ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องเล่าจากหมอทหาร ณ ที่เกิดเหตุ 10 เม.ย.  (อ่าน 1739 ครั้ง)

pradit

  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *****
  • กระทู้: 322
    • ดูรายละเอียด
15 เม.ย. 53

ผมในฐานะแพทย์ทหารคนหนึ่งทีปฎิบัติงานในเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. 53 อยากจะเขียนบันทึกความทรงจำเหตุการณ์ในวันนั้น เพื่อเก็บไว้เป็นบทเรียน เป็นอุทาหรณ์ หรือเป็นสิ่งเตือนใจให้แก่ตนเอง และประชาชนชาวไทย ไม่ให้ลืมเลือนบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไปกับกาลเวลา

ผมได้รับภารกิจในฐานะ ผบ.มว.สร.พัน.ร. (ผู้บังคับหมวดเสนารักษ์ กองพันทหารราบ) หรือก็คือ
แพทย์ทหารประจำกองพัน หน้าที่ของผมคือติดตามดูแลกำลังพลเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย การป้องกันโรคการส่งกำลังบำรุงทางสายแพทย์ รวมถึงงานอื่นๆตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ผมมาภารกิจในครั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. 53 ย้ายสถานที่พักไปตามภารกิจต่างๆซึ่งส่วนใหญ่เป็นการตั้งด่านตรวจ และเฝ้าระวังเหตุร้ายตามสถานที่สำคัญ เช่น ที่ ร.1 พัน.1 รอ., ร.11 รอ., สนามบินสุวรรณภูมิ,ลาดหลุมแก้ว และที่สุดท้าย คือ สี่แยกคอกวัวบริเวณถนนตะนาวศรี (ข้างวัดบวรนิเวศฯ ย่านบางลำภู)

ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 10 เม.ย. 53หน่วยของเราได้รับภารกิจในการขอพื้นที่คืนจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ออกจากที่ตั้งปกติโดยรู้ก่อนล่วงหน้าไม่ถึง 1 ชม. หลังจากเข้าที่รวมพลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสี่แยกคอกวัวไม่นานก็ต้องเคลื่อนย้ายราวสักบ่ายโมง ผมขึ้นบนหลังคารถฮัมวี่คันแรกสุด (หากใครเห็นในรูปถ่าย ก็คงจะเห็นทหารคนหนึ่งบนหลังคารถฮัมวี่ที่ติดปลอกแขนกาชาด ถือโล่บังตัวเอง นั่นก็ผมล่ะครับ) จนกระทั่งถึงบริเวณถนนตะนาวศรี กำลังพลรวมทั้งผู้พันก็ลงจากรถ ไปตั้งแนวโล่หน้ากลุ่มผู้ชุมนุม ผู้พันผมบอกให้ผมรออยู่ในรถก่อน เนื่องจากกลัวว่าผมอาจโดนสิ่งของขว้างปามาจะเกิดอันตราย ซึ่งอีกไม่นานก็เกิดขึ้นจริงๆ

ทหารของเราตั้งแนวโล่ มีเพียงชุดเกราะป้องกัน (ผมเรียกว่า ชุดโรโบคอป) หมวกกันน๊อค โล่ และกระบองป้องกันตัว เราถูกกลุ่มผู้ชุมนุมปาของทุกอย่างที่คิดว่าจะปาได้ ทั้งขวดเบียร์ ขวดกระทิงแดง ไม้ อิฐบล๊อค กระถางต้นไม้ บันได ขวดน้ำ ฯลฯ อีกสารพัด รถบางคนกระจกถูกปาแตกแต่อาจเป็นเพราะรถฮัมวี่ของผมคงจะแข็งมากมั้งครับ กระจกเลยไม่เป็นไร หลังจากนั้นไม่นาน ผมเริ่มเห็นมีคนเจ็บจากของที่ถูกขว้างปา เลยตัดสินใจบอกพลขับว่าผมจะลงจากรถไปดูคนเจ็บ ฝากตอบ ว. (วิทยุ) ให้ด้วยนะครับ

