ผู้เขียน หัวข้อ: ทำงานไม่เป็น + ตะกลาม= ??  (อ่าน 1301 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9755
    • ดูรายละเอียด
ทำงานไม่เป็น + ตะกลาม= ??
« เมื่อ: 29 ตุลาคม 2011, 22:04:03 »
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในขณะที่ถนนกลายเป็นคลอง ทางด่วนกลายเป็นที่จอดรถ โจรในภาคใต้เปิดฉากโจมตีรำลึกเหตุการณ์ตากใบที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 85 คน ด้วยการวางระเบิดเกือบ 20 จุดทั่วเมืองยะลา ส่งผลให้มีคนเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 33 คน
       
       นี่คือ การล้างแค้นจากเหตุการณ์ฆ่าพี่น้องมุสลิมในรัฐบาลทักษิณ เมื่อปี 2547
       
       เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ในอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 85 คน หลังเจ้าหน้าที่จับกุมชายมุสลิม 6 คน จนนำไปสู่การเดินขบวนเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว มีการปิดล้อมสถานีตำรวจ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงจะใช้แก๊สน้ำตาและยิงตอบโต้
       
       เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐสลายการชุมนุม ก็มีการจับกุมผู้ชุมนุมได้หลายร้อยคน โดยคนทั้งหมดถูกถอดเสื้อ ผูกมือไพล่ติดกับหลัง และถูกจัดท่าให้นอนราบลงกับพื้น
       
       ระหว่างการจับกุมทหารเตะและทุบตีประชาชนที่ถูกจับมัดมือไว้เรียบร้อยแล้วและนอนอยู่บนพื้นโดยไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ผู้ที่ถูกจับกุมถูกทหารโยนเข้าไปในรถบรรทุก เพื่อนำไปส่งยังค่ายทหารในจังหวัดปัตตานี
       
       โดยผู้ที่ถูกจับกุมนอนทับกันถึง 5-6 ชั้น ในรถบรรทุก ส่งผลให้เกือบร้อยคนเสียชีวิต เพราะขาดอากาศหายใจ
       
       เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
       
       อันที่จริงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ น่าจะจ่ายชดเชยแทนพี่ชาย ศพละ 30 ล้านบาท ก็พอจะไถ่บาปได้บ้าง
       
       มิเช่นนั้นการก่อวินาศกรรมในช่วงเดือนตุลาคม ก็จะเกิดขึ้นทุกปี เพื่อตอกย้ำความแค้นเหตุการณ์ตากใบ
       
       รวมทั้งชีวิตครู เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหาร อีกนับพันคน
       
       ในอดีตที่ผ่านมา ผู้นำรัฐบาลที่มาจาก “กองศพนับพัน” ไม่เคยมีชีวิตที่สุขสบายเลยสักคนเดียว
       
       แม้กระทั่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์
       
       ยอดผู้เสียชีวิตจากการบริหารน้ำผิดพลาดของยิ่งลักษณ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 400 คน
       
       ข้อมูล ณ วันที่ 26 ตุลาคม ของศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.) ระบุว่า สถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย 26 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร อุบลราชธานี ขอนแก่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ฉะเชิงเทรา นครนายก และปราจีนบุรี
       
       รวมทั้งหมด 162 อำเภอ 1,297 ตำบล 9,937 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 807,865 ครัวเรือน 2,428,907 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย 10,687,143 ไร่ พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาดว่าจะเสียหาย บ่อปลา 205,990 บ่อ ด้านปศุสัตว์ สัตว์ได้รับผลกระทบรวมทั้งสิ้น 12,585,249 ตัว
       
       มีผู้เสียชีวิตแล้ว 373 ราย สูญหาย 2 คน
       
       ภาคอุตสาหกรรมเสียหายนับล้านล้านบาท โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนคร นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เขตอุตสาหกรรมโรจนะ เขตอุตสาหกรรมนวนคร สวนอุตสาหกรรมบางกระดี เขตอุตสาหกรรมแฟคทอรี่แลนด์
       
       โดยโรงงานทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ 9,859 โรงงาน มูลค่าลงทุนกว่า 8 แสนล้านบาท ทำให้มีผู้ใช้แรงงานได้รับผลกระทบกว่า 660,000 คน
       
       ผลกระทบเฉพาะใน 7 นิคมฯ ที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง มีโรงงานเสียหาย 838 โรง คนงาน 382,000 คน มูลค่าความเสียหายโดยตรงกว่า 237,410 ล้านบาท
       
       ผลกระทบทางอ้อมที่สำคัญคือ มูลค่าการผลิตจะลดลงในไตรมาสที่ 4 คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 328,000 ล้านบาท ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ภาคอุตสาหกรรมในปี 2554 ลดลง 1.9% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2-3% เหลือ 0.1-1.1%
       
       “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ถูกถามหาความสามารถในเชิงบริหารนับครั้งไม่ถ้วน
       
       มีการถามไปไกลจนถึงการทำงานในเอไอเอส ว่า ผลงานของยิ่งลักษณ์มีอะไรบ้าง
       
       ปรากฏว่า สามารถค้นหาได้อย่างเดียวก็คือ การรับผิดชอบโครงการเซเรเนต (Serenade) ซึ่งโครงการแสดงความภักดีต่อเอไอเอส ของลูกค้าที่มีการมอบสิทธิพิเศษเล็กๆน้อยๆเพิ่มเติมจากลูกค้าทั่วไป เพราะใช้บริการเอไอเอส มามากกว่า 10 ปี
       
       ลองคิดดูก็แล้วกันว่า “โดดเด่น” หรือเปล่า
       
       นั่นจึงทำให้หลายคนคลายข้อสงสัยในความสามารถในด้านการบริหารของยิ่งลักษณ์
       
       โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤต ซึ่งมีผู้คนเสียชีวิต
       
       แต่ยิ่งลักษณ์ กลับปกปิดข้อมูล และตัดสินใจผิดพลาดซ้ำซาก
       
       “ คนที่อาสามาบริหารประเทศต้องทำงานเป็น ถ้าทำไม่เป็นก็ควรลาออกไป อย่าให้ถึงขนาดต้องไล่ออกเลย” คำเตือนของ นายสุรพร สิมะกุลธร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับผลกระทบจากการทำงานไม่เป็นของ ยิ่งลักษณ์
       
       สอดคล้องกับความเห็นของ “มาซาโตะ โอทากะ” อัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ซึ่งระบุว่า “อยากขอร้องให้รัฐบาลไทยเร่งแก้ไข เพราะเป็นภัยพิบัติกรณีพิเศษที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รัฐบาลต้องหาวิธีการแก้ไขปัญหาใหม่ๆ ไม่ใช่แก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ เพราะไม่เช่นนั้นภัยพิบัติเดิมๆ ก็จะเกิดขึ้นอีก”
       
       “อยากให้รัฐบาลออกมาชี้แจงว่าจะรับมือสถานการณ์อย่างไร หากเตรียมการรับมือที่ดี ไทยก็ยังเป็นประเทศที่น่าลงทุน รวมถึงการชี้แจงถึงมาตรการช่วยเหลือบริษัทที่ได้รับผลกระทบว่าจะทำอย่างไรด้วย” อีกหนึ่งความเห็นของ นายเซ็ทสึโอะ อิอุจิ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) ประจำประเทศไทย
       
       “พงษ์เดช ศรีวชิรประดิษฐ์” ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทย ฮอนด้า เมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ ให้ความเห็นอย่างเบื่อหน่ายว่า “ข่าวมากจนสับสน ตอนนี้เชื่อตัวเองดีกว่า”
       
       นักวิเคราะห์ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของ เจพี มอร์แกน ประเมินว่า บริษัทฮอนด้าจะสูญเสียกำไรอย่างน้อยที่สุด 6,000 ล้านบาท หรือ 15,000 ล้านเยน หากต้องหยุดการผลิตไป 3 เดือน
       
       ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น นักธุรกิจหลายคนพูดลับหลังเสมอว่า เกิดจากการทำงานไม่เป็นของยิ่งลักษณ์
       
       ไม่รู้ว่า จะแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างไร ทั้งๆ ที่น้ำท่วมเกิดขึ้นมาเป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้ว
       
       แต่ยิ่งลักษณ์ไร้สมรรถนะในการเตรียมการป้องกัน
       
       จนกระทั่งน้ำเดินทางมาถึงจังหวัดนครสวรรรค์ ยิ่งลักษณ์จึงตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) โดยมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นผู้อำนวยการฯ
       
       ศูนย์นี้แหละที่ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างกลายเป็น “ศูนย์แห่งความสูญเสีย” จนมีการตั้งสมญานาม “ศูนย์ประจานภูมิปัญญายิ่งลักษณ์” หรือ ศูนย์ปากเป็นภัยแห่งชาติ”
       
       เหตุผลสำคัญ เพราะหากยิ่งลักษณ์ หรือพล.ต.อ.ประชา แถลงข่าวในนามของศูนย์ นั่นหมายความว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จะตรงกันข้าม
       
       ยิ่งลักษณ์ บอกว่า น้ำกำลังลด แสดงว่า น้ำจะท่วมครั้งใหญ่
       
       ยิ่งลักษณ์ บอกว่า คนไทยอย่าตื่นตระหนก เพราะรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แสดงว่า คนไทยต้องเตรียมตัว เพราะน้ำกำลังจะท่วมครั้งใหญ่ เพราะรัฐบาลควบคุมอะไรไม่ได้
       ยิ่งลักษณ์บอกว่า กำลังพยายามอยู่ แสดงว่า รัฐบาลไม่มีความสามารถทำอะไรแล้ว
       ยิ่งลักษณ์ บอกว่าน้ำจะไม่ท่วมนิคมอุตสาหกรรม แสดงว่า นิคมอุตสาหกรรมเหล่านั้น...ไม่รอด
       
       ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ต้องเตรียมให้ยกของขึ้นที่สูง เพราะน้ำจะท่วมเพียงเล็กน้อย แสดงว่า คนไทยต้องอพยพหนีน้ำ เพราะน้ำจะท่วมสูงมาก
       
       ยิ่งลักษณ์ บอกว่า น้ำจะไม่เอ่อล้นถนน เพราะสามารถควบคุมได้ แสดงว่า ถนนสายเอเชีย และวิภาวดีรังสิต จะเจิ่งนองไปด้วยน้ำ รถเล็กไม่สามารถวิ่งผ่านได้
       
       ยิ่งลักษณ์ บอกว่า น้ำจะไม่ท่วมกรุงเทพฯ มีเพียง “น้ำกระฉอก” เท่านั้น แสดงว่า พื้นที่กรุงเทพฯ จะเต็มไปด้วยน้ำ คนกรุงเทพฯ จะต้องใช้เรือแทนรถ
       
       แม้กระทั่ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย บอกกับนักข่าวด้วยความมั่นใจ เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ว่า กทม.จะปลอดภัยจากน้ำท่วม 90 % แต่ยังมีส่วนที่ต้องเฝ้าระวังเผื่อเหลือเผื่อขาดอีกประมาณ 10 %
       
       แต่แล้วน้ำก็ท่วมดอนเมือง บางพลัด และทุกเขตในกทม. จนต้องอพยพคนไทยหนีน้ำ
       
       กลายเป็นว่า คนกรุงเทพฯ เชื่อถือคำพูดของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มากกว่านายกรัฐมนตรี และ ผอ.ศูนย์ฯ
       
       ที่สำคัญพฤติกรรม “ กุ๊ยกระจอก ” ของนักเลงนุ่งกระโปรงอย่าง “ไอ้เก่ง ไอ้เจ๋ง” ยังทำให้ศูนย์ปากเป็นภัย กลายเป็นแหล่ง “เหลือบ” ซุกของบริจาค
       
