แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปวดศรีษะ โรงพยาบาลกรุงเทพ เผย 12% ของประชากรทั่วโลกเป็นโรคปวดศรีษะ ซึ่งสามารถเป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่ผู้หญิงจะมีอาการปวดศรีษะมากกว่าผู้ชาย สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของสมองและเส้นประสาท พร้อมแนะสามารถรักษาได้หลายวิธี แต่ที่กำลังเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา คือ การฉีด BOTOX ลดได้ทั้งอาการปวดศีรษะและริ้วรอย
นพ.ยรรยงค์ ทองเจริญ อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพ เผยว่า อาการปวดศีรษะ เป็นอาการที่ผู้ป่วยเข้ามาปรึกษาประสาทแพทย์เป็นอันดับต้นๆ อาการปวดศีรษะทำให้เกิดความทุกข์ทรมานทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมทั้งทำให้ไม่สามารถทำงานได้ หรือทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ จึงระดมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเปิดคลินิกโรคปวดศีรษะบูรณาการ เพื่อลดความรุนแรงและความถี่ของอาการปวดศีรษะ ลดการใช้ยาแก้ปวดเฉียบพลัน รวมทั้งการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด พร้อมทั้งให้ความรู้และคำแนะนำเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ “ปัจจุบันอาการปวดศีรษะมีความหลากหลายและเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของสมองและเส้นประสาท อาการปวดศีรษะที่มีสาเหตุจากภายในหรือภายนอกศีรษะจากภาวะต่างๆ เช่น เนื้องอก, เลือดออกในสมอง, การติดเชื้อในสมองหรือเยื่อหุ้มสมอง และการปวดศีรษะจากเส้นประสาทที่ทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นในบางกรณีมีความรุนแรงและอันตรายถึงแก่ชีวิต”
ด้าน เรืออากาศโท นพ.กีรติกร ว่องไววาณิชย์ อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวเสริมว่า ลักษณะอาการปวดที่เป็นสัญญาณเตือนให้รีบไปพบแพทย์ อาทิ อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ภายในระยะเวลาเป็นวินาทีหรือนาที อาการปวดศีรษะที่พบร่วมกับความผิดปกติของระบบประสาท เช่น ซึมลงหรือสับสน, ความจำผิดปกติ, แขน-ขา อ่อนแรง, การมองเห็นผิดปกติ, ชักเกร็ง อาการปวดศีรษะที่มีอาการทางระบบอื่นๆ เช่น ไข้, หนาวสั่น, เหงื่อออกกลางคืน, น้ำหนักลด อาการปวดศีรษะต่อเนื่องกันทุกวัน, ปวดศีรษะรุนแรงมากขึ้น, ความถี่ของการปวดเพิ่มขึ้น หรือ ลักษณะการปวดที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
รวมไปถึงสาเหตุอาการปวดอื่นๆ อาทิ อาการปวดศีรษะที่เกิดจากการ ไอ, จาม, เบ่ง, การออกกำลัง หรือ การเปลี่ยนท่าทาง ปวดศีรษะที่เกิดในคนอายุมากกว่า 40 ปี, ผู้ป่วยโรคมะเร็ง, ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน, ปวดศีรษะที่เกิดในผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือ หลังคลอด หรือผู้รับประทานยาคุมกำเนิด และปวดศีรษะที่เกิดในผู้ที่มีภาวะอ้วนมาก ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณเบื้องต้นแจ้งเตือนให้ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
การรักษาโรคปวดศรีษะนั้น นพ.ยรรยงค์ ให้ข้อมูลว่า ผู้ป่วยสามารถเลือกวิธีการรักษาได้เอง ซึ่งจะมีอยู่ 2 แบบ คือ รักษาแบบใช้ยา และรักษาแบบไม่ใช้ยา ซึ่งการรักษาแบบใช้ยา จะใช้ในกรณีที่มีอาการปวดศรีษะเฉียบพลัน รักษาโดยยาแก้ปวดชนิดฉีด, ยาแก้ปวดชนิดรับประทาน, ยาทริปแทน, ยาแก้คลื่นไส้-อาเจียน และการฉีดยาระงับปวดเส้นประสาทท้ายทอย และอีกกรณีคือ การรักษาแบบให้ยาป้องกัน ซึ่งจะพิจารณาใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะถี่หรือรุนแรง ส่วนการรักษาแบบไม่ใช้ยา อาทิ การรักษาแบบไบโอฟีดแบค คือให้เรียนรู้ถึงการควบคุมการทำงานของร่างกาย, การบำบัดโดยการปรับพฤติกรรมและความคิด, การฝึกการผ่อนคลาย ,กายภาพบำบัด และการฝังเข็ม เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีวิธีการรักษาโรคปวดศรีษะที่ผู้หญิงในประเทศสหรัฐอเมริกานิยมใช้ คือ การฉีด BOTOX รักษาอาการปวดศรีษะ เพราะนอกจากจะทำให้ลดความรุนแรงและความถี่ของอาการปวดศีรษะแล้ว ยังสามารถลดริ้วรอยไปในตัวด้วย ซึ่งในการรักษาแต่ละครั้งจะฉีด BOTOX 30 จุด ค่าใช้จ่ายจะสูงมาก ราคาประมาณ 1,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 31,170 บาท คาดว่าไม่เกินสิ้นปีทางโรงพยาบาลกรุงเทพจะนำวิธีการรักษาด้วยการฉีด BOTOX มาใช้กับผู้ป่วย
สำหรับการดูแลตนเอง นพ.กีรติกร แนะว่า อย่างแรกควรสังเกตและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ นอนพักผ่อนให้เพียงพอและตรงตามเวลาทุกวัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่หักโหมจนเกินไป งดสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมองตีบ งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ, ชา, น้ำอัดลม, เครื่องดื่มชูกำลัง และถ้าอาการปวดศีรษะรุนแรงมากขึ้น หรือมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป ควรปรึกษาแพทย์ทันที
แนวหน้า 30 กันยายน 2554