5 โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของเมืองไทย ประกอบด้วย รพ.กรุงเทพ รพ.สมิติเวช รพ.เปาโล รพ.พญาไท และ รพ.บีเอ็นเอชผนึกกำลังจัดประชุมทางวิชาการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 เป็นการนำเสนอความรู้ตลอดจนวิทยาการเทคโนโลยีที่ทันสมัยประยุกต์อย่างเหมาะสม เพื่อการรักษาและการสร้างเสริมสุขภาพ พัฒนาคุณภาพชีวิตอันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป
โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน ณ อาคารเฉลิมพระบารมี แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ซ.ศูนย์วิจัย
ในการนี้ได้ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการประชุมตอนหนึ่งว่า "ในปัจจุบันเทคโนโลยี และเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ที่เจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ผู้ปฏิบัติงานทางด้านการแพทย์จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประสานงานเพื่อหาข้อมูลความรู้เพื่อนำไปปรับใช้ในวงการแพทย์และวงการสาธารณสุขให้เจริญ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของปวงชนให้อยู่อย่างผาสุกโดยทั่วหน้ากัน"
ประเด็นหลักๆ ตลอดการประชุมทั้ง 3 วัน มีหัวข้อการสัมมนาเชิงวิชาการที่ครอบคลุมทุกสาขาวิชาชีพทางด้านการแพทย์ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วยการบรรยาย 16 เรื่อง สัมมนา 29 เรื่อง หัวข้อที่น่าสนใจ เช่น "ภาวะการเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย Approach in children
growing puberty too early or rapidly" โดย ศ.เกียรติคุณ นพ.กิตติ อังศุสิงห์ การแพ้โปรตีนนมวัวในวัยเด็ก โดย รศ.พญ. บุษบา วิวัฒน์เวคิน รศ.นพ.สุวัฒน์ เบญจพลพิทักษ์ และ รศ.พญ.อุมาพร สุทัศน์วรวุฒิ การรักษาโรคทางกระดูกและข้อโดยใช้กล้องส่องสำหรับกระดูกสันหลัง โดย รศ.นพ.ประกิต เทียนบุญ และ รศ.นพ.กีรติ เจริญชลวานิช การประชุมเฉลิมพระเกียรติฯ ทางทันตแพทย์ เรื่อง "รากฟันเทียมในพระราชดำริ พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ" เป็นต้น นอกจากแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ บุคลากรทางด้านการแพทย์จากสถาบันชั้นนำทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 1,000 คน ในปีนี้ "ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย" องคมนตรี ได้ให้เกียรติมาแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการพัฒนาด้านการแพทย์และการสาธารณสุข" เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่ได้ทรงมีคุณูปการต่อวงการแพทย์ไทยอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงบำเพ็ญพระราชกิจเป็นอเนกประการ ทั้งในด้านการแพทย์ การสาธารณสุข และพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ที่เกื้อกูลส่งเสริมกิจการทั้งปวง อันเกี่ยวกับการพัฒนาสุขภาพอนามัยประชาชน ซึ่งยังประโยชน์มหาศาลแก่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ซึ่ง น.พ.เกษม ได้กล่าวโดยสรุปไว้อย่างน่าสนใจว่า...
"ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันตั้งแต่ปี 2489 ทรงพระราชทานโครงการตามแนวพระราชดำรินับพันโครงการ ถ้าได้พิจารณาโครงการพระราชดำริเหล่านั้นอย่างถ่องแท้ โดยดูคราวละ 10 ปี ที่พระองค์ท่านทรงครองราชย์ จนถึงปัจจุบัน เราจะเห็นวิวัฒนาการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่สำคัญยิ่ง พระองค์ท่านจะค่อยๆ ทรงทำทีละขั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคระบาด เช่น อหิวาตกโรค โรคเรื้อน วัณโรค โปลิโอ ฯลฯ ทรงทุ่มเทและสนับสนุนอย่างมากเพื่อหาวิธีการป้องกันรักษาให้โรคเหล่านี้หายไปจากประเทศไทย จากนั้นสมเด็จย่าก็ได้ทรงก่อตั้งหน่วยแพทย์ พอ.สว. สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จฯ ไปทรงงานที่โรงพยาบาลแมคคอมิคเชียงใหม่ นอกจากนี้ราษฎรที่ประสบภัยทั้งหลาย จะทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยเหลือเขาเหล่านั้นในทันทีทุกครั้งไป
ยังทรงสนับสนุนด้านการศึกษา ด้านการค้นคว้าวิจัยทางด้านการแพทย์ โดยการตั้งมูลนิธิอานันทมหิดลขึ้นเมื่อปี 2498 นอกจากนี้ยังพระราชทานพระราชทรัพย์ให้สภากาชาดสร้าง "อาคารมหิดลวงศานุสรณ์" เพื่อใช้สำหรับผลิตวัคซีน VCG ใช้ฉีดป้องกันวัณโรคตั้งแต่ปี 2496 แล้วเด็กไทยรวมทั้งพวกเราทุกคน ก็ได้รับวัคซีนป้องกันวัณโรคตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ยังมีโครงการอีกเป็นจำนวนมากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานแก่พสกนิกรของพระองค์ เพื่อช่วยให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างถูกวิธีโดยทั่วถึงกัน พระองค์ท่านจึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับหมอ พยาบาลอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องการอุทิศชีวิตให้กับวงการแพทย์เพื่อเจริญรอยตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสืบไปในอนาคต...
บ้านเมือง 3 ตุลาคม 2554