..ก็ไม่ยากครับ เราต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดชีวิต เพราะ ชีวิตก็คือการเรียนรู้ ยังไงล่ะครับ
สิ่งแรกที่เราจะมีส่วนร่วมได้ดีสิ่งหนึ่งก็คือ เราน่าจะรู้ “หลักคิด” พื้นฐานที่หมอจะใช้ในการวินิจฉัยโรค
เราๆท่านๆคงเคยไปเจอหมอมาบ้างแล้วทุกคนแหละ โรคหนักบ้างเบาบ้างก็แล้วแต่กรณีไป แต่เราเคยคิดหรือไม่ว่า เอ..แล้วหมอเขามีหลักยังไง ใช้อะไรเป็นแนวทางในการพินิจพิเคราะห์ว่าคนป่วยของหมอ จะเป็นโรคอะไรได้บ้าง
หรือว่าหมอเขาเห็นคนป่วยเดินเข้ามาก็เขียนใบสั่งยาเลย ไม่ได้พูดคุยอะไรก็รู้เรื่องแล้ว ...แสดงว่าหมอเขาคงระดับเซียนแหงๆเลย ใช่หรือเปล่า?
ไม่ใช่หรอกครับ เพราะการที่หมอเราจะรู้ว่าคนป่วยของเขาเป็นโรคอะไร มีอะไรผิดปกติอยู่ภายในนั้น ไม่มีทางที่จะพูดคุยไม่กี่คำ แล้วจะวินิจฉัยได้อย่างไม่มีพลาด เพราะโดยพื้นฐานแล้ว การที่เราจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั้น สิ่งแรกที่เราต้องทำก่อนคือ การพูดคุยซักถามคนป่วยก่อน
ยกตัวอย่างเช่น มีชายฉกรรจ์เป็นหนุ่มใหญ่อายุราวๆสี่สิบเศษๆอยู่คนหนึ่ง แกมาหาหมอที่คลินิกตามสิทธิประกันสุขภาพใกล้บ้านอยู่เป็นประจำ ทุกครั้งที่มาก็เพื่อมาขอเอายาโรคกระเพราะ หรือโรคกรดไหลย้อน ...ทำไมทุกครั้งถึงมาขอรับยาได้หรือครับ ก็ง่ายมาก เขาก็บอกหมอที่คลินิกซิครับว่า “พอดีเป็นโรคกระเพาะ จะมาขอรับยา”
เจอแบบนี้ หมอที่มีคนป่วยรออยู่อีกเป็นร้อย ไม่มีใครหรอกครับจะมานั่งซักประวัติ ตรวจร่างกายกันให้ยุ่งยาก เอ้า...คุณอยากได้ยาโรคกระเพาะใช่ไหม “โอเคครับ สบายมาก เดี๋ยวจัดให้..”
ว่าแล้วคุณหนุ่มใหญ่คนนี้ก็มารอรับยา แน่นอนว่าเขามาที่คลินิกนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่มารับยาโรคกระเพราะ หรือโรคกรดไหลย้อนอะไรนั่น แต่เขามาขอยาร่วมๆสองหรือสามปีได้แล้ว ทุกครั้งที่มารับยา หมอจะไม่ได้มาซักถามอะไรมาก เพราะถูกคนป่วย “ช่วย” วินิจฉัยให้เสียก่อนแล้ว
สำหรับอาการที่เขาเป็นนั้นหรือ ก็ไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากอาการแสบๆร้อนๆตรงลิ้นปี่ แล้วก็มีบางครั้งที่มันร้อนๆแผ่มาถึงบริเวณคอ จะว่ามันมีอาการที่เกี่ยวอะไรกับเวลาที่กินข้าวด้วยหรือเปล่า ก็มีบ้างที่เวลากินอิ่มๆจะแน่นลิ้นปี่ หรือแสบร้อนๆ จุกๆ ขึ้นมาบ้าง …คือสรุปว่า เขาคิดว่า มันไม่น่าจะเป็นอะไร ร้ายแรง อย่างมากก็แค่โรคกระเพาะนั่นแหละ เพราะไปเจอหมอตั้งหลายครั้งแล้ว หมอก็ไม่เห็นจะว่าเป็นอะไรอย่างอื่น ..ซึ่งก็แน่นอนล่ะครับ ก็หมอท่านไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงอะไรมากมายนี่นา
แต่ในห้วงเวลาร่วมๆสองปี ก็มีหมออยู่ท่านหนึ่งที่คลินิก (หมอรักษาหน่วยปฐมภูมิจะเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ เพราะหมอส่วนใหญ่มักจะนิยมเข้าไปเรียนต่อเฉพาะทางกัน) เกิดบังเอิญถามคุณหนุ่มฉกรรจ์ท่านนี้ว่า สูบบุหรี่หรือเปล่า ซึ่งคำตอบก็คือสูบจัดมากพอควร วันละซองสองซอง... หมอท่านก็เลยแนะนำว่า ให้เลิกบุหรี่ซะ เพราะมันทำให้อาการโรคกระเพาะเป็นมากขึ้นได้
