ผู้เขียน หัวข้อ: มอเตอร์เวย์น้ำกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในภาคกลางเชิงบูรณาการอย่างยั่งยืน-ทีมกรุ๊ป  (อ่าน 1921 ครั้ง)

pradit

  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *****
  • กระทู้: 322
    • ดูรายละเอียด


แผนที่เตือนภัยน้ำท่วม 21 พย 2554



การป้องกันน้าท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร อย่างยั่งยืนนั้น จากการศึกษาของทีมกรุ๊ป โดยใช้แบบจาลองชลศาสตร์-อุทกวิทยาที่สร้างขึ้นมาเป็นการเฉพาะสาหรับลุ่มน้าเจ้าพระยาพบว่า มีความจาเป็นที่จะต้องก่อสร้างระบบระบายน้า เพื่อให้สามารถเร่งการระบายน้าลงสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็วทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังจากมวลน้าขนาดใหญ่ไหลเข้าสู่พื้นที่ในเขตภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร วิกฤติน้าท่วมใหญ่ที่เกิดในปี พ.ศ. 2554 นี้ จึงเป็นโอกาสที่จะทาให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจถึง มหันตภัยอันเกิดจากน้าท่วมใหญ่ ซึ่งมีความรุนแรงที่ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก ที่ทางรัฐจะต้อง มีการดาเนินการก่อสร้างโครงการต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเช่นที่เกิดในปี 2554 ขึ้นอีกการก่อสร้างดังกล่าวประกอบด้วย 7 โครงการหลักที่สาคัญ แบ่งเป็นแผนการดาเนินงานในระยะสั้น กลาง ยาว ได้ดังนี้



แผนระยะสั้น ระยะเวลาดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี

(1) การปรับปรุงระบบระบายน้าในปัจจุบัน : ประกอบด้วย การขุดลอกคูคลอง ปรับปรุงพนังกั้นน้า ประตูระบายน้า และสถานีสูบน้า
การปรับปรุงคลอง : มีคูคลองจานวนมากที่มีการตกตะกอน รวมทั้งการที่ประชาชน รุกล้าเข้าไปอยู่อาศัยในเขตคลอง ดังนั้นจึงจาเป็นต้องมีการขุดลอกตะกอนดินอย่างสม่าเสมอ และป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าไปอาศัยอยู่ในเขตคลอง โดยเฉพาะคลองสายหลัก และสายอื่นๆ ที่ใช้ในการระบายน้าลงสู่ทะเล ซึ่งจากประสบการณ์น้าท่วมในปี พ.ศ 2554 นี้ก็สามารถจะกาหนดได้ว่าคลองใดบ้างที่จะต้องใช้เป็นคลองระบายน้าลงสู่แม่น้าเจ้าพระยา แม่น้าท่าจีน เพื่อระบายลงสู่ทะเล ในบางแห่งจะต้องขยายคลองปรับเปลี่ยนจากคลองส่งน้ามาเป็นคลองระบายน้าด้วย อย่างไรก็ตามการขุดลอกคูคลองนี้มีความจาเป็นต้องดาเนินการในทุกๆ คลอง หมุนเวียนกันไปโดยจะต้องกาหนดไว้ว่าคลองใดจะเป็นคลองสายหลัก และ คลองสายรองที่จะใช้ระบายน้าเพื่อจะได้จัดเรียงลาดับความสาคัญก่อนหลังในการดาเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปรับปรุงพนังกั้นน้า : จะต้องมีการปรับปรุงพนังกั้นน้าต่างๆ ที่เสียหายจากน้าท่วมใหญ่ในปี 2554 นี้ รวมทั้งในจุดที่มีความสาคัญมีความเสี่ยง ควรมีการเสริมความแข็งแรงของพนังกั้นน้า และพิจารณาความสูงให้เหมาะสม เป็นไปตามหลักวิชาการ และสอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อสามารถป้องกันน้าท่วมในภาพรวมให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้อย่างแท้จริง
การปรับปรุงประตูระบายน้า : จะต้องมีการบารุงรักษาให้ประตูระบายน้าสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ ปรับปรุงบานและเครื่องกว้านให้มีขนาดเพียงพอในการรองรับปริมาณน้าในปริมาณมากๆ เท่ากับในปี 2554 นี้ได้อย่างเพียงพอ โดยที่สามารถใช้งานได้ทั้งการส่งน้า และระบายน้า ซึ่งในบางแห่งอาจจะต้องมีการขยายเพิ่มขนาดบานและอาคารด้วย นอกจากนี้ ในส่วนอาคารโครงสร้าง ชุดเครื่องกว้าน บานระบาย ก็จาเป็นต้องมีการซ่อมบารุงให้มีสภาพดี แข็งแรง สามารถใช้งานได้ตลอดเวลา

