ผู้เขียน หัวข้อ: "เปลี่ยนสมองประเทศไทย" แผนรักษาของหมอหัวใจเทวดา  (อ่าน 1501 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9755
    • ดูรายละเอียด
คอลัมน์ ออกแบบประเทศไทย

จุดเริ่มต้นในวิชาชีพของ "ใคร" หลายคนอาจเกิดจากความชอบเป็นการส่วนตัว

แต่สำหรับ "เขา" จุดตั้งต้นคือ "ความเสียสละ" กอรปกับ "บุพการี" เป็น "ผู้ป่วย" จึงสร้างแรงผลักดันให้ก้าวสู่วิชาชีพ "แพทย์"

นอกจากใช้ "สมอง" สั่งการ-วินิจฉัยโรคต่างๆ แล้ว เขายังใช้ "ใจ" ปรนนิบัติ-ดูแล "คนไข้" ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่คิดว่าเป็นเวลา "นอกราชการ"

เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมาหาใช่ "ตำแหน่ง" หรือ "ค่าตอบแทน" ที่เพิ่มขึ้นไม่ หากแต่เป็นความ "สุขใจ" ที่ได้เห็นเพื่อนร่วมโลกพ้นทุกข์

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพยาบาล-คนไข้-รปภ. ที่โรงพยาบาลราชบุรี จะตั้งสมญาให้ว่า "หมอหัวใจเทวดา"

"เขา" คือ "นพ.เกียรติ ภาสภิญโญ" อายุรแพทย์โรคข้อรูมาติซั่ม รพ.ราชบุรี

"ประเทศเราเหมือนคนป่วยนะ" คือภาพประเทศไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ในสายตาของ "นพ.เกียรติ"

ก่อนจะอธิบายอาการของโรคเพิ่มเติมว่า "ถ้าเปรียบเป็นโรคก็เหมือนคนที่สมองไม่สั่งการ เหมือนระบบราชการที่แย่มาตั้งแต่ข้างบน พอนักการเมืองไปอยู่ข้างบนราชการ ราชการเลยพลอยแย่ไปตามนักการเมืองด้วย พูดง่ายๆ ว่าสมองสั่งการผิดๆ ถูกๆ แทนที่จะสั่งให้มือเขียนหนังสือ แต่กลับสั่งให้ไปฟันดาบ ยิงปืนใส่คนอื่น ดังนั้น ต้องแก้ที่ต้นตอ ถามว่าจะแก้นักการเมืองได้หรือไม่ ผมตอบไม่ได้ แต่เราจะหานักการเมืองพันธุ์อื่นได้ไหม ที่ไม่ใช่พันธุ์ที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้"

เมื่อ "นักการเมือง" เปรียบได้ดั่งกับ "สมอง" "ประชาชน" จึงเป็นอวัยวะส่วนอื่นๆ ที่เหลือที่อยู่ภายใต้การควบคุม-สั่งการจาก "สมอง" แม้แขนอยากเขียน แต่ถ้าสมองไม่สั่ง ก็ยากที่จะทำได้

ทำให้ประเทศไทย ณ วันนี้ยังเป็นผู้ป่วยที่นอนรอการรักษาในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก!

ทว่านโยบายที่แต่ละพรรคการเมืองเข็นออกมาในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะการลด-แลก-แจก-แถมต่างๆ กลับเป็นการ "ซ้ำเติม" ประชาชน มากกว่าการ "เยียวยา" คล้ายกับเป็นการจ่ายยาโดยฮั้วกับบริษัทยา

"หมอเกียรติ" สนับสนุนความคิดทันทีว่า "ถูกต้องๆ คล้ายอย่างนั้น จ่ายยาฮั้วกันอยู่ ให้ยาขายได้เรื่อยๆ แต่ในทุกวิชาชีพมีทั้งคนดีและคนไม่ดีนะ หมอก็มีทั้งดีและไม่ดี จ่ายยาเพื่อให้ได้ประโยชน์ คล้ายๆ ประเทศนี้ แต่หมอมีผลกระทบเพียงส่วนน้อย แต่นักการเมือง ผลกระทบมันเป็นวงกว้าง

"ถ้าถามว่านักการเมืองดูแลประชาชนด้วยอะไร ก็คงด้วยเงินมั้ง เอาเงินมาหว่านๆ แจกๆ เดี๋ยวก็จบไป และชาวบ้านเราก็ชอบด้วยนะ เออ! มีคนเอาเงินมาเลี้ยงข้าว เอาตังค์มาแจก ก็ดีใจอีก แต่อย่างนี้คิดสั้นไปไหม"