หลังจากนั้นก็ลงไปดูคนเจ็บและสถานการณ์อยู่หลังแนวโล่ ซึ่งในระหว่างนั้นก็ต้องคอยหลบซ้าย หลบขวา ก้มหัวหลบบรรดาสิ่งของที่ขว้างมา แต่ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าผมโชคดีมาก เพราะหลังจากผมตัดสินใจลงจะรถไม่นาน กลุ่มผู้ชุมนุมก็รุกไล่แนวโล่มาจนถึงรถฮัมวี่ที่ผมเคยนั่งอยู่ก่อนไม่ถึง 5 นาที ทุบรถ ทุบกระจก แล้วขึ้นไปบนช่องของพลสังเกตการณ์ (บนเพดานรถจะมีช่องไว้สำหรับให้ทหารนั่งคอยสังเกตการณ์ หรือติดปืนกล แต่นี่เป็นรถธุรการของผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่ฮัมวี่รบ เลยไม่ได้ติดอาวุธ) พลขับของผมถูกผู้ชุมนุมใช้เท้ายันศีรษะกับพวงมาลัยรถ ลากลงมารุมกระทืบแล้วจ้วงแทงด้วยมีด แต่เขาก็ยังโชคดีมากที่ใส่เกราะ มีดเลยไม่เข้า ไม่อย่างนั้นก็คงไส้ทะลักแน่ๆ

ผมทำหน้าที่ช่วยกันกับทหาร และนายสิบพยาบาลลำเลียงผู้ป่วยจากด้านหน้าแนวมาไว้ที่รวบรวมผู้ป่วยเจ็บด้านหลัง ซึ่งผมกำหนดไว้ที่ริมกำแพงข้างวัดบวรนิเวศฯ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นการปะทะกันของแนวโล่กับกลุ่มผู้ชุมนุม ผู้ป่วยเจ็บส่วนใหญ่จึงมักเกิดจากการขว้างของแข็งเข้าใส่ มีบาดแผลแตกหรือบาดแผลที่ศีรษะ รวมทั้งผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะตื่นตระหนก ทำให้เกิดอาการหายใจเร็วเกินไป (ผมขอเรียกตามศัพท์ทางแพทย์ว่า Hyperventilation syndrome)

ในส่วนของผมมีผู้ป่วยอยู่ในเวลานั้นประมาณ 20-30 คน การทำงานชุลมุนมาก เพราะเรามีคนน้อยแค่ผมกับนายสิบพยาบาลรวมกันไม่ถึง 6-7 คนแต่ต้องขอขอบคุณพี่ๆน้องๆกู้ภัย เจ้าหน้าที่ EMS ของวชิรพยาบาล รวมทั้งพ่อแม่พี่น้องประชาชนละแวกนั้นที่ให้ความช่วยเหลือ คอยติดต่อเอารถกู้ภัยมารับคนป่วยไป รพ.ศิริราช และ รพ.วชิรพยาบาล คุณยายบางคนไม่รู้จะช่วยยังไงก็ควักยาดมให้ พี่ๆหลายคนก็วิ่งไปหาน้ำเย็น น้ำแข็ง ผ้าเย็น แอมโมเนียให้คนไข้ หรือแม้แต่น้องผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึงที่ผมจำได้ดี น้องเค้าวิ่งหาท๊อฟฟี่คอยแจกพี่ๆทหารและคนที่มาช่วย พนักงานเดอะพิซซ่าก็คอยเอากระดาษลังมาพัดให้ผู้ป่วย แต่มีนายสิบกับพลทหารอีกคนหนึ่งของหน่วยผมที่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนที่บริเวณต้นขา ถามเขาบอกว่าเขาอยู่บริเวณแถวหน้าสุดของแนวโล่ มีการ์ด นปช. คนนึงถูกยิงด้วยกระสุนยางที่ไหล่ เขาโมโห เขาพูดว่า "มึงยิงกูเหรอ" หลังจากนั้นก็ชักปืนพก 11 มม. ยิงใส่ทหาร ถูกนายสิบคนหนึ่งมีบาดแผลรูกระสุนที่ต้นขาซ้าย และถูกพลทหารอีกคนที่บริเวณขา ผมได้ทำการห้ามเลือดด้วยผ้าแต่งแผลและสายรัดห้ามเลือด (Tourniquet) แล้วส่งรถกู้ภัยต่อ