       เพราะสิ่งของที่ภาคเอกชน ประชาชนบริจาค ต้องมีลายเซ็น “ไอ้เก่ง” ก่อนจึงจะนำไปมอบให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมได้
       
       นักข่าวรายงานว่า ภายในพื้นที่คลังเก็บสินค้า 1 ท่าอากาศยานดอนเมือง ( ก่อนย้ายคลังเก็บของบริจาคไปสนามศุภชลาศัย ) ได้มีการจัดเก็บสิ่งของที่ได้รับบริจาคสำหรับช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นจำนวนมาก ทั้งถุงยังชีพ แพไม้ไผ่ ที่ประกอบเสร็จแล้ว สุขาลอยน้ำ และเรือเหล็กอีกจำนวนหนึ่ง รวมไปถึงเรือที่ได้รับบริจาคจากต่างประเทศ ซึ่งได้ส่งมอบมาตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเมื่อสอบถามสาเหตุที่ไม่นำไปใช้ในพื้นที่ประสบภัย เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่า เรือและสิ่งของทั้งหมดนั้น กระทรวงมหาดไทย ได้จองไว้หมดแล้ว
       
       พฤติกรรมของแกนนำ นปช. ที่ปัจจุบันกลายเป็นนักการเมืองสังกัดพรรคเพื่อไทย ได้แสดงความเป็น “เหลือบ” สูบเลือดเนื้อของผู้ได้รับความเดือดร้อนอย่างสม่ำเสมอ
       
       ทั้งนี้ บริษัทแมกซ์ลายเนอร์ นำเรือพายสีดำ บรรจุผู้โดยสารได้ 9 ที่นั่ง ราคา 8,000 บาทจำนวน 2 ลำมาพักไว้ภายในศปภ. เพื่อเตรียมบริจาคส่งต่อให้กับผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วม
       
       แต่ในระหว่างที่สื่อมวลชนหลายสำนักกำลังตรวจสอบความแข็งแรงของเรืออยู่ นั้น ปรากฏว่า นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก เลขานุการ นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในชุดเสื้อสีแดง กางเกงขาสั้น ได้เดินมายังกลุ่มสื่อมวลชน พร้อมถามว่า
       
       “ เรือนี้ใครดูแลอยู่ ใครเป็นผู้รับผิดชอบ ผมอยากได้” ผู้สื่อข่าวชี้แจงว่า เป็นเรือที่บริษัท แมกซ์ลายเนอร์ นำมาบริจาคให้กับผู้ประสบภัย
       
       นายยศวริศ ถามว่า ส่งมอบแล้วหรือยัง แล้วใครรับผิดชอบ ผู้สื่อข่าวจึงชี้แจงกลับไปว่า ให้ไปถามหน่วยงานที่รับผิดชอบ- ศปภ. หรือ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย (ปภ.) เนื่องจากเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง
       
       นักข่าวได้ถามนายยศวริศว่า " แล้วคุณมาจากหน่วยงานไหน" นายยศวริศ กล่าวว่า "ผมมาจากมหาดไทย" ผู้สื่อข่าวกล่าวว่า มหาดไทยก็น่าจะประสาน ศปภ.ได้เลย นายยศวริศ กล่าวว่า
       
       “ผมคุมปภ.และใหญ่กว่าอธิบดีปภ.”
       
       จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงถามกลับไปว่า จะเอาเรือไปช่วยประชาชนที่จังหวัดไหน นายยศวริศ กล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า “เรื่องของผม ผมจะเอาไปไหนก็สิทธิ์ของผม” จากนั้นก็สั่งให้ผู้สื่อข่าวยกเรือ แต่ไม่มีผู้สื่อข่าวคนใดปฏิบัติตาม
       
       นอกจากนี้ ศปภ. ยังแสดงตัวเป็น “ศัตรู” กับสื่อมวลชน ผ่านเฟสบุ๊คhttp://www.facebook.com/1111No5 โดยได้โพสต์ข้อความด่า เนชั่นว่า “NationGroup เป็นอีก 1 กลุ่มสื่อ ที่เอาความเดือดร้อนของประชาชน ช่วยนักการเมือง หวังฉวยโอกาสทางธุรกิจ ”
       
       หลังจากนั้นได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็น จำนวนกว่า 100 ข้อความ ความเห็นส่วนใหญ่มีลักษณะเห็นแย้งกับข้อความที่ ศปภ.โพสต์ จนในเวลาต่อมา ข้อความดังกล่าวได้ถูกลบออกไปจากหน้า facebook ของ ศปภ.
       
