ผู้เขียน หัวข้อ: แพทย์ชี้ม็อบแดงเข้าขั้นโรคจิต วอนเลิกคุกคามรพ.(ผู้จัดการ30เมย2553)  (อ่าน 1696 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด
ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพฯ ออกแถลงการณ์ รุมประณามเสื้อแดงบุกค้นรพ.จุฬาฯ ชี้ละเมิดหลักสากล-มนุษยธรรม นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีประเทศไหนทำ คาดความเครียดเล่นงาน ทำให้หวาดระแวงเตือนม็อบแดงเสี่ยงเกิดอาการทางจิตชนิดหวาดระแวง วอนยุติการคุกคามรพ.-รถพยาบาล –บุคลากรทางการแพทย์ เตรียมร่อนหนังสือถึงสภาฯให้ความรู้ส.ส.หลักปฏิบัติสากล
       
       เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 30 เมษายน ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า ภาคีสภา วิชาชีพด้านสุขภาพแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม สภาเทคนิคการแพทย์ และสภากายภาพบำบัด ออกแถลงการณ์ เรื่อง “ขอให้ยุติการคุกคามและปฏิบัติต่อโรงพยาบาล รถพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และผู้บาดเจ็บ ที่ไม่เป็นไปตามหลักสากลและหลักมนุษยธรรม” เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองมีความขัดแย้งนำมาซึ่งการสูญเสีย และบาดเจ็บของประชาชนและเจ้าหน้าที่จำนวนมาก และปรากฏว่า มีการบุกรุกตรวจค้นโรงพยาบาล คุกคามบุคลากรทางการแพทย์ และขัดขวางการเคลื่อนย้ายผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์การปะทะ มีความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและขอประณามการกระทำที่ไม่เป็นไปตาม หลักสากลและหลักมนุษยธรรม

ทั้งนี้ ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพแห่งประเทศไทย ขอเรียกร้อง ให้ทุกฝ่ายมีสติ หนักแน่น เคารพหลักการสากลและหลักมนุษยธรรมในการดูแลรักษาผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ ดังนี้ 1.ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพฯ ขอให้สมาชิกยึดมั่นในจริยธรรมวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยอย่างเคร่งครัด ไม่เลือกปฏิบัติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ว่าภายใต้เงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น 2. ในหลักสากลแม้กระทั่งในยามสงครามหรือความขัดแย้ง สู้รบระหว่างประเทศ โรงพยาบาล รถพยาบาล เครื่องมือทางการแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ ต้องได้รับการคุ้มครองจากทุกฝ่ายให้มีความปลอดภัยและสามารถปฏิบัติหน้าที่ ตามหลักมนุษยธรรมได้อย่างเต็มที่
       
       3. ในประเทศไทยขณะนี้เป็นเพียงความขัดแย้งทาง ความคิดของคนในชาติเดียวกัน จึงขอให้ทุกฝ่ายเคารพความเป็นกลางของบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล รถพยาบาล ถอยห่างจากพื้นที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 1๐๐ เมตร และละเว้นการกระทำใดๆ ที่ขัดขวางการปฏิบัติงานและกีดขวางทางเข้า-ออกโรงพยาบาล 4. ผู้บาดเจ็บไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม และผู้ที่เข้าให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ จะต้องได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการนำส่งเพื่อการ รักษาอย่างทันท่วงทีจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และ5.ขอให้ทุกฝ่ายยุติการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักสากลโดยทันที และขอให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่ปฏิบัติหน้าที่ตามหลัก มนุษยธรรมโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย
       
       ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า แนวปฏิบัติด้านการแพทย์ในยามเกิดเหตุความไม่สงบ กาชาดสากลได้ออกสนธิสัญญาเจนีวา ตั้งแต่ปี 1949 หรือพ.ศ.2492 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระบุแนวปฏิบัติ 3 ข้อหลัก คือ 1.รถพยาบาล โรงพยาบาล และบุคลากรด้านการแพทย์เป็นกลาง ต้องได้รับการคุ้มครองจากทุกฝ่าย 2.ประชาชนที่เข้าช่วยเหลือผู้ป่วยต้องได้รับการคุ้มครองและ3.ผู้บาดเจ็บและ ผู้ป่วยต้องได้รับการช่วยเหลือ
       
       ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ในกรณีของผู้ชุมนุมอาจจะไม่รู้และไม่ได้มีการศึกษาในเรื่องหลักสากลเกี่ยว กับเรื่องนี้ แต่ในที่ชุมนุมมีบุคลากรทางการแพทย์อยู่จำนวนไม่น้อย ซึ่งมั่นใจว่ารู้หลักเกณฑ์สากลเป็นอย่างดี จึงควรแนะนำให้ผู้ชุมนุมคนอื่นรู้จะได้ไม่กระทำสิ่งที่เป็นการละเมิดหลัก สากล และหวังว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก สิ่งที่ผู้ชุมนุมบุกค้นโรงพยาบาลอาจเป็นเพราะความเครียด ทำให้เกิดการหวาดระแวงเห็นอะไรขยับก็กลัว หากเป็นเช่นนี้เรื่อยๆก็เสี่ยงที่จะมีอาการทางจิตชนิดหวาดระแวง
       
       “เชื่อว่าผู้ที่เป็นแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ถูกสั่งสอนมาให้มีจิตสำนึกในเรื่องนี้ทุกคน การที่สภาวิชาชีพออกแถลงการณ์น่าจะเพียงพอ ที่จะทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีจิตสำนึกและรู้ว่าเป็นการกระทำที่ผิด พร้อมที่จะแก้ไขให้เป็นไปตามหลักสากล เพราะแม้ แต่ในประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่มีใครไปยุ่งกับบุคลากรทางการแพทย์และรถ พยาบาล ที่ผ่านมานับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ไม่เคยมีประเทศไหนกระทำการเช่นนี้มาก่อน เนื่องจากรู้ดีว่าหากละเมิดจะถูกประเทศต่างๆรุมประณามอย่างหนัก ขายหน้าทั่วโลก ”ศ.นพ.สมศักดิ์กล่าว
       
       เมื่อถามว่า แกนนำผู้ชุมนุมในการบุกค้นรพ.จุฬาฯเป็นส.ส.มีความเหมาะสมหรือไม่ ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ส.ส.ไม่ควรกระทำการเช่นนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าส.ส.มีความรู้เรื่องหลักสากลนี้หรือไม่ จึงเตรียมส่งสนธิสัญญาเจนีวาไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ส.ส.มีความรู้ ความใจในแนวปฏิบัตินี้ด้วย