หลังจากเหตุปะทะช่วงแรกสักราวๆ ½ - 1 ชม. ทั้ง 2 ฝ่ายก็เจรจากัน ผู้ชุมนุมขอให้ทหารถอยออกไป ส่วนทหารขอให้ผู้ชุมนุมถอยเพื่อลากเอารถที่เสียหายออกมา ก็ตกลงกันได้ ต่างฝ่ายจึงถอยออกห่างจากกันประมาณ 20 เมตร ซึ่งช่วงนั้นผมและเจ้าหน้าที่ได้ทำการลำเลียงผู้ป่วยเจ็บออกไปได้หมดแล้ว ทั้งผู้ชุมนุมและทหารก็ต่างนั่งพักตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ของตน ในระหว่างนั้นก็มีประชาชนเอาน้ำ เอาของกิน เอาผ้าเย็นมาให้ทั้งฝ่ายทหารและผู้ชุมนุม เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงราวๆหกโมงเย็น (หลังเคารพธงชาติ) ทางทหารจึงได้รับคำสั่งให้ทำการขอคืนพื้นที่ชุมนุมอีกครั้งโดยตั้งขบวนแถวแรกจำนวน 1 กองร้อย ด้วยแนวโล่และกระบอง และมีกำลังด้านหลังมีปืน M16เพื่อทำการยิงขู่ขึ้นฟ้าในกรณีที่จำเป็น

กำลังของทหารสามารถผลักดันผู้ชุมนุมให้ถอยร่นจากบริเวณปากทางเข้าถนนข้าวสาร จนเกือบจะถึงถนนราชดำเนินนอก ซึ่งตอนนั้นผมอยู่หลังกองร้อยที่อยู่ด้านหน้า(ชุดโรโบคอป โล่ กระบอง) โดยมีผู้บังคับกองพัน และผู้บังคับการกรมคอยสั่งการอยู่ด้านหน้าของผม(หลังแถวกองร้อย) ลักษณะการจัดแนวจะเป็นแถวหน้ากระดานประมาณ 4-6 แถว ขณะนั้นผมอยู่ที่ริมฟุตบาทถนนข้าวสาร ในระหว่างนั้นผู้ชุมนุมเริ่มมีการใช้อาวุธที่ร้ายแรงมากขึ้น เช่น ขว้างแก๊สน้ำตาใส่ ขว้างระเบิดเพลิง (โมโรตอฟ) จนกระทั่งมีการเปิดถังแก๊สใส่ทหาร (โชคดีที่ไม่มีใครจุดไฟ มิเช่นนั้นทหารรวมทั้งผมคงถูกไฟคลอกตายแน่) จนกระทั่งเหตุการณ์สำคัญที่สุดก็เกิดขึ้น ...

ผมจำได้ติดตาเลยว่า ตอนนั้นมีระเบิดควันลูกหนึ่งโยนมาตกที่บริเวณแถวทหารหน้าสุด ซึ่งตอนแรกทุกคนคิดว่าเป็นแก๊สน้ำตา จึงรีบนำผ้าพันคอปิดจมูก และเตรียมถอยกลับออก แต่ตอนนั้นทั้งทหารและผมก็โดนแก๊สน้ำตา 3-4 ครั้งแล้ว จึงรู้โดยทันทีว่านั่นไม่ใช่แก๊สน้ำตา เป็นระเบิดควันเฉยๆ ผมได้ยินเสียงผู้พันสั่งว่า "ไม่ใช่แก๊ส ไม่ต้องถอย ตั้งแนวต่อไป" แถวทหารก็เริ่มตั้งแนวและผลักดันต่อ ผมเองก็ค่อยๆเดินตามหลังแถวทหารไป หลังจากนั้นไม่ถึง 1 นาที ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นบริเวณหน้าแถวทหาร (ห่างจากเท้าของทหารแถวแรกไม่กี่เมตร)

