ผู้เขียน หัวข้อ: นายกเสนอปฏิรูปประเทศ-เรามาช่วยเสนอการปฏิรูปสาธารณสุขกันดีไหม?  (อ่าน 2327 ครั้ง)

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด
นายกรัฐมนตรีแถลง ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (3 พ.ค.เวลา 21.15 น.)
เชิญชวนประชาชนทุกกลุ่ม เข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมือง ด้วยการสร้างกระบวนการการปรองดองใน 5 องค์ประกอบ
..............
...............
องค์ประกอบที่ 2 หรือข้อที่ 2 ของกระบวนการของการปรองดองนั้น ผมถือว่าเป็นหัวใจของสิ่งที่มีการพูดกันในขณะนี้ ว่าจะเป็นการปฏิรูปประเทศ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรานั้น อาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องการเมือง แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วก็มีรากฐานมาจากความไม่เป็นธรรมที่มีอยู่ในสังคม................................................................................................

ถึงเวลาแล้ววันนี้ ที่พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจะได้รับการดูแลด้วยระบบสวัสดิการที่ดี และมีโอกาสเท่าเทียมกัน จะเรื่องการศึกษา จะเรื่องการสาธารณสุข จะเรื่องของการมีอาชีพ มีรายได้ มีความมั่นคงในชีวิตนั้น จะต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ กระบวนการปรองดองหรือการปฏิรูปประเทศที่มีการพูดกันในขณะนี้ จะมีการดึงเอาทุกภาคส่วนในสังคมเข้ามาดำเนินการในการที่จะแก้ไขปัญหานี้ .........................................................................................
............................................................
.............................................
(พวกเราก็เป็นประชาชนกลุ่มหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งในสังคม
พวกเราก็ไม่รับความเป็นธรรม(บางเรื่อง)เหมือนกัน
ประชาชนทั่วไป  พวกประกันสังคม ข้าราชการ ก็มีอะไรๆที่ไม่เป็นธรรมในเรื่องสาธารณสุขเหมือนกัน
...............มาปฏิรูประบบสาธารณสุขกันเถอะ)

khunpou

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 111
    • ดูรายละเอียด

การ ปฏิรูประบบการแพทย์ แบบการแพทย์พอเพียง

พญ.เชิด ชู อริยศรีวัฒนา

กรรมการ แพทยสภาวาระพ.ศ. 2546-2548และวาระพ.ศ.2548-2550

ปัญหา วิกฤติในระบบบริการทางการแพทย์ไทย (Crisis in Thailand Medical Services)

     ปัจจุบัน นี้ มีปัญหาวิกฤติในวงการแพทย์ไทยที่เริ่มมาจากการประกาศใช้พ.ร.บ.หลัก ประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 ที่ทำให้ประชาชนไทยสามารถมาพบแพทย์เพื่อขอรับการตรวจรักษา สุขภาพได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินเลย หลังจากการประกาศใช้พ.ร.บ.นี้ ทำให้จำนวนผู้ป่วยไปโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า ทำให้ภาระงานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆเพิ่มขึ้นอย่าง มาก จำนวนผู้ป่วยมาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลระดับต่างๆเพิ่มเป็น 183ล้านครั้งต่อปี(เฉพาะผู้ป่วยนอก ที่ไม่ต้องนอนพักรักษาตัวใน โรงพยาบาล) และยังมีผู้ป่วยที่ต้องรับการผ่าตัด ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอีกปี ละประมาณ.....ล้านคน แต่มีแพทย์ทำงานเหล่านี้เพียง 10,000 คน และแพทย์ลาออกจากระบบราชการอีกปี ละ ... คน  ทำให้แพทย์ของกระทรวงสธ.ต้องทำงานตรวจผู้ป่วยเพียงคนละ 2-4 นาที และมีเวลาทำงานถึงสัปดาห์ละ 90-120 ชั่วโมง เสี่ยงต่อผลกระทบอันร้ายแรงของสุขภาพของตนเอง  เสี่ยงต่อความประมาทเลินเล่อ เสี่ยงต่อความผิดพลาด และเสี่ยงต่อความไม่เข้าใจของผู้ป่วย เสี่ยงต่อความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับ ผู้ป่วย เสี่ยงต่อการถูกร้องเรียน ฟ้องร้อง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ผิดๆถูกๆ เสี่ยงต่อการต้องหาเงินมาจ่ายค่าเสียหาย และที่สำคัญที่เป็นความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุดคือ เสี่ยงต่อการเป็น “อาชญากร ในคดีอาญา” โดยไม่ใช่นิสัยสันดาน และเสี่ยงต่อการถูกจำคุก