สถานีสูบน้า : จะต้องมีการบารุงรักษา และซ่อมแซม ปรับปรุงเครื่องสูบน้าและอาคารประกอบให้มีความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นชนิดและขนาดของเครื่องสูบน้าจะต้องมีความเหมาะสมทั้งที่จะใช้ในการสูบส่ง และการสูบระบาย

อนึ่งการปรับปรุงคูคลองทั้งหมดนี้ย่อมจะมีปัญหาด้านมวลชนที่อาศัยอยู่ในเขตคลอง จะต้องมีการศึกษาด้านการเวนคืน การจ่ายค่าชดเชย ซึ่งในปี 2554 ที่เกิดวิกฤติน้าท่วมใหญ่นี้ถือเป็นโอกาสหนึ่งที่รัฐจะทาความเข้าใจกับประชาชนได้ง่ายขึ้น เพราะทุกคนได้เห็นถึงผลเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบุกรุกที่ดินเขตคลองและการสร้างโรงงาน อาคาร และบ้านเรือนที่อยู่อาศัยอยู่ในเส้นทางน้า (Floodway) ที่จะระบายลงสู่ทะเล

แผนระยะกลาง ระยะเวลาดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 2-5 ปี

(1) พัฒนาพื้นที่ลุ่มต่าเป็นพื้นที่แก้มลิง : จะต้องมีการกาหนดให้พื้นที่เกษตรกรรมที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่าที่มีศักยภาพที่จะเป็นพื้นที่แก้มลิง ซึ่งจากผลการศึกษาของทีมกรุ๊ปร่วมกับกรมชลประทานพบว่า สามารถดาเนินการ โดยแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คือพื้นที่ตอนบน บริเวณเหนือจังหวัดนครสวรรค์ และพื้นที่ตอนล่าง บริเวณจังหวัดอ่างทอง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งในปัจ จุบันในส่วนนี้ได้ศึกษากาหนดพื้นที่ไว้แล้ว รวม 8 พื้นที่ ศึกษาถึงระบบพนังของพื้นที่ปิดล้อม และระบบประตูระบายน้าต่างๆ อย่างครบถ้วน และได้กาหนดค่าชดเชยให้แก่ประชาชนที่เป็นเจ้าของพื้นที่การเกษตรในพื้นที่แก้มลิงดังกล่าว โดยได้ทาความเข้าใจจนเป็นที่ยอมรับว่าเกษตรกรสามารถเพาะปลูกพืชต่างๆ ไปตามปกติ และหากปีใดที่มีน้าปริมาณมาก ก็จะขอใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นแก้มลิงเพื่อใช้ในการตัดยอดน้าหลากในภาวะวิกฤติ แล้วทางรัฐก็จะจ่ายค่าชดเชยให้ในราคาที่เหมาะสมกับความเสียหายในปีนั้นๆ ต่อไป จากการศึกษาพบว่าสามารถใช้พื้นที่แก้มลิงซึ่งมีความจุรวมประมาณ 1,000 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ดังกล่าวในการตัดยอดน้า ลดความลึกของน้าท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(2) ปรับปรุงคลองบางแก้ว-แม่น้าลพบุรี : จะต้องปรับปรุงและขยายคลองบางแก้ว-แม่น้าลพบุรี และเพิ่มช่องการระบายน้าของ ปตร.ปากคลองบางแก้ว ปตร.ปากคลองพระครู และ ปตร.ปลายคลองบางแก้ว และปลายแม่น้าลพบุรี เพื่อให้สามารถเร่งการระบายน้าลงสู่มอเตอร์เวย์น้าได้อย่างรวดเร็ว เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะสามารถลดระดับน้าท่วมในพื้นที่อาเภอเมืองอ่างทองลงได้ 49 เซ็นติเมตร และสามารถลดระยะเวลาการท่วมในพื้นที่ดังกล่าวลงได้ 18 วัน

