการเป็นนายกฯ ไม่ใช่เด็กทดลองงานบริษัท และช่วงนี้งานเข้า จึงอาจไม่มีเวลาใส่ใจต่อปัญหาปราสาทพระวิหาร
       
        6. นายกฯ หญิงกังวลเรื่องพี่ชาย (พ่อ) เรื่องการอภัยโทษมากเป็นพิเศษจนลืมเรื่องของประเทศชาติและการสูญเสียดินแดน
       
        7. นายกฯ หญิงใครๆ ก็รู้ว่าพี่ชาย (พ่อ) เลือกมาให้เป็นนายกฯ ดังนั้นไม่เคยได้เตรียมตัวหรือหาความรู้ในฐานะและตำแหน่งความเป็นนายกฯ มาล่วงหน้า จึงออกอาการโง่หลายต่อหลายครั้ง ไม่รู้แม้กระทั่งเดือนพฤศจิกายนเพราะเธอเชื่อว่าคือเดือนพฤศจิกาคม
       
        8. เรามีนายกฯ เครื่องสำอางสินค้าแบรนด์เนม การบ้านการเมืองไม่รู้เรื่องแต่การมุ้งผมก็มิอาจก้าวล่วงที่จะรู้ได้
       
        ดังนั้นด้วยเหตุนี้ด้วยคะแนน 10:0 ผมจึงต้องให้ข้อมูลท่านนายกฯ หญิงเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
       
        ในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกได้ตัดสิน ศาลได้ตัดสินตามคำฟ้องของกัมพูชา เมื่อกัมพูชาเสนอคำฟ้อง กัมพูชาเสนอให้ศาลตัดสินว่า “ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนพื้นที่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา” และอื่นๆ อีก 2 ข้อ ประเด็นของเรื่องจริงอยู่ที่ว่าจะตีความคำพิพากษาอย่างไรเพื่อให้เป็นไปตามที่ศาลได้ตัดสินและกัมพูชายอมรับ  ฝ่ายไทยในเวลานั้นโดยเฉพาะศาสตราจารย์อังรี โรแลง ที่เป็นหนึ่งในคณะทนายความของไทยและมีความสัมพันธ์อันดีต่อศาลโลก ได้เสนอความเห็นไว้ว่าศาลไม่ได้ตัดสินแผนที่และเส้นเขตแดนบนแผนที่ซึ่งเป็นผลดีต่อไทย ศาลได้แค่อำนาจอธิปไตยที่ตัวปราสาทพระวิหาร
       
        ต่อมาเมื่อกระทรวงการต่างประเทศได้แปลคำพิพากษา และฝ่ายไทยได้ตั้งข้อสงวนสิทธิ์ไม่เห็นด้วยต่อคำตัดสินของศาลโลก กระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมีความสัมพันธ์พิเศษกับนายกรัฐมนตรี(จอมพลสฤษดิ์) ได้จัดการประชุมนัดพิเศษโดยมีผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดวิธีปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาเนื่องจากไทยเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาติ การประชุมครั้งนั้นได้เลือกวิธีที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
       
        กล่าวคือให้จัดทำรั้วลวดหนามความยาวประมาณ 7,000 เมตรล้อมอาณาบริเวณรอบตัวปราสาทพระวิหาร จัดทำป้ายแสดงอาณาบริเวณ และกำชับให้เจ้าหน้าที่ห้ามคนเข้าออกบริเวณปราสาทพระวิหาร โดยได้เสนอเป็นมติคณะรัฐมนตรี เมื่อมติคณะรัฐมนตรีออกมาในวันที่ 10 กรกฎาคม 2505 ได้ย้ำให้เห็นว่าให้คืนพื้นที่ที่รองรับตัวปราสาทเท่านั้น
       