หลังตรวจอาการประเทศไทยแล้ว "นพ.เกียรติ" ชี้แนวทางการรักษาทางเลือกว่า "ต้องไปแก้ที่เซลล์ต้นพื้นว่า ทำไมอวัยวะส่วนต่างๆ มันไม่ทำงาน ต้องแก้ที่เซลล์ โดยเฉพาะสมองของประเทศนี้ที่ทำงานไม่ดี สั่งการผิดๆเพี้ยนๆ"

แล้วถ้าลองคิดเล่นว่าหากอวัยวะอีก 31 ส่วนที่เหลือ อยากแข็งขืนกับสมองล่ะ?

เขาใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนตอบว่า "คือ...ถ้าสมองมันแย่ จะต้องตัดสมองออก หรือชอร์ตไฟฟ้าเปลี่ยนเซลล์ใหม่ เอายาใส่เข้าไปให้สมองมันทำงานใหม่ มันทำได้หรือ แม้แขนอยากจะทำ แต่ก็ทำได้ระดับหนึ่ง เหมือนกับทุกคนที่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี อาจมีกลุ่มเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ดีอยู่แล้ว แต่มันไม่สามารถส่งผลกระทบอะไรกับระดับข้างบนได้"

คิดหรือไม่ว่าการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม เป็นการ "เลือก" เพื่อเปลี่ยน "ส่วนสั่งการ"?

"เปลี่ยนหรือเปล่า ผมไม่มั่นใจ ส่วนตัวคิดว่าก็คงได้สมองก้อนเดิมๆ ทำแบบเดิม ถ้าเทียบกับทีมฟุตบอลก็เตะฟุตบอลมากี่รอบๆ แล้ว แพ้ตลอด คุณจะยังปล่อยให้เขาเตะอีกไหม ต้องคิดกันแล้วว่าทำอย่างไรให้มันชนะ แต่เราไปโทษกองเชียร์ว่าเชียร์ไม่ดี โทษไปแบบข้างๆ คูๆ ทั้งๆ ที่ปัญหาอยู่ที่นักบอลนี่แหล่ะ นักบอลชัดๆ"

ซึ่งอาจเป็นเพราะ "พันธุกรรม" คนไทยเป็นพวกรักสบาย จะอย่างไรก็ได้ แต่อย่ามายุ่งกับฉัน

"หมอเกียรติ" ย้ำว่าหากยังหา "นักการเมือง-สมอง" ดีๆ ไม่ได้ "ประชาชน-อวัยวะต่างๆ" ก็ควรแข็งขืนบ้างเป็นบางครั้ง

"อะไรที่สั่งการไม่ถูกต้องก็ไม่ควรทำ แต่ปัญหาคือตอนนี้พอสมองสั่ง อวัยวะไปแข็งขืนมันมากๆ สมองก็จะบอกว่าหยุดเลือดไม่ต้องไปเลี้ยงร่างกายส่วนนั้นมัน ให้มันฝ่อตายไปเอง คือถ้าแข็งมากๆ บางอย่างก็จะอยู่ไม่ได้ ทำไม่ได้ ถ้าคุณคิดจะมองมุมกลับว่าคุณเปลี่ยนสมอง และเริ่มฟื้นฟูจากอวัยวะขึ้นไป คุณต้องช่วยกันแข็งขืน ต้องรวมหัวกันเยอะๆ เลย ถ้าทุกคนคิดแบบคนไทยว่าอย่ามายุ่งกับฉัน ฉันอยู่ของฉันดีๆ มีเงินเลี้ยงครอบครัวก็พอแล้ว มันเป็นการคิดถึงตัวเองเยอะไปหน่อย แต่ถ้าคิดถึงคนอื่นบ้างก็คงดี

"เราควรช่วยกันแตกเซลล์ความคิด และความดีมากๆ ถ้าทุกคนช่วยกันคิดถึงส่วนรวม ทำเพื่อคนอื่นอีกหน่อย แทนที่มือจะแข็งขืนไปกำดาบ ยิงปืน ก็กลับมาเขียนหนังสือ หรือปลูกต้นไม้แทน ผมว่ามันดี"