       แม้กระทั่ง “ปรเมศวร์ มินศิริ ผู้ดูแลเว็บไซต์ไทยฟลัดดอทคอม (Thaiflood.com)และกรรมการผู้จัดการบริษัท บัณฑิต เซ็นเตอร์ (Kapook.com) ที่มาช่วยงานภาครัฐกับ ศปภ. ที่กองอำนวยการร่วมมือร่วมใจจากพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับบริจาคสิ่งของให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม...ไม่สามารถทนดูพฤติกรรมปกปิดข้อมูลข้อมูลของ ศปภ.ได้ แม้กระทั่ง “อมของบริจาค” ไปให้พวกตัวเอง
       
       "การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม จะต้องก้าวข้ามความเห็นต่าง หลายหมู่บ้านบ่นกันเยอะว่า รถส่งของบริจาคไม่ยอมจอด ถ้าไม่ยอมติดธงแดง" จากข้อความนี้ได้มีโปรดิวเซอร์ ช่องระวังภัย ใช้ชื่อทวิตเตอร์ @Jib_Rw มาช่วยยืนยันด้วยว่า "เจอมาจริง"
       
       "มีคนคิดฉวยโอกาส สร้างความเข้มแข็งให้กับตำบลเสื้อแดง ในช่วงที่มีผู้ประสบภัยมากขนาดนี้ ผ่านกลไกของรัฐ โปรดจับตาให้ดี" ปรเมศวร์ ขยายความ
       
       นายปรเมศวร์ อธิบายว่า ผู้ใหญ่จาก ศปภ.โทรมาว่า "ทำไมไม่ยอมพบกันครึ่งทางเลย" ตนตอบไปว่า ถ้าบ้านคุณน้ำท่วม มีเรือไปรับคุณแล้วส่งแค่ครึ่งทาง คุณเอาไหม การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ผมไม่ประนีประนอม "No compromise" รัฐบาลต้องทำให้เต็มที่ ผมไม่ต่อรองอะไรกับคุณทั้งนั้น !!
       
       นอกจากนั้นมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ @nakus32 ได้ถามว่า ของที่จะออกจากดอนเมืองได้ ส.ส.เขตต้องเป็นคนเซ็นออกจริงหรือเปล่า นายปรเมศวร์ ตอบว่า “จริงครับ เขาเลือกจุดลงเอง”
       
       แม้กระทั่ง “ฉลอง เรี่ยวแรง” ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ยังทนพฤติกรรม ”ตะกละตะกลาม”ไม่ไหว
       
       “ ทีพวกเสื้อแดงไปขอถุงยังชีพ มีรถเอาไปส่งให้ถึงที่ แถมยังได้มากกว่าจำนวนที่ขอไปอีก เลยสงสัยตกลงกูเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย หรือพรรคเสื้อแดงกันแน่ ”
       
       “ ส.ส.ไปขอของ บอกให้เราเอารถไปขนเองอีก ครั้งหนึ่งเคยไปขอตอนเที่ยง แต่ได้ของมาตอนสองทุ่ม ทีพวกไอ้ตู่ ( นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ) หรือไอ้เจ๋ง( นายยศวริศ ชูกล่อม เลขานุการ รมช.มหาดไทย ) ไปขอ กลับมีรถขนของไปส่งให้ถึงที่เลย จัดรถ 5 คัน จัดถุงยังชีพไปให้”
       
       เหล่านี้คือ พฤติกรรมของจริงของ “คนทำงานไม่เป็น แล้วยังละโมภอีก” !!

ASTVผู้จัดการรายวัน    29 ตุลาคม 2554