ผมยอมรับตามตรงว่าทั้งชีวิตไม่เคยเห็นระเบิด M79 มาก่อน แต่สิ่งที่เห็นคล้ายกับประทัดยักษ์ระเบิดที่พื้นถนน แต่ปกติประทัดยักษ์ควรจะมีแต่เสียงดังกับควัน แต่สิ่งที่เห็นกลับมีประกายไฟกระจายออกมาด้วย ผมก็คิดอยู่ว่า "ทำไมประทัดมันมีประกายไฟด้วย" จุดที่ระเบิดตกห่างจากผมไปราวๆ 10 เมตร หลังจากนั้นก็มีอีกลูกหนึ่งตกหลังผมไปทางหน้าแนวทหารที่ 2 ผมได้ยินเสียงผู้การสั่งว่า "มันเล่นของจริง ทุกคนถอย" หลังจากนั้นแถวของเราก็แตกถอยมาด้านหลัง นายสิบพยาบาลของผมคนหนึ่งดึงผมให้หลบออกมาทางฟุตบาทให้หลบ ผมหันหลังกลับมาทางถนน เห็นคนเจ็บนอนเลือดอาบอยู่ราวๆ 10-20 คน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นทหารเป็นลูกน้องในกองพันของผม บางคนเมื่อวานเพิ่งมาขอยา บางคนยังเคยกินข้าวด้วยกันไม่นานนี้เอง

ตอนนั้นผมยอมรับจริงๆว่าเบลอไปหมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปทำด้วยสัญชาตญาณ ภาพที่เห็นคือทหารนอนเลือดอาบ ตาลอย ตามร่างกายมีสะเก็ดระเบิด และบางคนมีรูกระสุนปืนด้วย เพื่อนทหารต่างพากันช่วยลากออกมาจากจุดที่ระเบิด ร้องเรียก"หมอ ช่วยด้วย" "หมอ ดูเพื่อนผมด้วย" "หมอ หมอช่วยเพื่อนผมด้วย" บรรยากาศตอนนั้นหลายท่านคงเห็นจากในคลิปวีดีโอหรือในสื่อต่างๆ แต่ ณ สถานที่เกิดเหตุจริงมันยิ่งกว่านั้น มันไม่รู้จะอธิบายยังไง ทั้งตกใจทั้งหดหู่ ทั้งเศร้าใจ แม้ว่าผมจะเป็นแพทย์ แต่สิ่งที่ทำได้ผมก็ทำได้เพียงเข้าไปช่วยลากคนเจ็บ เข้าไปช่วยกันห้ามเลือดด้วยผ้าพันคอเพราะตอนนั้นทั้งตัวไม่มีอุปกรณ์อะไรติดตัวเลย มีแต่stethtoscope(หูฟัง)ไม่มีสายรัดห้ามเลือดไม่มีผ้าพันแผล

สมัยเป็น นพท.ปี 6 ผมเคยเรียนวิชาเวชปฎิบัติการยุทธ (ปฎิบัติการเพชราวุธ) ผมรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้คือ Care under fire แต่ผมเพิ่งจะเข้าใจจริงๆว่า หัวใจของ care under fire คือ เอาชีวิตตัวเองให้รอด แล้วเอาคนเจ็บออกจากบริเวณสังหาร (Killing zone) ให้เร็วที่สุด ลืมเรื่องการปฐมพยาบาล ลืมเรื่อง primary survey หรือ ABCD ที่เคยเรียนไปได้เลยเพราะขณะช่วยเอาคนไข้ออก ก็มีทั้งระเบิด M79 ระเบิดขว้างลูกเกลี้ยง M26 เสียงปืน (ตอนหลังเพื่อนผู้หมวดบอกว่า เขามีทั้ง M16, AK47 และปืนพก)