เมื่อถามถึงเคล็ดลับในการสร้าง "ภูมิต้านทาน" หากต้องแข็งขืนอย่างสร้างสรรค์

"หมอหัวใจเทวดา" ครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนตอบอย่างใจเย็นว่า "คิดอย่างนี้สิ คิดว่าคนหนึ่งเกิดมา ไม่ได้แค่มีชีวิตอยู่เพื่อมีลูก มีครอบครอบครัว แล้วจบ มันไม่ใช่แค่นี้ คนเราเกิดมาอยู่ได้ 2 หมื่นวัน แค่เรียนหนังสือก็หายไปค่อนชีวิตแล้ว เหลืออีกนิดเดียวจะอยู่ไปแบบนี้ใช่ไหม แล้วคุณจะตายไปพร้อมกับชีวิตง่ายๆ แบบนี้ใช่ไหม แล้วเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่ สำหรับผมคิดว่าเราจะทำไปข้างหน้า ความดี เราทำๆ ไป ถ้าไม่ทำ ก็จะแย่ไปเรื่อยๆ"

ในทรรศนะของ "หมอ" นอกจากประเทศไทยจะป่วยด้วยอาการ "สมองไม่สั่งการ" แล้วยังป่วยด้วย "โรคหัวใจไม่สามัคคี" ซึ่งในทางทฤษฎีการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจต้องฉีดสี-ทำบัลลูน

แต่ดูเหมือน "สีสัน" ในร่างกายประเทศไทย ณ วันนี้จะมากเกินไป จนตีกันยุ่งเหยิง

"เรื่องความแตกต่างทางความคิด มันเป็นเรื่องปกตินะ แต่ถ้าสีมันเยอะจริงๆ ผมไม่ว่า แต่ถ้าทุกคนมีจุดร่วมเดียวกัน เพื่อพัฒนาประเทศ ผมว่าประเทศนี้จะเจริญไปข้างหน้านะ แต่การเจริญไปข้างหน้าได้ก็ต้องตัดอะไรออกไปบางส่วน แต่ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่อยากตัด มันก็เลยเดินไปไม่ได้ ตอนนี้แต่ละคนมันมีเงื่อนไขเยอะเกินที่จะรวมกันได้ เงื่อนไขมันขนานกันไปหมด ถ้าคุณมีเงื่อนไขที่ตัดบางอันออก และเอาบางอันเข้า มันก็จะเดินหน้าไปได้

"ถามว่าแดงดีไหม มีส่วนดี เหลืองดีไหม มีส่วนดี ทุกคนมีดี แต่มีเสียไหม ก็มีทั้งคู่ ดังนั้น จะทำอย่างไรให้ทุกคนเอาของดีที่มีอยู่ในตัวมารวมกันได้ แต่ตอนนี้มันไม่มี คนที่จะมาอยู่ตรงกลางที่จะมาบอกว่าแดงมานี่ เหลืองมานี่ ฟ้ามานี่ เขียวมานี่ มีของดีอะไรอยู่ในตัวบ้าง เอาลงมากองมาดูกันสิ และเดินไปด้วยกัน วันนี้เราต้องหาคนตรงกลาง เพราะถ้าคนนั้นจะไปขวา สมองสั่งให้ไปซ้าย ไปคนละทิศละทางไม่มีคนตรงกลางที่คอยมาดึง เลยเดินไม่ได้ เหมือนไม่มีหัวใจ ถ้าทำงานด้วยหัวใจตรงกลางนะสุดยอด"

จากนี้จนถึงวันเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม กลัวว่าจะมี "โรคแทรกซ้อน" หรือไม่?

"ปฏิวัติเหรอ คงไม่แล้วล่ะ ทหารคงเข็ด ทำตอนนี้ก็ไม่เห็นจะได้อะไร มันต้องแก้ที่สมอง หรือแก้ที่แขนขาไปเลย ไม่ใช่อยู่ๆ แล้วตัวหรือหัวไปเลย หัวก็ยังเหมือนเดิมนะ การจะตัดหัวไปเลย มันแค่เหมือนกับหยุดหายใจไปพักหนึ่ง ทุกอย่างนิ่ง แขนขานิ่งไปเฉยๆ ปฏิวัติคุณก็เหมือนทำให้คนไข้นิ่งๆ นิ่งไปสักพัก หยุดหัวใจไว้แป๊บหนึ่ง อย่างนี้เหรอ ไม่เอามั้ง" เขากล่าวพลางหัวเราะ

ท้ายที่สุด...เขาทิ้งท้ายว่า การเลือกตั้งอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ไม่ใช่แค่ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง แต่สิ่งที่จะทำให้คนไทยหายใจได้ทั่วท้องคือ ต้องแก้ที่ "ต้นตอ"

คงถึงเวลาที่ต้องต้องเปลี่ยนสมอง!!!

หน้า 11,มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน 2554