        พูดภาษาชาวบ้านก็คือพื้นดินที่รองรับตัวปราสาทเพื่อให้กัมพูชาได้เข้ามาใช้อำนาจอธิปไตยที่ปราสาทพระวิหาร โดยฝ่ายไทยเป็นผู้ปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ตัดสินว่า “ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนพื้นที่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา” ฝ่ายไทยได้อนุญาตให้กัมพูชาขึ้นมาที่ตัวปราสาทตรงช่องบันไดหักตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อเราได้ดำเนินการสร้างรั้วลวดหนามครอบตัวปราสาทเสร็จแล้ว เราได้รายงานอย่างเป็นทางการไปถึงองค์การสหประชาชาติและบอกต่อกัมพูชา ด้วยเหตุนี้กษัตริย์สีหนุจึงเสด็จมายังช่องบันไดหัก (บันไดของคนวรรณะต่ำในศาสนาพราหมณ์) เพื่อขึ้นมาเป็นประธานในพิธีชักธงขึ้นเสาแสดงอำนาจอธิปไตยตามคำพิพากษา
       
        ดังนั้นการที่สมเด็จฮุนเซนส่งกองกำลังทหารติดอาวุธเข้ามายังอาณาบริเวณนอกรั้วลวดหนามที่เราล้อมรอบตัวปราสาท การตัดถนนจากบ้านโกมุยฝั่งเขมรขึ้นมายังตัวปราสาทพระวิหารทำลายอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารของไทยขึ้นมาตั้งวัดแก้วฯ ซึ่งเป็นวัดเถื่อนในดินแดนประเทศไทย กับทั้งยังทำแผนบริหารจัดการมรดกโลกรุกล้ำดินแดนประเทศไทย แบบนี้ถือว่าสมเด็จฮุนเซนตั้งใจเข้ามายึดดินแดนประเทศไทย ทั้งสมเด็จสีหนุและบ่าวอย่างนายฮุนเซนต่างสมรู้ร่วมคิดเข้ามายึดดินแดนของไทยไป ในฐานะนายกรัฐมนตรีจึงต้องสั่งการให้ทหารเข้าไปยึดดินแดนประเทศไทยของเราคืนมา
       
        ในท้ายของบทความวันนี้ ผมจึงขอเรียกร้องให้ท่านนายกฯ หญิงของคนไทยคนแรก และอาจเป็นคนสุดท้ายโปรดสั่งการให้ทหารเข้ายึดพื้นที่คืนและไล่ทหารเขมรออกไป ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลโลกและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี 10 กรกฎาคม 2505 ผมได้ฟังว่าท่านนายกฯ หญิงบอกว่าจะเชื่อฟังศาลโลก นี่ไงผมก็ได้บอกข้อมูลแล้วและให้ดีเราทวงปราสาทพระวิหารคืนตามข้อสงวนสิทธิ์ที่ไม่มีอายุความ ถ้าทำได้ผมให้ทักษิณที่เป็นพี่ชาย (พ่อ) กลับมาประเทศ และผมขอสัญญาว่าจะเข้าไปขอขมาก้มลงกราบตีนเลย 55555555555

โดย เทพมนตรี ลิมปพยอม    22 พฤศจิกายน 2554
.......................................................................
 นับตั้งแต่ศาลโลกได้ตัดสินคดีปราสาทพระวิหารเมื่อ พ.ศ. 2505 ประเทศไทยได้ตั้งข้อสงวนสิทธิ์ที่จะเรียกคืนตัวปราสาทพระวิหารในอนาคตตามข้อกำหนดของตัวบทกฎหมายและต่อมาเราได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่10 กรกฎาคม 2505 ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ เราได้กั้นอาณาบริเวณด้วยรั้วลวดหนาม (ไม่เคยยกดินแดนให้เขมร) ให้เขมรเข้ามาใช้อำนาจอธิปไตยที่ตัวปราสาทตามคำตัดสินของศาลโลก รั้วลวดหนามที่มีความยาว 7,000 เมตร และการจัดทำป้ายแสดงอาณาบริเวณปราสาทพระวิหารยังคงดำรงอยู่เรื่อยมาจนกระทั่วถึง พ.ศ. 2543 ป้ายอาณาบริเวณถูกทำลาย พ.ศ. 2546
       