ขณะนั้นรถกู้ภัย รถพยาบาล จอดอยู่บริเวณหัวถนนตะนาว ใกล้กับวงเวียนบางลำพู รถไม่กล้าขับเข้ามาเพราะยังมีระเบิดตกอยู่เรื่อยๆและมีเสียงปืนดังอยู่ตลอดจากฝั่งผู้ชุมนุม ผมวิ่งไปเรียกตรงกลางทางให้รถพยาบาลเข้ามา (แต่ตอนนั้นก็รู้อยู่แล้วว่า ถ้าเป็นตัวเองก็คงไม่กล้าขับรถเข้ามาหรอก) ขอบคุณพี่ๆกู้ภัยหลายคนช่วงนั้นที่เสี่ยงตายวิ่งเข้ามาช่วยพวกเราลากผู้ป่วย  ตอนนั้นผู้ป่วยทั้งหมดถูกลำเลียงออกมารวมกันบริเวณเกาะกลางถนนตรงแยกบางลำพู  ผมช่วยกันลำเลียงผู้ป่วยออกมาได้ 2-3 คน ใส่รถกู้ภัย

หลังจากนั้นพอจะกลับเข้าไปช่วย สิ่งที่เห็นก็คือฝ่ายตรงข้ามก็ยิงระเบิดไล่หลังมาเรื่อยๆจนเกือบถึงหัวถนนตะนาวตรงหัวมุมวัดบวรนิเวศฯ ทหารฝ่ายเราต้องเริ่มคว้าปืนมายิงคุ้มกันให้พวกที่ลำเลียงผู้ป่วยออกมาตรงฟุตบาท2ข้างของถนนตะนาว ผมไม่สามารถเข้าไปในบริเวณถนนตะนาวได้อีกแล้วเพราะบริเวณนั้นกลายเป็น killing zone ผมจึงต้องหลบอยู่หลังรถกู้ภัยตรงวงเวียนบางลำพู (พร้อมๆกับบอกให้พี่ๆกู้ภัยก้มหัวหมอบ ต้องเอาชีวิตตัวเองรอดก่อนไปช่วยคนอื่น)

จุดนั้นมีการปะทะอยู่นานประมาณ 15-20 นาที ฝ่ายอำนวยการของผมแจ้งให้ทราบในภายหลังว่านับระเบิด M79 ได้เกือบ 15 ลูก ระเบิดขว้าง M26 อีก 2 ลูก รวมทั้งมีพลทหารคนหนึ่งซึ่งผมไปรับหลังจากกลับจาก รพ. บอกผมว่า เขาเห็นแสง laser pointer สีเขียวคอยส่องอยู่แถวศีรษะของทหารแถวหน้า คาดว่าน่าจะมีคนซุ่มยิงมาจากบริเวณอาคารสูงบริเวณแยกคอกวัว แต่คงไม่พบเป้าหมายซึ่งคาดว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชา เพราะแต่ละคนต่างกระจาย ไม่รวมกัน และมี รปภ. คุ้มกันไม่มากนัก

หลังจากนั้นเราได้ลำเลียงผู้ป่วยทั้งหมดขึ้นรถพยาบาลได้หมด ฝ่ายนั้นเริ่มยิงตอบโต้มากขึ้น ผมเห็นไม่ปลอดภัยจึงขอให้รถกู้ภัย รวมทั้งรถจี๊ปพยาบาลไปหลบอยู่ในซอยบางลำภู ฝ่ายนั้นก็ยังคงพยายามยิงระเบิดใส่ท้ายขบวนรถของเราที่จอดอยู่ถนนริมวัดบวรนิเวศฯ ซึ่งคาดว่าหากไม่มีทหารของเราที่คอยยิงคุ้มกันตอนลำเลียงผู้ป่วยและถอยกลับ รถหลายคันคงถูกยิงระเบิด ทหารและประชาชนแถวนั้นคงตายอีกเป็นจำนวนมาก ต่อมาผู้บังคับหน่วยของเราจึงขอหน่วยเหนือในการถอนกำลัง ซึ่งกว่าจะเคลื่อนย้ายออกไปได้หมด ก็ต้องใช้เวลานานเพราะรถมีจำนวนมาก และการจราจรแถวนั้นก็ถูกปิดกั้นบางส่วน แถมตอนเราถอนตัวฝ่ายตรงข้ามก็ยังพยายามยิงระเบิดใส่พวกเราอีกด้วย