จากนั้น เขาก็ยังมารับยากันเรื่อยๆเกือบทุกเดือน แต่เมื่อราวๆเดือนกรกฎา ที่ผ่านมานี่เอง คุณผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า มันคือเดือนสุดท้ายที่เขายังมีลมหายใจมารับยาโรคกระเพาะ
เมื่อเดือนก่อนนี้เอง ที่ชายหนุ่มใหญ่ พ่อของลูกสาวสองคนที่กำลังเรียนมัธยมต้นรายนี้ ก็มารับยาไปตามปกติ พอเอายาเสร็จ ภรรยาของเขาที่มาด้วยกัน ก็บอกว่าจะไปซื้อข้าวมันไก่ที่ปากซอยฝั่งตรงข้าม ตัวคุณสามีก็บอกว่างั้นเดี๋ยวไปรอที่รถก่อนก็แล้วกัน
ระหว่างที่คุณภรรยาไปรอซื้อข้าวมันไก่ฝั่งตรงข้าม พอดีร้านข้าวมันไก่ร้านนี้ขายดีมาก คุณภรรยาก็รอนานตั้งร่วมๆเกือบยี่สิบนาที กว่าจะข้ามถนนกลับมาที่รถได้ก็เล่นเอาเมื่อยเหมือนกัน พอคุณภรรยาเปิดประตูรถปุ๊บ ยังไม่ทันจะบ่นว่ารอซื้อข้าวนานฉิบ คุณภรรยาก็ต้องชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด
“หา... ตายแล้วคุณพี่ค่ะ เป็นอะไรไป ทำไมถึงนอนฟุบแบบนี้” คุณภรรยาเรียกสามีของเธอด้วยความตื่นตระหนก เพราะสามีของเธอ ทุกทีเห็นว่าแข็งแรงดีเสมอ แต่คราวนี้นอนสลบเหมือดอยู่บนเบาะข้างคนขับ ปลายนิ้ว ปลายเล็บเขียวอื๋อชัดเจน ริมฝีปากก็ซีดเขียว และแน่นอนว่า เรียกยังไงก็ไม่รู้สึกตัว ตัวเย็นเหมือนกับคนตายยังไงยังงั้น
“ช..ช่วย ...ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยหน่อยค่ะ” เธอร้องตะโกนให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาใกล้เคียง มาช่วยกันหน่อย เพราะไม่รู้ว่าสามีของเธอ เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไร เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง
ก็พอดี หมอที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ที่คลินิกที่เขาเพิ่งจะไปเอายาโรคกระเพาะมานี่แหละ คุณภรรยาก็รีบวิ่งเข้าไปที่คลินิก เพื่อไปเรียกหมอที่กำลังหน้าดำคร่ำเคร่งกับการเขียนใบสั่งยาเป็นพัลวัน
“คุณหมอค่ะ... สามีหนูตอนนี้หมดสติอยู่ในรถค่ะ” คุณภรรยาบอกหมอคนเดิมที่เขียนใบสั่งยาโรคกระเพาะมาให้เมื่อครู่ อาการตื่นตระหนกที่เห็นได้ชัดของคุณภรรยา ทำให้หมอต้องพิศวงไปไม่น้อย
...ซึ่งก็แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นหมอคนไหน ก็ต้องทำหน้างงๆในตอนแรก และคงตั้งคำถามในใจว่า ...หมดสติอะไร จริงหรือเปล่า แต่ยังไงหมอก็รีบวิ่งออกจากห้องตรวจ ที่มีคนป่วยกำลังนอนตรวจอยู่บนเตียง
...จากนั้น ปฏิบัติการปั๊มหัวใจ เพื่อยื้อมัจจุราชก็เริ่มขึ้นบนรถเก๋งคันนั้น ก็คิดดูแล้วกันว่าหมอเขาอุตส่าห์พยายามแค่ไหน ที่เริ่มปั๊มหัวใจในรถ อย่างทุลักทุเล ต้องเรียกคนที่คลินิกมาช่วยอีก เพราะคนป่วยหยุดหายใจ วิธีการที่จำเป็นยิ่งยวดในตอนนั้น ก็คือต้องใส่ท่อหายใจก่อน เพื่อจะได้ทำการบีบปอด เอาอากาศไปฟอกในปอด พร้อมๆกับการปั๊มหัวใจเพื่อให้มีกระแสเลือดไปเลี้ยงร่างกาย รวมทั้งตัวกล้ามเนื้อหัวใจเองด้วย
...แต่ทว่า ที่คลินิกแห่งนี้ ไม่มีอุปกรณ์การใส่ท่อหายใจที่เตรียมพร้อมสำหรับใช้งานได้ตลอด อ้าว...แล้วหมอจะทำไงดีล่ะ ...ก็ไม่ยากครับ คนป่วยก็ขาดออกซิเจน หรือรับออกซิเจนไม่ได้เต็มที่ไปก่อนนะสิครับ!
ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดในขณะนั้น ก็คือรีบกระเตงผู้ป่วย ส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงโดยเร็วที่สุด
...ครับ หนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์คนนี้ เช้าวันนั้น ชีวิตของเขาเริ่มต้นที่คลินิก มาเอายาโรคกรดไหลย้อนกับโรคกระเพาะ แต่ตอนเที่ยงๆ เขาต้องมาอยู่ในห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ ที่โรงพยาบาลศูนย์หัวใจแห่งหนึ่ง
ภายใต้สภาพที่ยังไม่รู้สติดี หรือเทียบเท่ากับโคม่านั่นแหละครับ หัวใจของคนที่หมอจัดแต่ยาโรคกระเพาะให้มาตลอดนี้ กำลังขาดเลือดรุนแรง ตอนนี้ หัวใจกลับมาเต้นได้แล้ว หลังฉีดยากระตุ้นหัวใจนานาชนิดที่มีก่อนจะได้มาฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ ...ตอนนี้ หัวใจยังเต้นได้ก็จริง แต่สมองเขากลับขาดเลือดมานาน การขาดเลือดไปเลี้ยงนาน ก็คือการขาดออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ประสาทที่แสนจะเปราะบางนั่นเอง
ครับ... หัวใจคนเราทนการขาดเลือดได้นานประมาณยี่สิบนาที โดยที่ไม่เกิดความเสียหายถาวร แต่เซลล์สมองมันทนทานต่อการขาดเลือดได้เพียงแค่ไม่เกินสามหรือสี่นาทีเท่านั้น โดยเฉพาะสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ ความคิดอ่านตรรกะ และการทำงานขั้นสูงของสมองที่เกิดเป็นสติปัญญาของเรา จะเสียหายได้เร็วที่สุด
ตอนนี้ ผู้ป่วยมาอยู่ในห้องปฏิบัติการสวนหัวใจแล้ว เส้นเลือดก็ตีบรุนแรงอยู่หลายเส้น ตันสนิทไปไม่น้อยกว่าสองในสามเส้นหลักของเส้นเลือดหัวใจปกติ ถ้าเป็นรายอื่น กรณีแบบนี้ก็ต้องผ่าตัดด่วน แต่ผู้ป่วยคนนี้ เขามีภาวะโคม่า สมองไม่สั่งการใดๆ การผ่าตัดหัวใจเพื่อบายพาสหลอดเลือดหัวใจ แม้จะสำเร็จ แต่ก็อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรผู้ป่วยมากนัก เพราะสมองตายอยู่ดี
สุดท้าย ญาติผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งเพิ่งจะมาถึงที่หน้าห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ พอดีเขาเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่แผนกรังสีวินิจฉัยที่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง คุยกันไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก เขาก็เข้าใจดีว่า ถ้าไม่ทำอะไรเลย ก็เท่ากับตอนนี้กล้ามเนื้อหัวใจกำลังเสียไปเรื่อยๆ จากการขาดเลือดไปเลี้ยงขั้นรุนแรง ถ้าเราไม่ไปทำอะไรกับเส้นเลือดหัวใจที่ตันสนิทในตอนนี้ ก็เท่ากับนอนรอความตายแน่ๆ แต่ถ้าหากผ่าตัดบายพาส หลังผ่าตัดก็ไม่แน่ว่าสมองอาจจะค่อยๆกลับมาฟื้นสภาพบ้าง ไม่มากก็น้อย แม้จะมีโอกาสค่อนข้างริบหรี่ก็ตาม แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้เสียชีวิตไปเฉยๆ
...ก็พอดีว่า คุยกับญาติแล้ว เขาก็เข้าใจถึงอันตรายและโอกาสที่จะได้ประโยชน์บ้าง ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสีย ก็...เอ้า ผ่าตัดหัวใจก็ผ่า แล้วค่อยมาว่ากันอีกที
สุดท้ายเคสผู้ป่วยรายนี้จบลงอย่างไร อาจจะพอเดากันได้อยู่ แต่สิ่งสำคัญก็คือ ผู้ป่วยคนนี้ เขาเริ่มต้นจากการรักษา โดยกินแต่ยาโรคกระเพาะกับโรคกรดไหลย้อนมาร่วมๆสองปี โดยอาการไม่ได้ทุเลาลง แต่ก็ยังไปขอรับยากับหมอทุกครั้ง ความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย เมื่อมองย้อนกลับมาก็คือ การที่ไปสรุปเอาเองแล้วว่าตนเองเป็นอะไร อีกทั้งไม่เคยมีการซักประวัติอาการให้ละเอียดมาก่อนแต่อย่างใด ทำให้เขาเริ่มด้วยโรคกระเพาะ และจบลงด้วยหัวใจหยุดเต้น
เทคโนโลยีทางการแพทย์อันทันสมัย จะมาทดแทนการซักถามข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบไม่ได้หรอกครับ
ฐานเศรษฐกิจ 14 สิงหาคม 2010