(3) ขุดช่องลัดแม่น้าท่าจีนและก่อสร้างประตูระบายน้าควบคุม 4 แห่ง : เป็นการเร่งระบายน้าทางฝั่งตะวันตก โดยน้อมนาพระราชดาริที่ดาเนินการที่บางกระเจ้า โดยการขุดคลองลัดโพธิ์ และก่อสร้างบานประตูเพื่อควบคุมและระบายน้า เพื่อการบรรเทาอุทกภัย ได้น้อมนาเอาแนวพระราชดาริดังกล่าวมาใช้ในแม่น้าท่าจีน เพื่อช่วยให้ระบายน้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
จากการศึกษาพบว่า มีความเหมาะสมที่จะขุดช่องลัดในคุ้งน้าที่คดเคี้ยวของแม่น้าท่าจีน จานวน 4 แห่ง และก่อสร้างประตูน้าในทุกๆ ช่องลัด เพื่อควบคุมการปิด-เปิด ระบายน้าให้สอดคล้องกับจังหวะการขึ้น-ลง ของน้าทะเล จะลดระยะทางการไหลของน้าในส่วนดังกล่าวจาก 48 กิโลเมตร ลดลงเหลือ 10 กิโลเมตร ซึ่งจะสามารถเร่งการระบายน้าลงสู่ทะเลได้เพิ่มมากขึ้นอีกวันละ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร

แผนระยะยาว ระยะเวลาดำเนินการแล้วเสร็จมากกว่า 5 ปี

(1) การก่อสร้างมอเตอร์เวย์น้า : เนื่องจากปริมาณการจราจรของเส้นทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความหนาแน่น โดยเฉพาะในช่วงธัญญบุรี ถึงลาดกระบังซึ่งได้มีการขยายเส้นทางไปแล้ว แต่ก็ยังไม่พอเพียง จึงมีความจาเป็นต้องพัฒนาโครงการก่อสร้างถนนวงแหวนรอบที่ 3 ในขณะเดียวกันในด้านการระบายน้าทางฝั่งตะวันออกนั้นก็จาเป็นจะต้องเพิ่มการระบายน้า เพื่อทดแทนทางน้าหลาก (Floodway) ที่มีอยู่ในสมัยโบราณ เนื่องจากแม่น้าเจ้าพระยาสามารถระบายน้าได้สูงสุด 300 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวันเท่านั้น ในปี พ.ศ. 2542 ทีมกรุ๊ปได้เคยร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency- JICA) ศึกษาแนวทางในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในภาคกลางและได้ร่วมกันวางแนวทางในการก่อสร้างคลองผันน้าขนาดใหญ่จากบางไทรระบายลงไปสู่อ่าวไทยผ่านทุ่งตะวันออกของกรุงเทพฯ

จากปัญหาน้าท่วมใหญ่ในปี 2554 นี้ ทาให้เห็นว่ามีความจาเป็นจะต้องหาวิธีการเร่งระบายน้าในพื้นที่ภาคกลางตอนล่างและกรุงเทพมหานครเพิ่มเติมนอกเหนือจากการระบายน้าผ่านทางแม่น้าเจ้าพระยา และแม่น้าท่าจีนเท่านั้น ทีมกรุ๊ปได้เคยศึกษาการก่อสร้างมอเตอร์เวย์น้า ควบคู่ไปกับถนน วงแหวนรอบที่ 3 ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จึงเห็นว่ามีความจาเป็นที่จะต้องเร่งการก่อสร้างโครงการดังกล่าว อนึ่งในอดีตได้เคยมีการศึกษาเรื่องการก่อสร้าง Floodway แบบธรรมชาติ โดยวิธีการนี้จะใช้พื้นที่เป็นบริเวณกว้างประมาณ 2-5 กิโลเมตร เพื่อเป็นทางน้าผ่านระบายน้าจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผ่านทางทุ่งรังสิต หนองเสือ และผ่านทุ่งด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ ลงไปสู่ทะเล ซึ่งในปัจจุบันสภาพการใช้ที่ดินได้เปลี่ยนแปลงไปมากมีสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เป็นจานวนมาก การก่อสร้างทางน้าหลาก (Floodway) ในพื้นที่บริเวณกว้างจะทาได้ยากขึ้น และทางน้าอาจจะคดเคี้ยวเนื่องจากต้องหลบสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เหล่านั้น ทีมกรุ๊ปจึงได้เสนอแนวทางในการก่อสร้างมอเตอร์เวย์น้า ซึ่งกาหนดไว้เป็นการขุดคลองระบายน้า ในขนาด 1,150 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สามารถระบายน้าได้ 100 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน

มอเตอร์เวย์น้า จะขุดเป็นคลองที่มีความกว้าง 180 เมตร ลึกประมาณ 8 เมตร มีประตูควบคุมน้าที่ตอนเหนือบริเวณบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และมีประตูควบคุมน้าที่บริเวณท้ายน้า รวมทั้งมี ประตูเรือ (Navigation Lock) ที่ให้เรือผ่านเข้าออกได้ ใช้เป็นเส้นทางเดินเรือบรรทุกสินค้าขนาด 3,000 ตันได้ ซึ่งจะทาให้ลดปริมาณการจราจรทางน้าในแม่น้าเจ้าพระยาได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้น้าในคลองจะถูกเก็บกักและควบคุมให้เป็นน้าจืดที่สามารถใช้เป็นน้าสารองสาหรับใช้เป็นแหล่งน้าดิบในการผลิตน้าประปาสาหรับกรุงเทพฯ ด้านฝั่งตะวันออกได้อีกด้วย