ในช่วงก่อนถอนตัวผมจำได้ว่ามีเด็กวัยรุ่นใส่เสื้อแดง 2 คน ขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดข้างๆรถจี๊ปพยาบาล แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยั่วโมโหว่า "หน่วยพยาบาลคงไม่โดนอะไรหรอกมั้ง มีคนตายด้วย พวกพี่ยิงคนเหรอ" ผมยอมรับว่าแม้ว่าปกติผมจะไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน แต่จากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาที่ประสบ ผมเลือดขึ้นหน้า อารมณ์ตอนนั้นคุกรุ่นเต็มที่ ผมพูดจริงๆ ผมอยากลงไปต่อยเด็กคนนั้น แต่ผมก็อดทนแล้วตอบกลับไปว่า "แล้วทีพวกน้องยิงระเบิดใส่พวกพี่ล่ะ น้องยิงทั้งระเบิด น้องขว้างทั้งระเบิด แถมเอาอาวุธสงครามยิงใส่ทหาร ทหารแถวหน้าเค้ามีแต่โล่กับกระบอง ป้องกันตัวเองอะไรไม่ได้เลยเค้าก็มีครอบครัว มีลูกมีเมีย แล้วนี่ที่ทหารยิงก็เพื่อคุ้มกันคนเจ็บกับตอนถอนตัว แล้วน้องจะให้ทหารเอาโล่กับกระบองไปไล่ตีคุณพวกที่ยิงระเบิดใส่หรือไงน้องไสหัวไปเลย ไสหัวไปหลบระวังลูกหลงจากระเบิดที่พวกน้องยิงมาด้วยแล้วกัน" เด็กคนนั้นอึ้งไปแล้วก็ขี่รถมอเตอร์ไซด์ออกไป

เราถอนตัวออกจากจุดตรงแยกคอกวัวเป็นหน่วยสุดท้ายกลับที่ร่วมพลเดิม ซึ่งก็หลงทางไปทางวังสวนจิตรลดา เนื่องจากเราไม่ใช่ทหารกรุงเทพจึงไม่รู้เส้นทาง คืนนั้นพอผมกลับมาได้พบกับผู้พัน พบกับผู้กองและเพื่อนผู้หมวด จึงได้รู้ว่าในขณะที่หน่วยของผมถอนตัวออกมาทางถนนตะนาว มีอีกกองร้อยที่ต้องถอยร่นออกมาทางถนนข้าวสาร โดยมีผู้บังคับกองพันอีก 2 คน และรองผู้บังคับกองพันอีกคน ผู้พันคนหนึ่งถูกยิงจากฝั่งตรงข้ามเข้าที่สีข้าง เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามกราดยิงปืนซึ่งคาดว่าเป็น M16 เพื่อนผมบังผู้พันของเขาอยู่แต่กระสุนเฉี่ยวข้างตัวไปถูกผู้พัน แต่ที่น่าเศร้าคือมีนายสิบของต่างหน่วยอีกคนถูกยิงทะลุหมวกเหล็ก เสียชีวิตคาที่ นายสิบที่เป็น รปภ. หลายคนก็ถูกยิงเข้าทีขา โชคดีมากๆและต้องขอขอบคุณเจ้าของผับแห่งหนึ่งที่ถนนข้าวสาร ที่เปิดร้านนำคนเจ็บเข้ามา ให้เด็กในร้านช่วยปฐมพยาบาล ทำแผล ห้ามเลือด ปิดประตูหน้าร้าน และติดต่อตำรวจ และรถกู้ภัยให้มารับที่หลังร้านซึ่งทะลุออกทางถนนอีกเส้นหนึ่ง