     ในขณะที่แพทย์มีความเสี่ยงต่างๆอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ประชาชนที่มารับการตรวจหรือดูแลรักษาจากแพทย์นี้ ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จากการที่แพทย์มีเวลาน้อยเกินไปในการใช้ดุลยพินิจในการสั่งตรวจ และการสั่งการรักษา อาจทำให้เกิด “ความ ผิดพลาด” โดยไม่ตั้งใจ หรือได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากความขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ บุคลากรเหนื่อยล้าเนื่องจากอดนอนทำงานทั้งคืนแล้วยังไม่ได้นอน หลับพักผ่อนก็ต้องมาทำงานดูแลรักษาผู้ป่วยอีก เสี่ยงต่อดุลพินิจของแพทย์ที่อาจผิดพลาดได้ง่าย  ขาดยา เวชภัณฑ์ และเทคโนโลยี ขาดเตียง ขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแลรักษาสุขภาพในเบื้องต้นของตนเอง ขาดหน้าที่ที่จะต้องร่วมมือกันสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และรักษาสุขภาพในเบื้องต้นเอง ทำให้ประชาชนมาใช้บริการมากมาย ไม่ตระหนักในคุณค่าการรักษาและยา เพราะเป็นของฟรี อยากจะมาขอยาใหม่ ขอตรวจใหม่เมื่อไรก็ต้องได้ ยิ่งเพิ่มภาระงานของบุคลากรมากขึ้น  เพิ่ม การใช้ยา เวชภัณฑ์และใช้เทคโนโลยีเกินความจำเป็น เป็นการเพิ่มภาระงบประมาณของรัฐบาลที่เอามาจากภาษีของประชาชนที่ มีแต่จะต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นๆทุกๆปี

แนว ทางแก้ปัญหา

ควร ปรับปรุงระบบบริการทางการแพทย์ใหม่ ให้เป็นการแพทย์แบบพอเพียง คือบริการแบบสายกลาง มีเหตุมีผล มี ภูมิคุ้มกันความเสี่ยงต่อทั้งผู้ทำงานและประชาชนที่มารับบริการ เพื่อ ให้เกิดมาตรฐานทางวิชาการทางการแพทย์ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและเกิดการพัฒนาที่มั่นคงยั่งยืน ประชาชน อยู่เย็นเป็นสุขและมีสุขภาพดี 
 
ข้อ เสนอเบื้องต้นดังนี้

 สิ่ง สำคัญอันดับหนึ่งคือ เปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนคติของผู้บริหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ในการจัดระบบบริการทางการแพทย์ หรือเปลี่ยนตัวผู้บริหาร  ต่อไปเป็นข้อเสนอเบื้องต้นในการแก้ปัญหาดังต่อไปนี้คือ
 