        ประตูเหล็กที่เชิงบันไดนาคถูกรื้อทิ้งด้วยน้ำมือของนายอำเภอกันทรลักษ์ (ห่างจากบันได 20 เมตร) แต่รั้วลวดหนามที่ล้อมรอบตัวปราสาทยังคงปรากฏอยู่ ภรรยาชาวเขมรที่เป็นเจ้าหน้าที่ใช้สำหรับตากเสื้อผ้า เสาเหล็กที่ขึงรั้วลวดหนามบางตอนนำไปเป็นส่วนประกอบของเพิงพักชาวเขมร ฝ่ายราชการไทยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนต่างปล่อยปละละเลยให้เขมรขนคนขึ้นมาอาศัยอยู่ในและนอกอาณาบริเวณที่เรากั้นรั้วลวดหนามเอาไว้ และสำหรับคนไทยทั้งหลายในประเทศนี้ต่างก็เชื่อสนิทใจว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรไปแล้ว โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาก็ไม่เคยสั่งสอนให้นักเรียนนักศึกษาได้รู้ว่าศาลโลกได้ตัดสินอย่างฉ้อฉลและลำเอียงเข้าข้างฝ่ายเขมรด้วยการตัดสินตามกฎหมายปิดปาก (ตามอำเภอใจ)
       
        ตลอดจนถึงครูบาอาจารย์ประวัติศาสตร์ก็ไม่สนใจที่จะให้นักเรียนนักศึกษาได้ล่วงรู้ความจริงสำหรับเรื่องนี้เลย ต่างสอนว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรไปแล้วโดยตัดตอนเนื้อหารายละเอียดและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ออกไป แม้แต่การที่คณะรัฐมนตรีรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ได้ไปตั้งข้อสงวนสิทธิ์ไว้ที่สหประชาชาติ การล้อมรั้วลวดหนามให้เขมรเข้ามาใช้อำนาจอธิปไตยเป็นการชั่วคราวจนกว่าประเทศไทยจะทวงปราสาทพระวิหารคืน หรือการอธิบายว่าประเทศไทยเรายังครอบครองอาณาบริเวณโดยรอบและเราคืนอำนาจอธิปไตยโดยให้พื้นที่ที่รองรับตัวปราสาทเท่านั้น ก็ไม่เคยสั่งสอนหรือสำเหนียกต่อเรื่องนี้
       
        นอกจากนี้ฝ่ายทหารเองก็ไปจัดทำแผนที่ที่ผิดพลาด ระวาง L7017 ไประบุว่าตรงรั้วลวดหนามนั้นคือพรมแดนตรงจุดนี้ก็ยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปในวงกว้าง (แม้แต่รัฐมนตรีต่างประเทศคุณนพดลก็ยังเข้าใจผิดเลย )
       
        ผมไม่แปลกใจเลยว่าผู้คนทุกระดับในสังคมไทยจะไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้ทุกคนกลับเชื่อสนิทว่าปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบเป็นของเขมร แม้แต่ครูบาอาจารย์ของผมเองก็เชื่อเช่นนั้น
       
        ผมอยากจะบอกท่านนายกฯ หญิงว่า แม้แต่กระทรวงการต่างประเทศถ้าฝ่ายธรรมะยืนยันอย่างรุนแรงกระทรวงการต่างประเทศจะออกมายืนยันว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย แต่ถ้าเมื่อไหร่ฝ่ายอธรรมเข้าครอบครองกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงนี้ก็จะยืนยันว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน (ทับซ้อนเตี่ยมึงซิ)
       
        หลังจากคุณอภิสิทธิ์หมดวาระการเป็นนายกฯ รัฐบาลของท่านนายกฯ หญิงก็ทำการสับเปลี่ยนผู้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อเรื่องนี้โดยเฉพาะผู้แทนไทยที่จะไปสู้คดีที่เขมรขอตีความคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 ก็เอาคนของตัวเองเข้ามาโดยมิได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ คุณธรรมและจิตใจที่พร้อมจะปกป้องผืนแผ่นดิน บางคนยังมีฐานะทางจิตวิญญาณเป็นคนของสมเด็จฮุนเซนเสียด้วยซ้ำเพราะมีพฤติกรรมเข้าข้างลำเอียงไปทางฝ่ายเขมรอย่างเห็นได้ชัดมาตลอด
       