มีทหารประมาณ 1 กองร้อยที่ไม่สามารถออกมาขึ้นรถได้เพราะหลงเข้าไปในถนนข้าวสารและถูกปิดทาง ด้านถนนตะนาวไว้ ก็ต้องวิ่งออกมาทางถนนสามเสนไปยังที่รวมพลซึ่งอยู่ห่างเกือบ 5 กม. แต่อย่างไรก็ตามทุกคนปลอดภัยดี (ขณะนี้ผมได้ไปเยี่ยมทหารทุกคนที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า ทุกคนปลอดภัยดีและออกจาก ICU ได้หมดแล้ว)

ในขณะที่เกิดเหตุการณ์โทรศัพท์มือถือของผมแบตหมด พอกลับมาชาร์ทแบต ก็พบว่ามีหลายคนโทรเข้ามา หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนของผมที่ วพม. ผมโทรกลับไปจึงทราบว่ามีนายทหารหลายคนถูกระเบิดหนึ่งในนั้น arrest (เสียชีวิต) ก่อนมา รพ. ต่อมา CPR (ปั๊มหัวใจ) ขึ้น และต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองด่วน ซึ่งนายทหารคนนั้นเป็นเพื่อนกับอาจารย์ที่พระมงกุฎของผม แต่อาจารย์จำผิดคนคิดว่าเป็นผู้บังคับกองพันของผมจึงรีบโทรหาผม แต่มือถือผมแบตหมด จึงให้เพื่อนติดต่อ ในภายหลังจึงทราบว่าคือ พี่เปา(พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม) ซึ่งอยู่รุ่นเดียวกับผู้พันของผม

คืนนั้นผมกินข้าวไม่ลงกว่าจะนอนตาหลับได้ก็เกือบตี 3 ซึ่งภายหลังอาจารย์ก็โทรมาบอกว่า พี่เปาเสียแล้ว ให้บอกผู้พันผมด้วย ผมหลับไปกลางพื้นโรงเก็บรถที่ที่รวมพล ตื่นขึ้นมาตอน 6 โมง ผมไม่ฝันร้าย แต่ผมอยากให้เรื่องที่ผมจำได้มันเป็นแค่ความฝัน

วันรุ่งขึ้นผมได้ไป รพ.พระมงกุฎ เพื่อติดตามผู้ป่วยและประสานงานกับอาจารย์ที่ รพ.พระมงกุฎ วันนั้นเองผมได้ทราบว่ามีทหารของผมเกือบ 10 คนที่บาดเจ็บตอนปะทะช่วงแรกและที่ถูกสะเก็ดระเบิด บาดเจ็บเล็กน้อย ที่ส่งไป รพ.วชิรพยาบาล จ่าคนหนึ่งติดต่อมาว่าเขาติดอยู่ที่วชิรพยาบาล แต่มีเสื้อแดงมาปิดล้อมทหารบางคนที่บาดเจ็บไม่มาก ทาง ER ให้คัดแยกอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน พอผู้ชุมนุมเสื้อแดงมาส่งคนป่วยของเขาที่เจ็บ ก็มาไล่กระทืบทหารของผมที่นอนอยู่ทหารต้องหนีตาย บางคนต้องปีนดาดฟ้าหนี แต่ขอขอบคุณพี่ๆน้องๆหมอพยาบาล เจ้าหน้าที่ รพ.วชิรพยาบาล ที่ช่วยกันพาทหารไปหลบที่บริเวณที่ปลอดภัยหลัง รพ. หาชุดไปรเวทให้ใส่ และให้พักอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัยไปก่อน

ทหารบางคนเล็ดลอดออกมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัย ที่เอาเสื้อเครื่องแบบใส่ทับให้ขึ้นรถกู้ภัย เอาวิทยุกับอุปกรณ์ออกมาใส่กระเป๋า EMS แล้วมาส่งให้ที่รวมพล ผมเห็นทหารหลายๆคนเจ็บ เห็นทหารที่เป็นลูกน้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเจ็บ ผมอาจจะโชคดีที่ไม่บาดเจ็บอะไร (แต่ตอนหลังมาคิดก็ยังคิดอยู่เลยว่า รอดมาได้ยังไงเนี่ย ^_^) แต่บาดแผลในจิตใจก็มีอยู่ในหัวใจทหารทุกๆคน

