ปัจุบันประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังจะเห็นได้ว่าในปี 2553 สัดส่วนผู้สูงอายุอยู่ที่ 12% ของประชากรไทย และประมาณการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 17% ในปี 2563 ซึ่งแน่นอนผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักมีโรคประจำตัวไม่โรคใดก็โรคหนึ่ง
จากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 4 พ.ศ.2551-2552 ของสำนักงานสำรวจสุขภาพประชาชนไทย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ซึ่งทำการสำรวจในประชากรจำนวนทั้งสิ้น 21,960 คน มีผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป จำนวนประมาณ 44% หรือ 9,720 คน ทั้งนี้พบว่าประชากรไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคเรื้อรังเรียงตามลำดับดังนี้ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ และเบาหวาน โดยมีผู้ป่วยเพียงบางส่วนที่รู้ตัวและได้รับการรักษา และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแต่ควบคุมไม่ได้ก็มีจำนวนไม่น้อย ซึ่งสูงสุดอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร
ผู้ป่วยโรคเรื้อรังกับปัญหาการใช้ยา ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง มักจะมีหลายโรคร่วม การรักษาหลักก็คือ รับประทานยา ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน และใช้ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง และผู้ป่วยอาจได้รับการรักษาจากสถานพยาบาลหลายแห่ง ช่วงเวลาการนัดผู้ป่วยเพื่อมาติดตามผลการรักษามีความถี่ต่ำ อาจเป็น 3-6 เดือน ซึ่งในระหว่างที่ผู้ป่วยอยู่บ้านและรับประทานยาหลายชนิด ใช้ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทั้งจากยาที่ใช้รักษาโรคประจำตัว จากการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยอื่นๆ จากการใช้ยาซ้ำซ้อน และจากพฤติกรรมการบริโภคอาหาร การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจทำให้ผู้ป่วยหยุดยาเองโดยไม่บอกแพทย์ ทำให้โรคยิ่งเป็นมากขึ้น หรือยาที่ใช้รักษาได้ผลลดลงหรือเพิ่มมากขึ้นจนเป็นอันตรายได้ เป็นต้น
การที่ผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้รับยาหลายชนิดร่วมกัน การรับประทานยาไม่ถูกต้อง หรือพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยเอง เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยต้องเข้ามานอนรักษาตัวในโรงพยาบาล พบว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยสูงอายุที่เข้ามานอนรักษาตัวในโรงพยาบาล มีสาเหตุมาจากเรื่องของยา โดยที่ 40% มีสาเหตุมาจากการใช้ยาไม่ถูกต้อง และอีก 60% มาจากอาการไม่พึงประสงค์จากยา
เตือนอันตราย "ยาตีกัน...ภัยเงียบผู้ใช้ยา อาจถึงตายได้"
ผู้ป่วยโรคเรื้อรังเหล่านี้ มักได้รับยามาจากสถานพยาบาลหลายแห่ง โดยแต่ละแห่งไม่ทราบข้อมูลว่าผู้ป่วยรับประทานยาอะไรอยู่บ้างเป็นประจำ หรือการที่ผู้ป่วยไปหาซื้อยา อาหารเสริม หรือแม้แต่สมุนไพรมารับประทานเอง นอกจากเกิดปัญหาการได้รับยาซ้ำซ้อนแล้ว ยังอาจเกิด "ยาตีกัน" ได้
ข้อมูลจาก เภสัชกรหญิง รศ.ธิดา นิงสานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม
บ้านเมือง -- จันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2554