        เมื่อพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย กับทั้งตัวปราสาทพระวิหารฝ่ายไทยได้ตั้งข้อสงวนสิทธิ์เอาไว้ ดังนั้นการที่ฝ่ายเขมรนำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนต่อคณะกรรมการมรดกโลกก็ถือว่าเป็นการนำเอาดินแดนและอธิปไตยของไทยบนพื้นที่โดยรอบเอาไปขึ้นทะเบียนเป็นของประเทศเขมร ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาของคณะรัฐมนตรีหรือข้าราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งปล่อยให้เขมรกล้ากระทำเช่นนี้มาตั้งแต่พ.ศ. 2550
       
        “เขมรมีชัยๆ” 55555 หรือนัยว่าเมื่อ พ.ศ. 2505 สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุได้รับชัยชนะด้วยคำตัดสินอันฉ้อฉลของศาลโลก ฝ่ายไทยจำยอมที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาเราสูญเสียอำนาจอธิปไตยที่ตัวปราสาท โดยไปกั้นรั้วลวดหนามให้เขมรเข้ามาใช้อำนาจอธิปไตยได้ เขมรต้องปีนขึ้นมาทางด้าน “ช่องปันไดหักW ส่วนด้านทิศเหนือซึ่งเป็นทางขึ้นหลักจากบันไดสิงห์ขึ้นมาถึงบันไดนาคฝ่ายไทยได้ปิดประตูตาย พอมาถึงรัฐบาลภายใต้การนำของสมเด็จฮุนเซนได้ส่งกองกำลังติดอาวุธเข้ามายึดดินแดนโดยรอบปราสาทพระวิหาร และดินแดนที่ไม่เคยเกี่ยวข้องในคดีนี้ คือ บริเวณภูมะเขือ (เขมรมาตั้งเรดาร์) ก็พลอยฟ้าพลอยฝนถูกเขมรเอาไปด้วย
       
        สรุป สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุได้อำนาจอธิปไตยจากศาลชั่ว (ศาลโลกคณะเก่า)ส่วนสมเด็จฮุนเซนได้ดินแดนโดยรอบของไทยโดยมีตรายางของคณะกรรมการมรดกโลกและตราประทับจากศาลโลก (คณะใหม่)
       
        ดังนั้น ด้วยฝีมือการบริหารประเทศที่ไม่เอาอ่าวของท่านนายกฯ หญิง บวกกับทหารไทยที่มีแต่น้ำพริกไร้น้ำยานั่งทำตาปริบๆ คอยรับคำสั่งจากนักการเมือง คนอย่างผมคงไม่มีปัญญาไปบังคับพวกท่านให้ปกป้องรักษาอธิปไตยและดินแดน คนอย่างผมทำได้แค่เขียนบันทึกประวัติศาสตร์ว่าใครดีใครชั่ว ทำอะไรที่ไหนอย่างไรกับกรณีปราสาทพระวิหาร ผมได้ตัดสินพวกท่านไปนานแล้วว่าเป็น “คนประเภทไม่รักแผ่นดิน” แต่สำหรับลูกหลานในอนาคตผมมิอาจคาดเดาได้ว่าเขาจะตัดสินและจะโจษจันชื่อและนามสกุลของพวกท่านไว้ว่าอย่างไร
       
        ถ้าให้ผมเดาเอาผมคิดว่า “พวกท่านละทิ้งหน้าที่ ขายชาติขายแผ่นดินเฉลิมฉลองวโรกาสครบ 7 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทยของคนที่เขารักในหลวงทั้งแผ่นดิน แลพวกท่านยังเป็นลูกกระจ็อกงอกง่อยของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซนอีกด้วย” ฮุนเซนจงเจริญ ฮุนเซนจงเจริญ ฮุนเซนจงเจริญ 55555555

โดย เทพมนตรี ลิมปพยอม    1 ธันวาคม 2554
manager.co.th