ผมน้ำตาซึมทุกวันที่ไปเยี่ยมลูกน้องที่เจ็บ ผมเห็นผู้การ รองผู้การ ผู้พันของผมพยายามกลั้นน้ำตาทุกครั้งที่เห็นลูกน้องตัวเองเจ็บ) เฉพาะหน่วยของผม มีคนเจ็บที่ต้องนอน รพ. เกือบ 80 คน บาดเจ็บเล็กน้อยที่ไม่ได้นอน รพ. อีก 60 กว่าคน ผมขอเถอะครับ ... มีประชาชนบางคนถามผมว่าผมโกรธเสื้อแดงมั้ย ผมแค้นเค้ามั้ย ผมตอบไปว่า แม้ผมจะรู้สึกโกรธ แต่ผมแยกแยะได้

ผมเคยเจอผู้ชุมนุมทั้งที่ราบ 11 ที่ลาดหลุมแก้ว คนส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่จะมาชักปืนยิงใส่หรือโยนระเบิดใส่ เกือบทั้งหมดเป็นคนธรรมดาที่เค้ามาเรียกร้องในสิ่งที่เค้าต้องการ แต่เราอย่าตกเป็นเครื่องมือของคนบางคน (จะเป็นใครผมก็ไม่ทราบแต่น่าจะคิดกันได้นะครับ) อย่าให้ใครบางคนใช้ทั้งคนเสื้อแดง ใช้ทหารเป็นเพียงหมากบนกระดาน ให้เราต่างฝ่ายต่างเจ็บต่างล้มตายเพื่อผมประโยชน์ของคนบางคน ประเทศเราจะล่มสลายอยู่แล้วนะครับ เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่ประเทศชาติ อย่าให้ใครแค่ไม่กี่คนมาทำลายประเทศไทยของเราเลย

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ในสถานการณ์ที่ไม่ดีร้ายที่สุดในชีวิตก็ยังมีเรื่องดีๆ ขอบคุณพี่ๆน้องๆเพื่อนๆร่วมชาติทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือคนเจ็บโดยไม่แบ่งสี ไม่แบ่งความคิด ผมซาบซึ้งในน้ำใจของทุกๆท่านมาก หากไม่มีพวกท่าน ผมคงไม่สามารถพาคนเจ็บออกมาได้ขนาดนี้ ดีไม่ดีผมอาจจะโดนไปด้วยก็ได้

เหนือสิ่งอื่นใด ตลอดระยะเวลาที่เรียนในวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ผมรับรู้รับทราบมาโดยตลอดถึงภารกิจของแพทย์ทหาร ถึงตอนนี้อารมณ์ของผมจะตกอยู่ในความเศร้า ตกอยู่ในความหดหู่ แต่ผมก็ภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ของแพทย์ทหาร ที่ได้ทำหน้าที่เป็นวีรบุรุษในแนวหน้า (Heroes in the front line) อย่างที่ทหารขนานนามเหล่าแพทย์ของเรา ถึงแม้ว่า "การเป็นแพทย์ทหารนั้นมันเหนื่อย" แต่มันก็ภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่เป็นแพทย์ทหารของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ได้เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ

ภาพที่ได้ประสบมา ผมคงจดจำไปจนวันตาย (เพราะตอนนี้มันติดตาแล้วครับ ลืมไม่ลง) ขอให้พระบารมีของพระองค์ท่านคุ้มครองเพื่อนทหาร และประชาชนทุกคนให้ปลอดภัย และคุ้มครองให้ประเทศชาติของเราผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ท้ายที่สุด ... ขอคารวะหัวใจของพี่น้องผองเพื่อนทหารจากใจจริง

แพทย์ทหาร