1.ประชาชน ต้องรับผิดชอบดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัว ใคร ไม่ดูแลรักษาสุขภาพตัวเองและเจ็บป่วยบ่อยๆ ควร ต้องจ่ายเงินค่ารักษาเพิ่มเติม (หลักการเหมือนการประกันสุขภาพเอกชน  ตัว อย่างเช่นถ้ามาโรงพยาบาลมากกว่าปีละ 6 ครั้ง ต้องจ่ายเงินในครั้งที่เกินเอง หรือถ้าต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลมากกว่าปีละ 15 วัน ก็ ต้องจ่ายเงินเองในวันที่เกิน เป็นต้น
 หลัก การนี้อาจไปคิดใหม่ได้ แต่ จะทำให้ประชาชนระมัดระวังในพฤติกรรมของตนเองมากขึ้น ไม่ มาหาแพทย์บ่อยเกินไป ช่วยลดภาระแพทย์และโรงพยาบาลได้ในระดับหนึ่ง
 2.ระบบ บริการทางการแพทย์ที่มีอยู่ 3 ระดับ แล้ว ควรจัดให้มีมาตรฐานทางการแพทย์ตามระบบจริงๆ ดังนี้
 2.1 ระบบ ปฐมภูมิควรไม่ต้องรับผู้ป่วยที่ต้องนอนรักษา ยกเว้นการนอนสังเกตอาการ ถ้าจำเป็นต้องนอนรักษนาน ควรส่งต่อไประดับทุติยภูมิ
 แพทย์ ประจำโรงพยาบาลนี้ควรเป็นแพทย์ทั่วไป อย่างน้อย 3-4 คน
 
  2.2 ระบบ ทุติยภูมิ รับผู้ป่วยที่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล  โดย ได้รับการดูแลรักษาจาก แพทย์เฉพาะทางเช่น สูตินรี เวชกรรม  ศัลยกรรม  กุมาร เวชกรรม อายุรกรรมฯลฯ โดย ต้องมีแพทย์เฉพาะทางอย่างน้อยแผนกละ 3-4 คน เพื่อ จะได้ผลัดเปลี่ยน กันอยู่เวรนอกเวลาราชการและเวลาวิกาลด้วย
 
 2.3 ระบบ ตติยภูมิ รับผู้ป่วยอาการหนักที่ต้องการความรู้ความเชี่ยวชาญของ แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญในระดับต่อยอดเช่นอายุรกรรมโรคไต โรคทรวงอก ฯลฯ ต้อง การพยาบาลและบุคลากรอื่น ที่มีความรู้ทางวิชาการและเทคนิคระดับสูง
และ ต้องการเครื่องมือ เทคโนโลยีระดับสูง ทันสมัยเช่นเดียวกัน ซึ่ง สมควรเรียกว่าโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ (Hospital and Medical Center)  และ แพทย์ในแต่ละสาขาก็ควรมีอย่างน้อย3-4 คน เช่นเดียวกัน เพื่อ จะได้ทำงานเป็นทีมและผลัดเปลี่ ยนกันอยู่เวรได้
 
 3.การ จัดสรรบุคลากรประจำโรงพยาบาลต่างๆ ควรดูตามชนิดของโรงพยาบาลและสถิติจำนวนผู้ป่วย ที่มาโรงพยาบาล ไม่ ควรดูตามจำนวนประชาชนในพื้นที่ เพราะจำนวนผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลอาจไม่เป็นสัด ส่วนเดียวกัน กับ จำนวนประชาชนตามสำมะโนครัว ไม่ว่าบุคลากรระดับใดหรือประเภทใด 
 
4.สภา วิชาชีพควรกำหนดมาตรฐานการทำงานของแต่ละวิชาชีพนั้นๆ และ ควรทำให้ได้จริง เพื่อประกันคุณภาพมาตรฐานการทำงานนั้นๆ เช่น แพทย์ ไม่ควรทำงานติดต่อกันเกิน 16 ชั่วโมง ควรหยุดพักอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และ ควรใช้เวลาอย่างน้อย 10 นาที ในการตรวจรักษาผู้ป่วยที่แผนกผู้ป่วยนอก และ ถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญสาขานั้น ห้ามรักษาผู้ป่วย  เพราะ เสี่ยงอันตรายทั้งผู้ป่วย (อาจตายได้ซัก 10%) และ แพทย์ (อาจ ถูกตัดสินจำคุก)
 
 5.การ เพิ่มแรงจูงใจให้บุคลากรอยากทำงานในโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข เช่น การเพิ่มเงินเดือนและค่าตอบแทนการทำงานนอกเวลาราชการ ให้ เหมาะสมกับคุณค่าของงานและความรับผิดชอบของวิชาชีพ และ ใกล้เคียงกับค่าตอบแทนของวิชาชีพเดียวกันในภาคเอกชน