มอเตอร์เวย์น้า นี้จะก่อสร้างคู่ขนานไปกับถนนวงแหวนรอบที่ 3 โดยมีคลองอยู่ตอนกลาง ซึ่งจะมีส่วนของถนนที่ใช้เป็นทางด่วนเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอยู่ด้านหนึ่ง และมีถนนคู่ขนาน (Local Road) สองข้าง สามารถบริการประชาชนได้โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียม

ส่วนที่ดินบริเวณสองข้างของถนนคู่ขนานเลียบมอเตอร์เวย์น้านี้ จะมีโอกาสพัฒนาให้มีความเจริญขึ้น ทั้งทางด้านการพัฒนาเป็นชุมชนที่พักอาศัยที่ทันสมัย อยู่ใกล้คลองที่จะมีน้าอยู่ตลอดปี และพื้นที่ใกล้เคียงถัดออกไปสามารถใช้ในการเกษตรกรรมแผนใหม่ โดยในปัจจุบันบริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จากัด (มหาชน) ได้เริ่มมีการส่งเสริมให้ปลูกต้นปาล์มแทนสวนส้มที่ได้รับความเสียหายในพื้นที่บริเวณทุ่งหนองเสือ โดยจะใช้น้ามันปาล์มมาผลิตเป็น Bio Diesel ต่อไป นอกจากนี้ยังพัฒนาด้านการท่องเที่ยวทางน้าได้อีกด้วย และส่วนของทางด่วนนั้นจากการศึกษาพบว่าจะสามารถเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางได้ประมาณ 3,500 ล้านบาท ต่อปีอีกด้วย

จากการใช้แบบจาลองชลศาสตร์-อุทกวิทยา (River Network Model) ที่ทีมกรุ๊ปได้พัฒนาขึ้นมาเป็นการจาเพาะสาหรับลุ่มน้าเจ้าพระยาซึ่งได้สอบเทียบ และใช้งานอย่างได้ผลดีมาตลอด 30 ปี และในการศึกษา ระบบระบายน้าที่ปรับปรุงใหม่นี้ทั้งระบบดังกล่าวแล้วพบว่าการใช้มอเตอร์เวย์น้าเป็นทางระบายน้าหลักอีกสายหนึ่งบูรณการร่วมกับแม่น้าเจ้าพระยา แม่น้าท่าจีน และการปรับปรุงทั้งระบบแล้วจะสามารถระบายน้าจากตอนเหนือ และจากลุ่มน้าเจ้าพระยาทั้งหมดได้รวม 550 ล้าน ลบ.ม./วัน สามารถบริหารจัดการน้าท่วมใหญ่ที่มีมวลน้าที่มากมายทั้งในสภาพปี พ.ศ. 2538 และปี พ.ศ. 2554 นี้ได้อย่างเพียงพอแน่นอน ไม่เกิดความเสียหายอย่างที่เกิดในปีพ.ศ. 2554 อีกต่อไป

(2) ปรับปรุงคลองชัยนาท-ป่าสัก : จะต้องปรับปรุงคลองชลประทานชัยนาท-ป่าสัก ซึ่งปัจจุบันมีขนาดความจุ 210 ลบ.ม./วินาที ส่งน้าได้วันละ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร ขยายขนาดคลองและปรับเปลี่ยนไปเป็นคลองระบายน้าขนาด 500 ลบ.ม./วินาที ระบายน้าได้วันละ 43 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อเร่งการระบายน้าจากนครสวรรค์และชัยนาท ไม่ให้เกิดการสะสมในทุ่ง โดยก่อสร้างให้ไปเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์น้า เพื่อเร่งการระบายน้าลงสู่ทะเลต่อไป

(3) การก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น และเขื่อนแม่วงก์ : จะต้องพิจารณาคัดเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนาโครงการก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่มีความจุอ่างเก็บน้า 730 ล้านลูกบาศก์เมตร และเขื่อนแม่วงก์ ที่มีความจุอ่างเก็บน้า 230 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อใช้เป็นแหล่งเก็บกักน้าไว้ใช้ในฤดูแล้ง และสามารถใช้บรรเทาอุทกภัยได้ในฤดูฝนอีกด้วย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ข่าวแจกฉบับที่ 5 จาก TeamGroup
25 พฤศจิกายน 2554
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 พฤศจิกายน 2011, 00:31:14 โดย pradit »